ในฐานะตระกูลใหญ่ เป็นธรรมดาที่ตระกูลเฟิงจะมีผู้อาวุโสที่ทรงพลังหลายคน
ผู้อาวุโสเหล่านี้เป็นคนที่มีส่วนร่วมกับตระกูลเฟิงเป็นอย่างมากและพวกเขาก็ไม่ได้มีอายุที่น้อยเลย
ตระกูลเฟิงมีผู้อาวุโสอยู่เจ็ดคนและเมื่อนับรวมกับหวังซั่วซึ่งเป็นช่างหลอมระดับปรมาจารย์ของตระกูล พวกเขาก็จะมีผู้อาวุโสอยู่ทั้งหมดแปดคนด้วยกัน
ทันทีที่พวกเขาปรากฏตัว ทุกคนในงานก็สัมผัสได้ถึงแรงกดดันจากผู้อาวุโสทั้งแปดและขมวดคิ้วมุ่น
หลายคนจากตระกูลใหญ่ถึงกับต้องถอนหายใจกับตัวเอง ไม่แปลกใจเลยที่ตระกูลลับจะมีพลังอำนาจที่แม้แต่ขุมกำลังทรงอิทธิพลหลายกลุ่มก็ไม่กล้าแตะต้อง ด้วยพื้นฐานเช่นนี้ เกรงว่าต่อให้เป็นขุมกำลังที่ติดหนึ่งในสิบของขุมกำลังที่แกร่งกล้าที่สุดในดินแดนอ้างว้างก็อาจเทียบไม่ได้
“คารวะท่านผู้นำ”
เมื่อมาอยู่ตรงหน้าเฟิงหรูเซียว ผู้อาวุโสทั้งแปดซึ่งรวมถึงหวังซั่วก็เอ่ยขึ้นและโค้งคำนับอย่างเคารพนอบน้อม
“ทุกคน ไม่ต้องพิธีรีตองอะไรนักหรอก”
เฟิงหรูเซียวยิ้มบางๆและกล่าวกับบรรดาผู้อาวุโส แม้ว่าเขาเป็นผู้นำตระกูล ทว่าในบรรดาผู้อาวุโสทั้งแปดคนนี้ บางคนก็มีความแข็งแกร่งที่ไม่ด้อยไปกว่าเขาและสถานะของพวกเขาในตระกูลเฟิงก็ไม่ได้ต่ำเลย
“ไม่ทราบว่าท่านผู้นำเรียกพวกเรามาเพราะเหตุใดรึ?”
ผู้อาวุโสใหญ่แห่งตระกูลเฟิงเป็นคนเอ่ยถาม เขาเป็นหนึ่งในฝ่ายสนับสนุนเฟิงอู๋–อีสั่ว
เขารู้ดีว่าเฟิงหรูเซียวเรียกพบผู้อาวุโสทั้งหมดเพราะอะไรและเขาก็วางแผนไว้ล่วงหน้าแล้ว เขาเพียงเอ่ยถามออกไปตามปกติเท่านั้น ถึงอย่างไรก็มีคนมองดูอยู่เป็นจำนวนมากและเขายังไม่สามารถแสดงท่าทีโอหังออกไปได้
“ฮ่าๆๆ ข้าเรียกผู้อาวุโสทั้งหมดออกมาเพราะเรื่องผู้นำตระกูลคนต่อไป”
เฟิงหรูเซียวยิ้มบางๆ แน่นอนว่าเขาเข้าใจถึงความคิดของผู้อาวุโสอีสั่วนี่ดี ผู้อาวุโสใหญ่คนนี้ไม่พอใจกับการได้เป็นแค่ผู้อาวุโสของตระกูล หากแต่หมายปองไปถึงตำแหน่งผู้นำตระกูลเฟิง
เพราะเหตุนั้นไม่ว่าใครจะได้เป็นผู้นำตระกูลคนใหม่ เขาก็ไม่มีความรู้สึกถูกชะตาหรือเห็นชอบใดๆ การสนับสนุนเฟิงอู๋ให้ได้ตำแหน่งผู้นำตระกูลคนต่อไปมีจุดประสงค์เพียงเพื่อจุดชนวนปัญหาขึ้นมาเท่านั้น เขาเพียงต้องการเห็นเรื่องสนุกๆเกิดขึ้นในตระกูล
“โอ้ ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้นี่เอง นี่มันเรื่องอะไรรึ? ท่านผู้นำกำลังจะสละตำแหน่งและแต่งตั้งเสี่ยวเหยียนแทนอย่างนั้นหรือ?”
เมื่อได้ยินวาจาของเฟิงหรูเซียว อีสั่วก็แสร้งแสดงท่าทีว่าเพิ่งรู้เรื่อง ทว่าน้ำเสียงและคำพูดของเขาเจือความเย้ยหยันเล็กน้อย
“ฮ่าๆๆ ถูกต้อง ข้าแก่มากแล้ว ตอนนี้ถึงเวลาสำหรับคนรุ่นใหม่แล้ว”
เฟิงหรูเซียวไม่โกรธเคืองขณะกล่าวด้วยสีหน้าที่ยังคงสงบนิ่ง
“ท่านผู้นำอย่าพูดเช่นนั้นเลย ท่านยังหนุ่มยังแน่นในสายตาข้า”
เมื่อรู้สึกได้ว่าคำพูดเมื่อครู่ของตนเองชัดเจนเกินไป อีสั่วจึงไตร่ตรองครู่หนึ่งและกล่าวออกไปอย่างประจบสอพลอ
“แน่นอนว่ามีหลายคนที่สามารถสืบทอดตำแหน่งผู้นำตระกูลได้ แต่ข้าเชื่อว่าทั้งผู้อาวุโสและสมาชิกตระกูลเฟิงทุกคนได้ยินมาบ้างแล้ว ตอนนี้มีเพียงสองคนที่มีทั้งความแข็งแกร่งและพรสวรรค์เหมาะสมกับตำแหน่งผู้นำตระกูลเฟิงคนต่อไป”
เฟิงหรูเซียวละความสนใจจากอีสั่วและพูดตรงเข้าประเด็น
“คนหนึ่งคือหลานสาวของข้า—เฟิงมู่เหยียน แม้ว่านางยังเด็กมากและมีพลังความแข็งแกร่งอยู่เพียงระดับทั่วไปเท่านั้น ทว่านางก็มีพรสวรรค์ที่ยอดเยี่ยมและเป็นที่รักของตระกูลเฟิงของเรา อีกคนก็คือเฟิงอู๋ซึ่งมีพรสวรรค์ที่มากพอๆกัน ข้าเรียกทุกคนมาที่นี่เพื่อถามความเห็น ระหว่างสองคนนี้ ทุกคนจะเลือกสนับสนุนผู้ใด?”
เฟิงหรูเซียวไม่รอช้าและไม่สนใจว่าจะมีคนนอกเข้าร่วมงานนี้มากเพียงใด หลังจากเหตุการณ์นี้ อำนาจบารมีและเกียรติยศของตระกูลเฟิงจะลดลงอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ทว่าเขาก็ไม่ได้กังวลถึงเรื่องนั้น
หากว่าเสี่ยวเหยียนได้เป็นผู้นำตระกูลคนต่อไป ด้วยความช่วยเหลือของเฟิงจิงเทียนและเฟิงหมิง ตระกูลเฟิงจะฟื้นฟูกลับสู่ความรุ่งเรืองตามเดิมได้อย่างแน่นอน
บรรดาผู้อาวุโสก็มิได้รู้สึกแปลกใจใดๆ พวกเขาได้ยินข่าวนี้มาก่อนแล้ว
“ฮ่าๆๆ ข้าคิดว่าเฟิงอู๋เหมาะสมกับตำแหน่งผู้นำตระกูลมากกว่า แม้ว่าเสี่ยวเหยียนมีพรสวรรค์ที่ไม่ด้อยไปกว่ากัน นางก็ยังอ่อนประสบการณ์มากเกินไปและเพิ่งเข้าร่วมตระกูลเฟิงเราได้เพียงไม่นาน ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่นางจะปกครองผู้คนได้”
อีสั่วยิ้มและเอ่ยชื่อคนที่เขาสนับสนุนอย่างไม่รอช้า
เฟิงอู๋หารือเรื่องนี้กับเขามาเป็นการล่วงหน้าแล้ว แน่นอนว่าเขาไม่มีความลังเลใดๆ อีกทั้งยังมีความสุขมาก
ยิ่งไปกว่านั้น เมื่อเปรียบเทียบกัน อีสั่วหวังว่าเฟิงอู๋จะได้เป็นผู้นำตระกูลคนต่อไป ถึงอย่างไรแล้วหากเสี่ยวเหยียนได้ตำแหน่งนั้นไปครอบครอง อำนาจในตระกูลก็จะยังตกอยู่ในมือของเฟิงหรูเซียวและเฟิงจิงเทียน
ไม่ว่าจะเป็นเฟิงหรูเซียวหรือเฟิงจิงเทียนก็ยากที่เขาจะรับมือได้ ในทางกลับกัน เขาคิดว่าตนเองรับมือกับเฟิงอู๋และเฟิงหลิงได้ง่ายกว่ามาก
“ฮ่าๆๆ ผู้อาวุโสใหญ่สนิทสนมกับเฟิงอู๋เป็นปกติอยู่แล้ว นั่นจะไม่เป็นเข้าข้างไปหน่อยรึ?”
ทันทีที่สิ้นเสียงของอีสั่ว บุรุษที่อยู่ถัดจากเขาซึ่งดูมีอายุน้อยกว่าเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงเจือความล้อเลียน เขาเป็นผู้อาวุโสสองของตระกูลเฟิงซึ่งมีนามว่าตี๋หย่งและเขาจงรักภักดีต่อเฟิงหรูเซียวเป็นที่สุด
“ทุกคนต่างก็รู้จักเฟิงอู๋ดี เขามีพรสวรรค์ยอดเยี่ยมอย่างแท้จริง เพียงแต่ลักษณะนิสัยและการประพฤติตัวของเขาไม่ดีเสียเลย ตระกูลเฟิงของเราเป็นตระกูลเก่าแก่ของดินแดนอ้างว้าง หากได้ผู้ที่มีจิตใจชั่วร้ายมาเป็นผู้นำตระกูลและเรื่องนี้แพร่งพรายออกไป ผู้คนคงต้องหัวเราะเยาะพวกเราเป็นแน่”
หลังจากหยุดไปครู่หนึ่ง ตี๋หย่งก็กล่าวต่อ “ในทางตรงกันข้าม แม้ว่าเสี่ยวเหยียนจะเพิ่งเข้าร่วมกับตระกูลได้เพียงไม่นาน นางก็มีความสงบนิ่งและใจเย็นซึ่งเป็นคุณสมบัติที่ดีของผู้นำ ยิ่งไปกว่านั้นนางก็มีสหายที่แกร่งกล้าสามารถอย่างฉินอวี้โม่ หากนางได้เป็นผู้นำตระกูล ตระกูลเฟิงของเราจะรุ่งเรืองยิ่งกว่าเดิมอย่างแน่นอน เพราะเหตุนั้นข้าจึงคิดว่าเสี่ยวเหยียนเหมาะสมกับตำแหน่งนี้มากกว่า”
ตี๋หย่งชื่นชอบและถูกชะตากับเสี่ยวเหยียนมากและคิดว่าเฟิงอู๋มีจิตใจที่ชั่วร้ายมากเกินไป หากว่าได้เป็นผู้นำตระกูล เฟิงอู๋ไม่สามารถนำตระกูลไปในจุดที่ดีกว่าได้อย่างแน่นอน ไม่ว่าจะเพื่อประโยชน์ของตระกูลหรือตัวเอง เขาก็ไม่ต้องการให้เฟิงอู๋ได้เป็นผู้นำตระกูลเฟิงคนต่อไป
“พี่อาวุโสสอง ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องพูดจาให้ร้ายลูกข้าในขณะที่แสดงการสนับสนุนของตนเอง”
สีหน้าของเฟิงหลิงเปลี่ยนไปเล็กน้อยเมื่อได้ยินคำพูดของตี๋หย่ง
“ฮ่าๆๆ หากมันไม่ใช่ความจริง ทำไมจะต้องกลัวด้วยเล่า? บุตรชายของเจ้าเป็นอย่างไร เจ้าย่อมรู้ดีกว่าใคร ไม่ว่าอย่างไรลูกไม้ก็หล่นไม่ไกลต้นหรอก บุตรชายของเจ้าก็คงไม่ต่างจากเจ้าเท่าไหร่นัก”
ตี๋หย่งไม่ไว้หน้าเฟิงหลิงแม้แต่น้อย ในบรรดาผู้อาวุโสทั้งหมด หากพูดถึงเรื่องความแข็งแกร่ง หากตี๋หย่งบอกว่าตนเองเป็นสอง ก็ไม่มีใครที่จะกล้าบอกว่าตนเองเป็นหนึ่ง
หากไม่ใช่เพราะเขาอายุน้อยกว่าอีสั่วและไม่สนใจในอำนาจ ตำแหน่งผู้อาวุโสใหญ่ก็เป็นของเขาได้เช่นกัน
เพราะเหตุนั้นในตระกูลนี้ นอกเหนือจากเฟิงหรูเซียว ตี๋หย่งจึงไม่เคยแสดงความเคารพต่อใครอื่นซึ่งเฟิงหรูเซียวก็ทราบเรื่องนี้เป็นอย่างดี
แม้ว่าผู้อาวุโสคนอื่นๆจะไม่เต็มใจยอมรับ ทว่าพวกเขาก็ทำอะไรไม่ได้ ถึงอย่างไรแล้วผู้แข็งแกร่งย่อมเป็นที่เคารพสูงสุดและพวกเขาทำได้เพียงแค่เชื่อฟัง
เฟิงหลิงขมวดคิ้วมุ่นเมื่อได้ยินคำพูดของตี๋หย่งที่ไม่ไว้หน้าตนเองแม้แต่น้อยและสีหน้าของเขาเริ่มบิดเบี้ยว
“ฮ่าๆๆ ผู้อาวุโสสอง ท่านไม่พูดเกินไปหน่อยรึ? คำบางคนก็ดูจะรุนแรงเกินไป แม้ว่าเฟิงอู๋จะไม่ใช่บุคคลที่ยอดเยี่ยมที่สุด ทว่าเขาก็ไม่ใช่คนชั่วร้ายแต่อย่างใด หลังจากที่ได้เป็นผู้นำตระกูล พวกเราก็สามารถฝึกฝนอบรมและปรับเปลี่ยนพฤติกรรมของเขาได้ หลังจากการอบรมเรียนรู้เป็นอย่างดี เขาก็ย่อมมีคุณสมบัติในการเป็นผู้นำตระกูลได้”
หวังซั่วยิ้มบางๆและกล่าวออกมา
ในบรรดาผู้อาวุโสทั้งหมดของตระกูลเฟิง สถานะของเขาพิเศษแตกต่างจากทุกคน ผู้อาวุโสคนอื่นๆล้วนมีส่วนร่วมกับตระกูลเฟิงมากพอสมควรในขณะที่เขาได้เป็นผู้อาวุโสเพราะตัวตนในฐานะช่างหลอมระดับปรมาจารย์
ในฐานะช่างหลอมระดับปรมาจารย์ที่เป็นที่รู้จักทั่วดินแดนอ้างว้าง หวังซั่วมักจะวางท่าว่าตนเองสูงส่งอยู่เสมอ แม้ในหมู่ผู้อาวุโส เขาก็ไม่เคยเห็นใครในสายตา
ยิ่งไปกว่านั้น เขาก็ไม่ได้เชื่อฟังคำพูดของเฟิงหรูเซียวเป็นปกติอยู่แล้วและมักตัดสินใจด้วยตัวเอง
แรกเริ่มเดิมที หวังซั่วถือทัศนคติเป็นกลาง เขาคิดมาเสมอว่าไม่ว่าผู้ใดได้เป็นผู้นำตระกูลก็ไม่ได้ส่งผลอะไรกับเขา เขายังคงเป็นช่างหลอมระดับปรมาจารย์และมีจุดยืนที่ชัดเจนในตระกูลเฟิง
ทว่านับตั้งแต่งานชุมนุมช่างหลอมที่ผ่านมา เขาก็เปลี่ยนไปฝักใฝ่ฝ่ายเฟิงอู๋โดยสมบูรณ์
สาเหตุหนึ่งเป็นเพราะคติที่ว่าศัตรูของศัตรูก็คือมิตรสหาย และอีกสาเหตุหนึ่งเป็นเพราะเฟิงอู๋ให้สัญญาว่าจะมอบผลประโยชน์ให้เขาหลายอย่างเป็นการตอบแทน
แม้ว่าเขาเป็นช่างหลอมระดับปรมาจารย์อยู่แล้ว มันก็ยังมีอีกหลายสิ่งหลายอย่างที่เขาครอบครองมาไม่ได้และสิ่งที่เฟิงอู๋ให้สัญญาว่าจะมอบให้ก็เป็นสิ่งที่เขาปรารถนามาเนิ่นนาน
เพราะเหตุนั้น ไม่ว่าอย่างไร เขาก็จะทำให้เฟิงอู๋ได้กลายเป็นผู้นำตระกูลเฟิงคนต่อไปให้จงได้
“ฮ่าๆๆ สิ่งที่ผู้อาวุโสหวังซั่วพูดมาก็มีเหตุผล ตราบใดที่ฝึกอบรมเขาสักหน่อย ข้าเชื่อว่าเฟิงอู๋จะกลายเป็นผู้นำตระกูลที่ดีที่ไม่ด้อยไปกว่าใคร”
ผู้อาวุโสสี่ยิ้มและกล่าวแสดงความเห็นด้วย เขาก็อยู่ฝ่ายสนับสนุนเฟิงอู๋เช่นกัน ในการลงคะแนนเสียงเช่นนี้ แน่นอนว่าเขาก็ไม่ลังเลแม้แต่น้อย
“ก็ไม่เสมอไปหรอก มีคำกล่าวที่ว่าไม้ผุไม่อาจใช้แกะสลักได้! นอกจากนี้ ชื่อเสียงของเฟิงอู๋ก็ฉาวโฉ่เหลือเกิน ด้วยศัตรูมากมายที่เขาได้สร้างไว้ ก็คงเป็นไปไม่ได้ที่จะไม่เกิดปัญหาใดๆกับตระกูลเฟิง”
เมื่อผู้อาวุโสสี่เอ่ยขึ้น ผู้อาวุโสสามก็เสริมต่อ เขาเองก็อยู่ฝ่ายเฟิงหรูเซียวและเขาเชื่อว่าหากเสี่ยวเหยียนได้เป็นผู้นำตระกูล นางจะทำให้ตระกูลเฟิงพัฒนารุ่งเรืองขึ้นอย่างแน่นอน
“ฮ่าๆๆ ผู้อาวุโสสามพูดถูก ข้าก็สนับสนุนให้เสี่ยวเหยียนเป็นผู้นำคนใหม่เช่นกัน”
ผู้อาวุโสห้ากล่าวเห็นด้วยและแสดงความเห็นสนับสนุนเสี่ยวเหยียนอย่างเปิดเผย
“ข้าสนับสนุนให้เฟิงอู๋เป็นผู้นำตระกูลคนใหม่”
ผู้อาวุโสหกกล่าวขึ้นทันทีเพื่อแสดงความสนับสนุนของตนเอง
เมื่อเฟิงหลิงได้ยินว่าบัดนี้ผู้อาวุโสครึ่งหนึ่งสนับสนุนให้เฟิงอู๋เป็นผู้นำตระกูลเฟิงคนต่อไป เขาก็อดยกยิ้มมุมปากอย่างเยือกเย็นไม่ได้
เฟิงหรูเซียวนิ่วหน้าเล็กน้อย เขาเริ่มรู้สึกถึงเรื่องน่าปวดหัวอย่างลางๆ
โดยปกติแล้วผู้อาวุโสทั้งหกคนนี้เป็นกลางอยู่เสมอ ครานี้ไม่ทราบว่าเฟิงอู๋ติดสินบนผู้อาวุโสอย่างไรจนผู้อาวุโสทั้งสี่คนจึงหันไปสนับสนุนเขา
สถานการณ์ในขณะนี้คือผู้อาวุโสรวมเจ็ดคนแสดงความเห็นกันแล้วโดยมีสี่คนสนับสนุนเฟิงอู๋และสามคนสนับสนุนเสี่ยวเหยียน บัดนี้มีเพียงผู้อาวุโสเจ็ดเท่านั้นที่ยังคงยืนนิ่งและไม่แสดงความเห็นใดๆ
สิ่งที่น่าสนใจอย่างยิ่งคือผู้อาวุโสเจ็ดของตระกูลเฟิงคนนี้เป็นสตรี ยิ่งไปกว่านั้น นางสวมเสื้อคลุมสีดำสนิทบดบังตัวเองภายใต้อาภรณ์จนยากที่ผู้ใดจะมองเห็นใบหน้าที่แท้จริงของนางได้
นางแผ่กลิ่นอายความเฉยเมยและเรียบเฉยซึ่งทำให้เข้าถึงได้ยาก
“ผู้อาวุโสเจ็ด ตอนนี้ก็ขึ้นอยู่กับเจ้าแล้ว”
ผู้อาวุโสใหญ่อีสั่วมองไปที่ผู้อาวุโสเจ็ดและเอ่ยกระตุ้น
ในบรรดาผู้อาวุโสตระกูลเฟิงทั้งแปดคน ผู้อาวุโสเจ็ดเป็นคนเดียวที่ไม่มีผู้อาวุโสคนใดมองเห็นและเข้าใจอย่างทะลุปรุโปร่ง นางเป็นคนเดียวที่ไม่ใกล้ชิดสนิทสนมกับผู้อาวุโสคนอื่นๆ
ความคิดทัศนคติของผู้อาวุโสเจ็ดไม่ชัดเจนมาตลอด ทว่าตอนนี้นางจะต้องตัดสินใจครั้งสำคัญ
หากว่านางสนับสนุนเฟิงอู๋ ต่อให้เฟิงหรูเซียวและคนอื่นไม่เห็นด้วย เฟิงอู๋ก็จะมีข้ออ้างที่ชอบธรรมในการรับตำแหน่ง
หากว่านางสนับสนุนเสี่ยวเหยียน คะแนนเสียงของผู้อาวุโสทั้งสองฝ่ายก็จะเสมอกันและเรื่องนี้ก็จะซับซ้อนมากยิ่งขึ้น…
.