เฟิงอู๋และจูอวิ๋นชางหารือเรื่องนี้กันไว้ล่วงหน้าแล้ว
นั่นคือในงานเลี้ยงตระกูลเฟิง พวกเขาจะกดดันให้เฟิงหรูเซียวสละตำแหน่งและแต่งตั้งเฟิงอู๋ขึ้นเป็นผู้นำตระกูลเฟิงคนใหม่ ด้วยวิธีนี้ พวกเขาจะสามารถยืนหยัดประจันหน้ากับขุมกำลังใหญ่ๆของดินแดนได้อย่างสมศักดิ์ศรี
เมื่อสิ้นเสียงเฟิงอู๋ ความเงียบก็เข้าปกคลุมทั่วทั้งงานทันที ทุกคนในที่นี้หันมองไปที่เฟิงอู๋ด้วยแววตาฉงนสงสัยอย่างที่สุด
แม้ว่าพวกเขารับรู้ถึงความทะเยอทะยานของเฟิงอู๋อยู่แล้วและทราบดีว่าสถานการณ์ภายในตระกูลเฟิงไม่ได้สงบราบรื่นอย่างที่เห็น ทว่าการที่เฟิงอู๋ประกาศกร้าวออกมาเช่นนี้ก็ยังทำให้พวกเขารู้สึกตกใจไม่น้อย
หลายคนลุกขึ้นยืนและค่อยๆเดินถอยหลังห่างออกไป งานเลี้ยงในวันนี้จะต้องเกิดเรื่องขึ้นอย่างแน่นอน หากมีโอกาส การถอยออกไปให้ห่างก็ย่อมดีกว่า มิฉะนั้นพวกเขาคงถูกดึงเข้าไปเกี่ยวข้องเป็นแน่
“ทุกท่าน โปรดเป็นสักขีพยานในวันนี้ ผู้นำตระกูลเฟิงคนปัจจุบันแก่ชรามากแล้ว มันถึงเวลาแล้วที่เขาจะต้องสละอำนาจตามที่ควรทำเสียที”
จูอวิ๋นชางยืนขึ้นอย่างวางท่าและไม่ได้ปิดบังจุดประสงค์ของตนเองอีกต่อไป เขาและเฟิงอู๋ลงเรือลำเดียวกันแล้วและได้หารือวางแผนเรื่องนี้กันมาอย่างรอบคอบ ในงานเลี้ยงอย่างยิ่งใหญ่ของตระกูลครานี้ ยิ่งมีผู้คนเป็นพยานมากเพียงใด พวกเขาก็ยิ่งได้เปรียบมากเพียงนั้น
“ฮ่าๆๆ ใช่แล้วล่ะ ข้าก็เตรียมการเรื่องนี้ไว้แล้ว”
เฟิงหรูเซียวยืนขึ้นพร้อมรอยยิ้มไม่สะทกสะท้านและกล่าว “ข้าก็ตั้งใจจะประกาศเรื่องนี้ในงานเลี้ยงครานี้ นับจากวันนี้เป็นต้นไป ข้าจะไม่ใช่ผู้นำตระกูลเฟิงอีกต่อไป และผู้นำตระกูลคนใหม่ก็คือหลานสาวของข้า–เฟิงมู่เหยียน”
เฟิงอู๋และคนอื่นๆวางแผนไว้แล้วและเขาเองก็มีแผนการของตนเองเช่นกัน แม้ว่าการแต่งตั้งให้เสี่ยวเหยียนเป็นผู้นำตระกูลในตอนนี้จะรวดเร็วเกินไป เขาก็ไม่มีทางเลือกอื่น
ยิ่งไปกว่านั้น เสี่ยวเหยียนจะรับตำแหน่งเป็นผู้นำตระกูลเพียงในนามเท่านั้น เฟิงจิงเทียนและเฟิงหมิงจะช่วยดูแลกิจการต่างๆในตระกูลเฟิง นางจึงไม่จำเป็นต้องกังวลถึงเรื่องใดๆมากนัก
เมื่อได้ยินคำพูดของเฟิงหรูเซียว ทุกคนในงานก็ต้องชะงักค้างอีกครั้ง พวกเขาได้ยินเรื่องของเสี่ยวเหยียนมาก่อน ทว่าไม่รู้เรื่องการสละตำแหน่งของผู้นำตระกูลเฟิง
บัดนี้พวกเขาเริ่มไม่มั่นใจว่าจะเกิดอะไรขึ้นต่อไป
“เฟิงหรูเซียว เจ้าคิดว่าข้าจะยอมปล่อยให้เด็กสาวบ้านนอกไม่มีหัวนอนปลายเท้านี่มาเป็นผู้นำตระกูลงั้นรึ?!”
ทันใดนั้น น้ำเสียงดุดันก็ดังขึ้นและคนกลุ่มหนึ่งก็เดินเข้ามา
ผู้นำของกลุ่มนี้ดูคล้ายคลึงกับเฟิงอู๋มาก สีหน้าของเขาเต็มไปด้วยความมืดมัวและดูไม่สบอารมณ์อย่างที่สุด
“เฟิงหลิง! เจ้านั่นเอง!”
เมื่อเห็นผู้มาใหม่ เฟิงจิงเทียนและเฟิงหมิงก็ขมวดคิ้วมุ่นทันที
บุรุษผู้นี้หาใช่ใครอื่น หากแต่เป็นบิดาของเฟิงอู๋—เฟิงหลิงผู้ซึ่งมีความคิดต่อต้านเฟิงหรูเซียวมาตลอดและปรารถนาอยากได้ตำแหน่งผู้นำตระกูลเฟิงมากกว่าใครอื่น
“เหอะ หากเราไม่ทำอะไรสักอย่าง เกรงว่าตำแหน่งผู้นำตระกูลคงจะถูกพรากไปจากพวกเราอีกครั้ง!”
เฟิงหลิงแค่นเสียงและเดินตรงเข้าไปยืนข้างเฟิงอู๋
“ท่านพ่อ”
แน่นอนว่าเฟิงอู๋แสดงความเคารพต่อเฟิงหลิงเป็นอย่างมาก การปรากฏตัวของเฟิงหลิงเป็นสิ่งที่เขาคาดการณ์ไว้แล้วและกล่าวได้ว่าพวกเขาเตรียมพร้อมอย่างดีสำหรับงานเลี้ยงในครานี้ พวกเขาจะต้องเอาชนะและคว้าตำแหน่งผู้นำตระกูลมาให้จงได้
“ฮ่าๆๆ น่าสนใจจริงๆ อยากได้ตำแหน่งผู้นำตระกูลงั้นรึ? เฟิงหลิง..การที่เจ้าเก็บตัวมาเป็นระยะเวลาหนึ่ง มันทำให้เจ้ามีสติฟั่นเฟือนขึ้นมารึ?”
เฟิงจิงเทียนหัวเราะพรวดออกมาและกล่าวเยาะเย้ย ในเมื่อเรื่องมาถึงจุดนี้ เขาก็ไม่จำเป็นต้องปิดบังอะไรอีก ในเมื่อเฟิงหลิงต้องการเปิดศึก เขาก็จะต่อสู้ไปจนถึงที่สุดเช่นกัน
“อีกอย่าง เสี่ยวเหยียนคือบุตรของข้า ไม่ใช่เด็กสาวบ้านนอกอะไรนั่น ระวังคำพูดของเจ้าซะ มิฉะนั้นก็อย่ามาโทษที่ข้าจะไม่นึกถึงความเป็นญาติของพวกเราอีกต่อไป”
น้ำเสียงของเฟิงจิงเทียนกลับกลายเป็นแข็งกร้าวอย่างกะทันหัน เสี่ยวเหยียนคือบุตรีหัวแก้วหัวแหวนของเขา ในอดีตเขาเคยทำผิดต่อเสี่ยวเหยียนและมารดาของจนทำให้ต้องทุกข์ยากและจมอยู่กับความเศร้าโศก ในตอนนี้หากใครหน้าไหนกล้าหยามเกียรติหรือดูหมิ่นนาง เฟิงจิงเทียนผู้เป็นบิดาไม่มีทางยอมอย่างแน่นอน
“ฮ่าๆๆ เฟิงจิงเทียน ไม่ได้พบกันเสียนาน ดูเหมือนว่าเจ้าจะอวดดีขึ้นมาก สิ่งที่ข้ารู้สึกเสียดายที่สุดก็คือคนที่ถูกส่งไปที่เมืองลั่วหยางเหล่านั้นไม่สามารถฆ่าเจ้าและปล่อยให้เจ้ารอดออกมาได้!”
เฟิงหลิงกล่าวเย้ยหยันและไม่ปิดบังอะไรอีกขณะเอ่ยถึงเรื่องที่เกิดขึ้นในอดีต
เมื่อสิบปีก่อน เขาเป็นตัวการที่ส่งคนไปไล่ล่าเฟิงจิงเทียน เรื่องที่เฟิงจิงเทียนต้องพลัดพรากจากสตรีคนรักและเสี่ยวเหยียนก็เกิดขึ้นเพราะเขา
อย่างไรก็ตาม เฟิงจิงเทียนทรหดอดทนมากเกินไป คนเหล่านั้นที่เขาส่งไปในตอนนั้นสังหารเป้าหมายไม่สำเร็จและปล่อยให้เฟิงจิงเทียนรอดตายมาได้
หากเฟิงจิงเทียนตายไปตั้งแต่ตอนนั้น สถานการณ์ทุกวันนี้ก็คงจะแตกต่างออกไป
“เหอะ ในที่สุดก็ยอมรับว่าเป็นฝีมือของเจ้า!”
เฟิงจิงเทียนแค่นเสียงเย็นชาเมื่อได้ยินคำพูดของเฟิงหลิง
แม้ว่าเขาคาดเดาได้ตั้งแต่ต้นและรู้ว่าเฟิงหลิงเป็นตัวการของเรื่องนี้ ทว่าการที่เฟิงหลิงกล่าวยอมรับออกมาตรงๆเช่นนี้ก็ยังทำให้เขาโมโหไม่น้อย
ในอดีตตอนนั้น หากไม่ใช่เพราะเรื่องนี้ เฟิงจิงเทียนก็คงไม่ต้องพลัดพรากจากเสี่ยวเหยียนและสตรีคนรัก เสี่ยวเหยียนต้องใช้ชีวิตอยู่เพียงลำพังอย่างยากลำบากและมารดาของนางต้องจากโลกนี้ไปพร้อมความเสียใจ ทั้งหมดนี้เป็นเพราะแผนการชั่วช้าของเฟิงหลิง
“แล้วอย่างไร? หากไม่ใช่เพราะข้า เจ้าจะมีบุตรสาวได้อย่างไร?”
เฟิงหลิงชำเลืองมองเสี่ยวเหยียนและกล่าวอย่างเย็นชา “นางเป็นเด็กที่ดีทีเดียว ไม่แปลกใจเลยที่เฟิงหรูเซียวทั้งรักทั้งเอ็นดูนางอย่างออกนอกหน้า!”
เฟิงจิงเทียนไม่ปฏิเสธคำพูดของเฟิงหลิง หากไม่ใช่เพราะแผนการของเฟิงหลิงที่ส่งคนไปไล่ล่าทำร้ายเขาในตอนแรก เขาก็คงไม่ได้รับการช่วยชีวิตจากมารดาของเสี่ยวเหยียนจนนำไปสู่ความสัมพันธ์ที่เขาไม่มีวันลืมและให้กำเนิดบุตรสาวที่ภาคภูมิใจอย่างเสี่ยวเหยียน
“เฟิงหลิง อย่าคิดแตะต้องหลานสาวของข้าเด็ดขาด หากจะหาเรื่องพวกข้าก็ย่อมไม่ใช่เรื่องใหญ่ แต่หากเจ้าคิดจะทำอะไรนางล่ะก็ อย่าโทษว่าพวกข้าหยาบคายกับเจ้าก็แล้วกัน!”
เฟิงหรูเซียวเอ่ยขึ้นเบาๆขณะแรงกดดันจากร่างกายของเขาแผ่ออกมาอย่างต่อเนื่อง
ตลอดหลายปีที่ผ่านมานี้ เขาอดทนอดกลั้นต่อทัศนคติและการกระทำของเฟิงหลิงและบุตรชายมาตลอด ในเมื่อวันนี้ทั้งสองประกาศตนเป็นปฏิปักษ์อย่างชัดเจน เขาจะไม่ทนอีกต่อไป
เฟิงหลิงและเฟิงอู๋เป็นก้อนเนื้อร้ายของตระกูลเฟิง หากกำจัดพวกเขาไม่ได้ สองพ่อลูกใจคดจะนำภัยมาสู่ตระกูลในไม่ช้าก็เร็วอย่างแน่นอน วันนี้ถือเป็นโอกาสที่ดีในการกำจัดพวกเขาไปอย่างสมบูรณ์
“ฮ่าๆๆ ข้าไม่มีเวลามาสนใจนางหรอก วันนี้ข้ามาเพื่อตำแหน่งผู้นำตระกูลเท่านั้น!”
เฟิงหลิงยิ้มอย่างยียวนและกล่าวต่อ “หากข้าจำไม่ผิด ตระกูลเฟิงของเรามีกฎปฏิบัติที่สืบทอดกันมา หากผู้ใดต้องการขึ้นเป็นผู้นำตระกูลก็ต้องรับได้การสนับสนุนจากผู้อาวุโสของตระกูล หากได้รับการสนับสนุนมากกว่าครึ่ง คนผู้นั้นก็จะได้ขึ้นเป็นผู้นำตระกูลเฟิงอย่างเป็นทางการ”
เฟิงหรูเซียวพยักศีรษะ ตระกูลเฟิงของพวกเขามีกฎเช่นนี้อยู่จริง
“ฮ่าๆๆ มันไม่ยากเลยที่จะแต่งตั้งเฟิงมู่เหยียนเป็นผู้นำตระกูล ตราบใดที่บรรดาผู้อาวุโสของตระกูลออกมาแสดงการสนับสนุนนาง หากว่ามีมากกว่าครึ่งหนึ่งที่สนับสนุนนาง พวกเราก็ย่อมที่จะไม่คัดค้าน”
เฟิงหลิงยิ้มและกล่าวด้วยน้ำเสียงมั่นใจ
บรรดาผู้อาวุโสของตระกูลเฟิงเหล่านี้ พวกเขาก็ได้พูดคุยไว้ล่วงหน้าแล้วเช่นกัน เขาไม่เชื่อว่าจะมีผู้อาวุโสที่สนับสนุนเสี่ยวเหยียนเกินกว่าครึ่งหนึ่ง
“เฟิงหมิง ไปเชิญผู้อาวุโสทุกคนมาที่นี่”
เฟิงหรูเซียวไม่สนใจเฟิงหลิงขณะหันไปกล่าวกับเฟิงหมิงเพื่อให้เรียกผู้อาวุโสทั้งหมดของตระกูลออกมา
เฟิงหลิงรับคำและออกไปเรียกบรรดาผู้อาวุโสเข้ามา
ผู้อาวุโสหลายคนของตระกูลไม่ได้มาเข้าร่วมในงานเลี้ยง ทว่ากำลังยุ่งอยู่กับการจัดการเรื่องของตนเองอยู่ในเขตที่พักของพวกเขา
เฟิงหรูเซียวและทุกคนก็นั่งลงอีกครั้งโดยเพิกเฉยต่อเฟิงหลิงและเฟิงอู๋ไปโดยปริยาย
ทว่าเฟิงหลิงและเฟิงอู๋ก็หันหลังกลับและเดินตรงไปหาฉินอวี้โม่และคณะ
“เจ้าคือฉินอวี้โม่สินะ?”
เฟิงหลิงไม่สนใจสายตาของคนอื่นขณะมองฉินอวี้โม่และเอ่ยขึ้นเบาๆ
“บุตรชายของท่านน่าจะรู้ดีที่สุดว่าข้าคือฉินอวี้โม่หรือไม่”
ฉินอวี้โม่ไม่มีความรู้สึกหวาดหวั่นใดๆและกล่าวตอบโต้โดยไม่สะทกสะท้านต่อเฟิงหลิงและเฟิงอู๋
“ข้าได้ยินว่าเจ้าสร้างปัญหาให้กับบุตรของข้าตั้งมากมายและหยามเกียรติเขาถึงหลายหน นี่มันเรื่องอะไรกัน?”
เฟิงหลิงไม่พอใจกับท่าทางของฉินอวี้โม่อย่างมากและสีหน้าของเขาบิดเบี้ยวจนเริ่มดูไม่ได้
อย่างไรก็ตาม เขาพยายามอดกลั้นความรู้สึกนั้นและไม่แสดงออกอย่างชัดเจนเกินไป เขากล่าวขึ้นอย่างวางท่า ถือว่าเขาเป็นผู้ที่มีความสุขุมเยือกเย็นในระดับหนึ่ง
“ฮ่าๆๆ ใครบางคนก็ชอบหาเรื่องใส่ตัว ข้าก็แค่สนองในสิ่งที่พวกเขาต้องการเท่านั้น”
ฉินอวี้โม่ยังคงยิ้มอย่างไม่สะทกสะท้านและกล่าวถากถาง
“รนหาที่ตายซะแล้ว! บุตรชายของข้าเป็นผู้ที่เจ้าจะรังแกได้รึ?!”
เมื่อได้ยินคำพูดของฉินอวี้โม่ เฟิงหลิงก็แผ่แรงกดดันทรงพลังออกไปหานางทันที ในขณะเดียวกันนั้น เขายกมือขวาขึ้นสูงและเตรียมฟาดฝ่ามือออกไปเต็มแรง
“เหอะ ทั้งที่อยู่ต่อหน้าข้า เจ้ายังกล้าคิดที่จะแตะต้องบุตรสาวของข้าเช่นนี้ เจ้าต่างหากที่รนหาที่ตาย!”
ฉินเทียนซึ่งนิ่งเงียบไม่เอ่ยปากมาตลอดแค่นเสียงเย็นชา เขาไม่ได้ปิดบังความแข็งแกร่งของตนเองเช่นกันขณะสภาวะพลังแผ่ออกมาขัดขวางแรงกดดันจากเฟิงหลิง
และในเวลาเดียวกันนั้นเขาก็ยกมือขึ้นเพื่อขวางฝ่ามือของเฟิงหลิงไว้เช่นกัน
ตู้ม!
อย่างไรก็ตาม เรื่องยังไม่จบแค่นี้ ดูเหมือนว่าเฟิงอู๋จัถูกฝ่ามือฟาดเข้าใส่อย่างจัง เขาลอยกระเด็นออกไปและล้มลงบนพื้นด้วยสีหน้าเหยเก
เมื่อครู่ในขณะที่ฉินเทียนขวางฝ่ามือของเฟิงหลิงไว้ ฝ่ามืออีกข้างของเขาก็ฟาดเข้าใส่เฟิงอู๋ไปพร้อมๆกัน
แม้ว่าเฟิงหลิงสัมผัสได้ เขาก็ไม่มีเวลาจะขวางไว้ได้ทันและทำได้เพียงมองดูบุตรชายของตนเองถูกฝ่ามือฟาดจนกระเด็นลอยออกไป
เฟิงอู๋ยืนขึ้นอีกครั้งโดยที่มีเลือดไหลจากมุมปาก แม้ว่าฝ่ามือของฉินเทียนไม่ได้ใช้แรงเต็มที่ทว่ามันก็เพียงพอที่จะทำให้เขาบาดเจ็บได้
“บัดซบ!”
สีหน้าของเฟิงหลิงบิดเบี้ยวยิ่งกว่าเดิม เขาอยากจะตบหน้าสั่งสอนฉินอวี้โม่ ไม่คิดเลยว่าสิ่งนั้นจะเกิดขึ้นกับเฟิงอู๋แทน
เฟิงหลิงสัมผัสได้ถึงแรงกดดันที่แผ่มาจากฉินเทียน แน่นอนว่าเขาเคยได้ยินเรื่องของฉินเทียนมาก่อน เพียงแต่เขาไม่เคยสนใจและรู้สึกว่าเป็นเพียงการกล่าวเกินจริงเท่านั้น
ทว่าบัดนี้เมื่อได้เผชิญหน้ากันโดยตรง เขาก็ได้รู้ว่าตนเองไม่ใช่คู่ต่อสู้ของฉินเทียนเลย
“เฟิงหลิง อย่าคิดว่าเจ้าทรงพลังเหนือผู้ใด เจ้าไม่มีคุณสมบัติพอที่จะรังแกบุตรสาวของข้า เมื่อครู่นี้ข้าก็เพียงแค่ต้องการสั่งสอนเท่านั้น มิฉะนั้นบุตรชายของเจ้าก็คงจะตายไปแล้ว!”
ฉินเทียนกล่าวอย่างเย็นชาด้วยน้ำเสียงดุดันและทรงพลัง
หากใครหน้าไหนคิดจะรังแกบุตรสาวของเขาฉินเทียน ต่อให้เป็นผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดในดินแดนอ้างว้างอย่างผู้นำขุมกำลังเอกพิภพ เขาก็ไม่มีทางยอม นับประสาอะไรกับเฟิงหลิง
“เหอะ เราจะได้เห็นดีกัน!”
เฟิงหลิงแค่นเสียงเย็นชา เขารู้ว่าตนเองไม่ใช่คู่ต่อสู้ของฉินเทียนและรู้อีกว่าคำพูดของฉินเทียนเมื่อครู่ไม่ใช่เพียงเพื่อข่มขู่ให้กลัวเท่านั้น เขาเอ่ยทิ้งท้ายเพียงประโยคเดียวนั้นก่อนกลับไปที่เก้าอี้ของตนเอง
พรวดดด!
ไม่อาจทราบได้ว่าใครเป็นคนแรกที่อดหัวเราะพรวดออกมาไม่ได้และทุกคนก็เริ่มหัวเราะออกมาเช่นกัน
ในที่สุดพวกเขาก็ได้รู้ว่าการขโมยไก่ไม่ได้และเสียข้าวสารไปอีกกำมือนั้นเป็นอย่างไร
**偷鸡不成蚀把米 ขโมยไก่ไม่ได้ เสียข้าวสารอีกกำมือ หมายถึง ฉวยโอกาสไม่สำเร็จและยังขาดทุนอีกต่างหาก
“ท่านผู้นำ บรรดาผู้อาวุโสมากันครบแล้วขอรับ!”
เสียงของเฟิงหมิงดังขึ้นและบรรยากาศในงานเลี้ยงก็เงียบลงอีกครั้ง