คุณหนูสี่ สตรีเปื้อนเลือด – ตอนที่ 341 จุดเริ่มต้นของความรัก

หลังจากฟังฉินเฟยเยียน–ผู้อาวุโสเจ็ดแห่งตระกูลเฟิงเล่าเรื่องราวเกี่ยวกับนางและเฟิงจิงเทียน ฉินอวี้โม่และเสี่ยวเหยียนก็รู้สึกอ่อนไหวอย่างยิ่ง

ทั้งสองไม่ได้เอื้อนเอ่ยสิ่งใด ทว่าดื่มด่ำและรำลึกถึงเรื่องราวที่ไม่หวือหวาทว่าฟังดูมีชีวิตชีวาราวกับเพิ่งเกิดขึ้น

ฉินเฟยเยียนเป็นบุตรสาวเพียงคนเดียวของผู้อาวุโสเจ็ดของตระกูลเฟิงคนก่อน นางเติบโตมากับเฟิงจิงเทียนและเป็นคนรู้ใจในวัยเด็ก ความสัมพันธ์ของทั้งสองดำเนินไปด้วยดีอย่างยิ่ง หากไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้นระหว่างนั้น บางทีทั้งสองอาจดำเนินตามวิถีของบิดามารดาและพัฒนาเป็นคู่รักครองคู่กัน

ทว่าในเวลานั้นทั้งเฟิงจิงเทียนและฉินเฟยเยียนยังมีอายุที่น้อยมากและยังสับสนไม่แน่ใจในความรู้สึกของตนเอง

เป็นตอนนั้นเองที่เฟิงจิงเทียนเดินทางออกไปท่องโลกเพื่อฝึกวรยุทธ์และถูกไล่ล่าโดยคนที่เฟิงหลิงส่งไป หลังจากนั้นเขาจึงได้บังเอิญพบกับมารดาของเสี่ยวเหยียน

มารดาของเสี่ยวเหยียนดูแลปรนนิบัติเฟิงจิงเทียนอย่างเต็มที่และเมื่อเวลาผ่านไป ความรักก็ก่อตัวขึ้นมาในหัวใจของทั้งสอง จากนั้นทั้งสองก็ครองรักและเคียงคู่กัน

ในเวลานั้นเองที่เฟิงจิงเทียนเข้าใจว่าความรักระหว่างบุรุษและสตรีแท้จริงแล้วเป็นอย่างไร

ในขณะเดียวกันนั้น เป็นเพราะการหายตัวไปของเฟิงจิงเทียน ฉินเฟยเยียนเองก็เข้าใจถึงความรู้สึกของตนเองที่มีต่อเฟิงจิงเทียนและเข้าใจในความสัมพันธ์ไม่ชัดเจนที่ผ่านมา

หลังจากนั้น เฟิงจิงเทียนก็ตกอยู่ในสถานการณ์ที่เฉียดตายและถูกช่วยชีวิตไว้ทันซึ่งส่งผลให้รากฐานของเขาได้รับความเสียหายอย่างหนัก ทว่าแม้ในตอนนั้นเฟิงจิงเทียนก็ยังนึกถึงเพียงแค่เรื่องราวที่ผ่านมา เขาคิดถึงและโหยหาสตรีคนรักและบุตรสาวอย่างสุดหัวใจ

ท้ายที่สุดฉินเฟยเยียนก็ได้รู้เรื่องความสัมพันธ์ของเขาและมารดาของเสี่ยวเหยียน อีกทั้งได้รับรู้การมีตัวตนของเสี่ยวเหยียน—บุตรสาวผู้เป็นพยานรักของทั้งสอง

ต้องยอมรับเลยว่าในตอนนั้นฉินเฟยเยียนทั้งรู้สึกอิจฉาริษยาและเศร้าเสียใจ ทว่านางไม่เคยแสดงความรู้สึกเหล่านั้นต่อหน้าผู้ใด

หลังจากไม่ได้รับข่าวคราวเรื่องบุตรสาวและสตรีคนรักแม้ตามสืบเสาะมากเพียงใด เฟิงจิงเทียนก็เปลี่ยนกลายเป็นอีกคนซึ่งมีแต่อารมณ์ในด้านลบ

เฟิงจิงเทียนในอดีตทั้งทะนงตน ภาคภูมิใจในตัวเอง มั่นใจและเปี่ยมไปด้วยความร่าเริงสดใส ทว่าหลังจากกลับมาอยู่ในจวนตระกูลเฟิงในตอนนั้น ทุกอย่างเกี่ยวกับเขาก็ถูกแทนที่ด้วยความหม่นหมองและความเศร้าโศก

แน่นอนว่าฉินเฟยเทียนไม่อาจทนมองเฟิงจิงเทียนเป็นเช่นนั้นและนางอดตำหนิเขาไม่ได้

ฉินเฟยเยียนไม่ได้พูดอะไรมากมายนัก เพียงแต่บอกกับเขาว่าหากต้องการตามหาเสี่ยวเหยียนและคนรักของตนเอง เขาต้องหมั่นทุ่มเทฝึกฝนเพื่อฟื้นคืนความแข็งแกร่งเดิมและพัฒนาตนโดยเร็วที่สุด ยิ่งไปกว่านั้น ฉินเฟยเยียนก็ยังได้สารภาพความรู้สึกของตนเองออกไปโดยตรง

เฟิงจิงเทียนก็รับรู้ได้ถึงความรู้สึกของฉินเฟยเทียน ทว่าในหัวใจของเขาก็ยังคงสับสนอยู่ไม่น้อย

อย่างไรก็ตาม เขาก็เชื่อว่าฉินเฟยเยียนพูดถูกและจิตวิญญาณนักสู้ของเขาก็กลับคืนสู่ปกติ เขากลายเป็นคนมองโลกในแง่ดีและหมั่นเพียรทุ่มเทอย่างหนัก ทว่านั่นก็เป็นการแสดงออกต่อฉินเฟยเยียนอย่างชัดเจนว่าเขาและนางจะไม่ได้ร่วมทางกัน

เฟิงจิงเทียนรักมารดาของเสี่ยวเหยียนอย่างสุดหัวใจและเขามั่นใจแน่วแน่ในความรักนั้นอย่างยิ่ง เขาจึงไม่ต้องการเหนี่ยวรั้งหรือยื้อฉินเฟยเยียนไว้

อย่างไรก็ตาม ฉินเฟยเยียนมีความดื้อรั้นเกินกว่าที่เฟิงจิงเทียนคาดไว้มาก ตลอดหลายปีที่ผ่านมานี้ นางไม่เพียงแต่ไม่มีความคิดที่จะแต่งงานเท่านั้น ทว่านางยังคอยอยู่เคียงข้างเฟิงจิงเทียนอยู่เสมอ

ในตอนที่เขาเศร้าเสียใจในเรื่องของเสี่ยวเหยียนและมารดาของนาง ฉินเฟยเยียนก็จะคอยให้กำลังใจและคอยปลอบประโลมเขาอยู่ไม่ห่าง

ในระหว่างนั้น นางก็ออกไปฝึกยุทธ์กับเขาอยู่เสมอ รวมถึงช่วยตามหาเสี่ยวเหยียนและคนรักที่พลัดพรากจากไป

ซึ่งทุกอย่างนี้ก็ดำเนินมานานกว่าสิบปี

เมื่อเวลาล่วงเลยนานกว่าสิบปีและไม่มีเบาะแสหรือข่าวคราวของทั้งสอง ฉินเฟยเยียนก็โน้มน้าวใจให้เฟิงจิงเทียนล้มเลิกความหวังลมๆแล้งๆไปเสีย นางเชื่อว่าด้วยเวลาที่ผ่านมานานกว่าสิบปี หากเสี่ยวเหยียนและมารดาของนางยังมีชีวิตอยู่ ทั้งสองก็คงออกตามหาเฟิงจิงเทียนแล้ว

สำหรับเฟิงจิงเทียน ความหวังในหัวใจของเขาก็ค่อยๆลดน้อยลงเรื่อยๆ ครั้งล่าสุดที่เขาเดินทางไปเมืองลั่วหยาง เขาเพียงต้องการไปให้เห็นกับตาตัวเองเป็นครั้งสุดท้าย หากยังไม่มีเบาะแส เขาก็จะล้มเลิกความตั้งใจและทำใจเรื่องของคนทั้งสอง

เมื่อได้รู้ความคิดของเฟิงจิงเทียน แน่นอนว่าฉินเฟยเยียนมีความสุขมาก การที่เขาตัดสินใจที่จะเลิกตามหาสตรีคนรักและบุตรสาวที่พลัดพราก นั่นหมายความว่าโอกาสของนางมาถึงแล้ว

ฉินเฟยเยียนไม่เชื่อว่าตลอดเวลาที่อยู่เคียงข้างกัน นางจะไม่มีตัวตนอยู่ในหัวใจของเฟิงจิงเทียน

แต่ทว่า.. หลังจากการเดินทางไปเมืองลั่วหยางครั้งสุดท้าย เฟิงจิงเทียนพาเสี่ยวเหยียนกลับมากับเขาด้วย และสิ่งที่กลับมาพร้อมกันในครานั้นคือข่าวเรื่องสตรีคนรักผู้เป็นมารดาของเสี่ยวเหยียน

เมื่อรู้ว่ามารดาของเสี่ยวเหยียนเสียชีวิตไปนานแล้ว เฟิงจิงเทียนก็จมอยู่กับความเศร้าโศกนานหลายวัน ตลอดช่วงเวลานั้น ฉินเฟยเทียนก็ยังคงอยู่เคียงข้างเขาเพื่อปลอบใจ ให้กำลังใจและดูแลเสี่ยวเหยียนเป็นอย่างดี

อย่างไรก็ตาม ฉินเฟยเยียนซึ่งมีความหวังจุดประกายขึ้นมาในตอนแรกพลันรู้สึกว่าเรื่องของนางและเฟิงจิงเทียนจะไม่มีทางเป็นไปได้อีก

และก็แน่นอน เฟิงจิงเทียนทั้งรักและทั้งหวงแหนบุตรสาวอย่างที่สุดจนมองข้ามนางไป อีกทั้งก็ดูเหมือนว่าเขาจะพยายามหลีกเลี่ยงนางไม่ว่าจะตั้งใจหรือไม่ตั้งใจก็ตาม

ฉินเฟยเยียนเป็นคนที่เรียบง่ายและไม่วุ่นวาย เมื่อเฟิงจิงเทียนพยายามหลบหน้านาง นางก็ไม่พยายามตามหาหรือกดดันเขา อีกอย่างในตอนนั้นเสี่ยวเหยียนเพิ่งเข้าสู่ตระกูลเฟิง แม้ว่านางจะมีความรู้สึกที่ซับซ้อนเกี่ยวกับเสี่ยวเหยียน ทว่าฉินเฟยเยียนก็รู้สึกเห็นใจและสงสารเด็กสาวผู้นี้เป็นอย่างมาก

ด้วยความรักอย่างแท้จริง ฉินเฟยเยียนย่อมหวังและต้องการให้เฟิงจิงเทียนมีความสุข ในขณะเดียวกัน หากเฟิงจิงเทียนรักและเป็นห่วงผู้ใด นางก็จะรักและเป็นห่วงคนผู้นั้นด้วยเช่นกัน

งานเลี้ยงตระกูลเฟิงเมื่อวานนี้เป็นครั้งแรกที่ฉินเฟยเยียนและเฟิงจิงเทียนได้พบหน้ากันหลังจากช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมา เมื่อรับรู้ได้ว่าอีกฝ่ายพยายามหลบหน้า นางจึงรู้สึกเศร้าสลดอยู่ไม่น้อย

อย่างไรก็ตาม นางรู้และเข้าใจในทางเลือกของเฟิงจิงเทียน เขาเสียใจกับเรื่องที่เกิดขึ้นกับเสี่ยวเหยียนและมารดาของนาง เขาจึงต้องการชดเชยให้กับทั้งสองและไม่อยากให้บุตรสาวต้องเศร้าเสียใจ นี่เป็นทางเลือกที่ถูกต้องที่สุดสำหรับเขา

ฉินเฟยเยียนคิดว่าเรื่องของนางและเฟิงจิงเทียนคงจะมาถึงจุดสิ้นสุดแล้ว ทว่าสิ่งที่นางไม่คาดคิดเลยก็คือเสี่ยวเหยียนจะมาเยือนถึงเรือนของนางในวันนี้

นางตัดสินใจกับตัวเองแล้วว่าจะคอยดูแลเฟิงจิงเทียนและตระกูลเฟิงต่อไปในอนาคต ต่อให้จะต้องอยู่อย่างโดดเดี่ยวก็ตาม นางไม่คิดเลยว่าตอนนี้จะยังมีความหวังอยู่

“ท่านพ่อนี่ทึ่มจริงๆ”

เสี่ยวเหยียนเอ่ยความรู้สึกของตนเองออกไป

แม้ว่านางยังเยาว์วัย นางก็พอจะเข้าใจความคิดของฉินเฟยเยียน

นางเข้าใจอีกว่าบิดาของตนรักใคร่ชอบพอฉินเฟยเยียนอย่างแน่นอน ถึงอย่างไรแล้วการใช้เวลาอยู่เคียงข้างกันมาเนิ่นนานหลายปี ต่อให้เป็นสัตว์เดรัจฉานก็ต้องเกิดความหวั่นไหวในหัวใจ ยิ่งไปกว่านั้น ฉินเฟยเยียนเป็นคนดีมากและนางนึกถึงเฟิงจิงเทียนอยู่เสมอ หากเฟิงจิงเทียนไม่มีความรู้สึกอะไรต่อนางก็คงจะเป็นเรื่องผิดปกติ

ฉินอวี้โม่เองก็รู้สึกเศร้าใจเล็กน้อยเช่นกัน เรื่องความรักเป็นสิ่งที่ซับซ้อนอย่างที่สุด การที่ทำให้สตรีคนหนึ่งมอบความรักอย่างเต็มใจและรักอย่างเงียบๆโดยไม่หวังผลมาตลอดระยะเวลานาน สามารถที่จะจินตนาการได้ว่าความรักของนางลึกซึ้งเพียงใด

เมื่อนึกถึงเรื่องราวของตนเองและหานโม่ฉือ อดีตนักฆ่าสาวในร่างคุณหนูก็อดรู้สึกว่าตัวเองโชคดีไม่ได้

ทั้งสองได้พบกันถูกที่ถูกเวลาและไม่มีเรื่องซับซ้อนใดๆมาคั่นกลางซึ่งนับเป็นสิ่งที่โชคดีอย่างมาก

ฉินอวี้โม่มองไปในทิศทางของเมืองเฟิงอวิ๋นและเอ่ยขึ้นในใจ “โม่ฉือ..เจ้าจะรอข้าอยู่ที่นั่นรึไม่?”

“ท่านผู้อาวุโสเจ็ด ไม่ต้องกังวลเลย เรื่องนี้ข้าจัดการเอง ข้าจะถามให้รู้ความว่าท่านพ่อรู้สึกอย่างไรกับท่าน หากเขาเองก็คิดเหมือนกัน ข้าจะจัดการให้ท่านทั้งสองได้แต่งงานกันแน่ๆ”

เสี่ยวเหยียนจับมือฉินเฟยเยียนและกล่าวยืนยันให้นางวางใจ

มารดาของนางไม่มีโอกาสได้ครองรักกับเฟิงจิงเทียนและเสียชีวิตไปพร้อมกับความเศร้าเสียใจ ทว่าเรื่องนั้นก็ผ่านมาแล้วและไม่อาจย้อนไปแก้ไขได้ บัดนี้หากเฟิงจิงเทียนและฉินเฟยเยียนรักกัน มันก็ไม่มีข้ออ้างหรืออุปสรรคใดที่จะขวางกั้นไม่ให้พวกเขาอยู่ด้วยกัน

เสี่ยวเหยียนหวังเป็นอย่างยิ่งว่าบิดาของตนและฉินเฟยเยียนซึ่งเป็นสตรีที่รักเขามากจะได้มีความสุขสมหวังกันสักที

“เสี่ยวเหยียน ขอบใจเจ้ามาก ข้าไม่คิดเลยจริงๆว่าเจ้าจะสนับสนุนข้าเช่นนี้”

ฉินเฟยเยียนเขย่ามือของเสี่ยวเหยียนด้วยความซาบซึ้งใจ นางไม่คาดคิดว่าเด็กสาวที่ยังอายุน้อยมากจะทั้งกล้าหาญและใจกว้างเช่นนี้

เสี่ยวเหยียนยิ้มและกล่าว “ถ้างั้นข้าขอตัวไปหาท่านพ่อก่อน พี่อวี้โม่และท่านผู้อาวุโสเจ็ดพูดคุยกันไปก่อนเลยเจ้าค่ะ”

หลังจากกล่าวจบ เด็กสาวก็ยิ้มกว้างให้คนทั้งสองและวิ่งออกจากลานไปอย่างรวดเร็ว

“สาวน้อยคนนี้ใจร้อนเหมือนพ่อของนางไม่มีผิด”

ฉินเฟยเยียนยิ้มอย่างเอ็นดูพร้อมถอนหายใจเบาๆ

“ท่านผู้อาวุโสเจ็ดช่างเป็นสตรีที่น่าชื่นชมจริงๆเจ้าค่ะ”

ฉินอวี้โม่มองสตรีมีภูมิฐานตรงหน้าและอดถอนหายใจออกมาไม่ได้

“ฮ่าๆ ก็แค่มีความรักที่ลึกซึ้งเกินไป”

แน่นอนว่าฉินเฟยเยียนเข้าใจความหมายของฉินอวี้โม่ นางกล่าวพร้อมกับหัวเราะออกมาเบาๆ

ทว่าเป็นเพราะความรักที่มากมายและลึกซึ้ง มันจึงเรียบง่ายและไม่ซับซ้อนเช่นนี้ แต่บางครั้งความรักก็เป็นสิ่งที่ทุกข์ทรมานใจ

“หากเทียบกันจริงๆ เจ้าเป็นสตรีที่น่าชื่นชมกว่ามาก”

ฉินเฟยเยียนมองฉินอวี้โม่ด้วยแววตาเปี่ยมไปด้วยความชื่นชม

“ช่วงที่ผ่านมา ข้าได้ยินเรื่องของเจ้ามามากเหลือเกิน สตรีที่อิสระ แกร่งกล้าสามารถและมีความทุ่มเทพยายามเป็นสตรีที่พบได้ยากอย่างยิ่ง กอปรกับพรสวรรค์เหนือธรรมชาติและรูปลักษณ์ที่ทรงเสน่ห์ไร้ผู้ต้านทานของเจ้า ข้าเชื่อว่าวันหนึ่งเจ้าจะต้องกลายเป็นยอดฝีมืออันดับต้นๆของดินแดนได้อย่างแน่นอน เจ้าจะเป็นบุคคลที่สตรีมากมายชื่นชมนับถือและบุรุษทั่วใต้หล้าหลงรัก”

ฉินเฟยเยียนได้ยินเรื่องของฉินอวี้โม่มากมาย เมื่อได้รู้สิ่งที่เกิดขึ้นกับฉินอวี้โม่ที่ผ่านมา นางก็อดรู้สึกละอายใจเล็กน้อยไม่ได้

ผู้อาวุโสเจ็ดถือว่าตนเองมีนิสัยเรียบง่ายและรักอิสระ อีกทั้งยังเชื่อว่าตนเองแกร่งกล้าสามารถกว่าสตรีทั่วไป อย่างไรก็ตาม เมื่อเทียบกับจอมยุทธ์จากต่างแดนนามว่า ‘ฉินอวี้โม่’ ผู้นี้ นางยังห่างไกลอีกมาก

ความเด็ดเดี่ยว กล้าหาญและองอาจของฉินอวี้โม่นั้น ฉินเฟยเยียนเทียบไม่ได้แม้แต่น้อย ยิ่งไปกว่านั้น นางก็ไม่อาจหาญพอที่จะทำหลายสิ่งหลายอย่างเหมือนกับฉินอวี้โม่

เมื่อได้ยินวาจาชื่นชมของผู้อาวุโสเจ็ด ฉินอวี้โม่ก็เพียงยิ้มมุมปากเล็กน้อยโดยไม่เอ่ยอะไร นางใช้ชีวิตมาแล้วถึงสองชาติซึ่งรวมกับอาชีพของนางในชีวิตก่อน หากนางไม่มีจิตใจแกร่งกล้าอย่างทุกวันนี้ ชีวิตที่ผ่านมาของนางก็คงจะสูญเปล่า

“จะว่าไปแล้ว ข้าได้ยินว่าแม่นางอวี้โม่มาจากดินแดนหวนหลิงอย่างนั้นรึ?”

เมื่อนึกถึงบางอย่าง ฉินเฟยเยียนก็เอ่ยถามพร้อมรอยยิ้ม

ฉินอวี้โม่พยักศีรษะอย่างไม่ปฏิเสธ

“บรรพบุรุษของข้าก็เป็นคนของดินแดนหวนหลิงเช่นกัน เพียงแต่พวกเขาเคลื่อนย้ายถิ่นฐานมาอยู่ที่ดินแดนอ้างว้างแห่งนี้และใช้ชีวิตอยู่ที่นี่มานาน ตอนนี้ก็ผ่านมาหลายร้อยปีแล้ว”

ฉินเฟยเยียนยิ้มและกล่าวต่อ “ข้าเคยได้ยินบรรพบุรุษบางคนเอ่ยถึงสถานการณ์ในดินแดนหวนหลิง พวกเขาบอกว่าสภาวะพลังและทรัพยากรของที่นั่นด้อยกว่าดินแดนอ้างว้างเป็นอย่างมาก ทว่าหากมีบุคคลอย่างบิดาของเจ้าและเจ้าปรากฏขึ้นมาได้ เห็นได้ชัดว่าในบางครั้ง ความแข็งแกร่งของใครสักคนก็ขึ้นอยู่กับความเพียรพยายามและหัวใจที่หนักแน่นมั่นคงของพวกเขา”

สิ่งที่ฉินเฟยเยียนกล่าวคือความจริง สภาวะพลังของดินแดนอ้างว้างแห่งนี้มีมากกว่าดินแดนหวนหลิงอย่างน้อยหลายเท่าตัว กอปรกับทรัพยากรที่มากกว่าและข้อได้เปรียบแต่กำเนิดของคนที่นี่ก็มากกว่าคนจากดินแดนหวนหลิง การฝึกยุทธ์จึงรวดเร็วกว่ามาก

“ท่านผู้อาวุโสเจ็ด ข้าขออนุญาตถามท่านสักหน่อย ท่านได้ศึกษาข่ายอาคมมาใช่รึไม่?”

ฉินอวี้โม่สบตาผู้อาวุโสเจ็ดและเอ่ยถามสิ่งที่คาใจ

การโจมตีทางจิตวิญญาณของผู้อาวุโสเจ็ดถือว่ายอดเยี่ยมทีเดียว พลังจิตวิญญาณของนางน่าจะแข็งแกร่งมาก ความรู้สึกคุ้นเคยจากร่างของนางทำให้ฉินอวี้โม่นึกสงสัยและถามออกไป

“เจ้าสามารถมองออกสินะ”

ฉินเฟยเยียนยิ้มและกล่าว “ข้าศึกษาศาสตร์การใช้ข่ายอาคมมาจริงๆและได้เรียนรู้มาบ้างเล็กน้อย ทว่าข่ายอาคมก็ซับซ้อนเกินไปและข้าก็อยู่ในระดับเริ่มต้นเพียงเท่านั้น”

บรรพบุรุษของฉินเฟยเยียนเป็นผู้ใช้ข่ายอาคมที่ทรงพลัง นางจึงได้ศึกษาข่ายอาคมมาเช่นกัน

อย่างไรก็ตาม นางไม่ได้บอกเรื่องนี้กับฉินอวี้โม่

.

คุณหนูสี่ สตรีเปื้อนเลือด – ตอนที่ 341 จุดเริ่มต้นของความรัก

คุณหนูสี่ สตรีเปื้อนเลือด – ตอนที่ 341 จุดเริ่มต้นของความรัก

หลังจากฟังฉินเฟยเยียน–ผู้อาวุโสเจ็ดแห่งตระกูลเฟิงเล่าเรื่องราวเกี่ยวกับนางและเฟิงจิงเทียน ฉินอวี้โม่และเสี่ยวเหยียนก็รู้สึกอ่อนไหวอย่างยิ่ง

ทั้งสองไม่ได้เอื้อนเอ่ยสิ่งใด ทว่าดื่มด่ำและรำลึกถึงเรื่องราวที่ไม่หวือหวาทว่าฟังดูมีชีวิตชีวาราวกับเพิ่งเกิดขึ้น

ฉินเฟยเยียนเป็นบุตรสาวเพียงคนเดียวของผู้อาวุโสเจ็ดของตระกูลเฟิงคนก่อน นางเติบโตมากับเฟิงจิงเทียนและเป็นคนรู้ใจในวัยเด็ก ความสัมพันธ์ของทั้งสองดำเนินไปด้วยดีอย่างยิ่ง หากไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้นระหว่างนั้น บางทีทั้งสองอาจดำเนินตามวิถีของบิดามารดาและพัฒนาเป็นคู่รักครองคู่กัน

ทว่าในเวลานั้นทั้งเฟิงจิงเทียนและฉินเฟยเยียนยังมีอายุที่น้อยมากและยังสับสนไม่แน่ใจในความรู้สึกของตนเอง

เป็นตอนนั้นเองที่เฟิงจิงเทียนเดินทางออกไปท่องโลกเพื่อฝึกวรยุทธ์และถูกไล่ล่าโดยคนที่เฟิงหลิงส่งไป หลังจากนั้นเขาจึงได้บังเอิญพบกับมารดาของเสี่ยวเหยียน

มารดาของเสี่ยวเหยียนดูแลปรนนิบัติเฟิงจิงเทียนอย่างเต็มที่และเมื่อเวลาผ่านไป ความรักก็ก่อตัวขึ้นมาในหัวใจของทั้งสอง จากนั้นทั้งสองก็ครองรักและเคียงคู่กัน

ในเวลานั้นเองที่เฟิงจิงเทียนเข้าใจว่าความรักระหว่างบุรุษและสตรีแท้จริงแล้วเป็นอย่างไร

ในขณะเดียวกันนั้น เป็นเพราะการหายตัวไปของเฟิงจิงเทียน ฉินเฟยเยียนเองก็เข้าใจถึงความรู้สึกของตนเองที่มีต่อเฟิงจิงเทียนและเข้าใจในความสัมพันธ์ไม่ชัดเจนที่ผ่านมา

หลังจากนั้น เฟิงจิงเทียนก็ตกอยู่ในสถานการณ์ที่เฉียดตายและถูกช่วยชีวิตไว้ทันซึ่งส่งผลให้รากฐานของเขาได้รับความเสียหายอย่างหนัก ทว่าแม้ในตอนนั้นเฟิงจิงเทียนก็ยังนึกถึงเพียงแค่เรื่องราวที่ผ่านมา เขาคิดถึงและโหยหาสตรีคนรักและบุตรสาวอย่างสุดหัวใจ

ท้ายที่สุดฉินเฟยเยียนก็ได้รู้เรื่องความสัมพันธ์ของเขาและมารดาของเสี่ยวเหยียน อีกทั้งได้รับรู้การมีตัวตนของเสี่ยวเหยียน—บุตรสาวผู้เป็นพยานรักของทั้งสอง

ต้องยอมรับเลยว่าในตอนนั้นฉินเฟยเยียนทั้งรู้สึกอิจฉาริษยาและเศร้าเสียใจ ทว่านางไม่เคยแสดงความรู้สึกเหล่านั้นต่อหน้าผู้ใด

หลังจากไม่ได้รับข่าวคราวเรื่องบุตรสาวและสตรีคนรักแม้ตามสืบเสาะมากเพียงใด เฟิงจิงเทียนก็เปลี่ยนกลายเป็นอีกคนซึ่งมีแต่อารมณ์ในด้านลบ

เฟิงจิงเทียนในอดีตทั้งทะนงตน ภาคภูมิใจในตัวเอง มั่นใจและเปี่ยมไปด้วยความร่าเริงสดใส ทว่าหลังจากกลับมาอยู่ในจวนตระกูลเฟิงในตอนนั้น ทุกอย่างเกี่ยวกับเขาก็ถูกแทนที่ด้วยความหม่นหมองและความเศร้าโศก

แน่นอนว่าฉินเฟยเทียนไม่อาจทนมองเฟิงจิงเทียนเป็นเช่นนั้นและนางอดตำหนิเขาไม่ได้

ฉินเฟยเยียนไม่ได้พูดอะไรมากมายนัก เพียงแต่บอกกับเขาว่าหากต้องการตามหาเสี่ยวเหยียนและคนรักของตนเอง เขาต้องหมั่นทุ่มเทฝึกฝนเพื่อฟื้นคืนความแข็งแกร่งเดิมและพัฒนาตนโดยเร็วที่สุด ยิ่งไปกว่านั้น ฉินเฟยเยียนก็ยังได้สารภาพความรู้สึกของตนเองออกไปโดยตรง

เฟิงจิงเทียนก็รับรู้ได้ถึงความรู้สึกของฉินเฟยเทียน ทว่าในหัวใจของเขาก็ยังคงสับสนอยู่ไม่น้อย

อย่างไรก็ตาม เขาก็เชื่อว่าฉินเฟยเยียนพูดถูกและจิตวิญญาณนักสู้ของเขาก็กลับคืนสู่ปกติ เขากลายเป็นคนมองโลกในแง่ดีและหมั่นเพียรทุ่มเทอย่างหนัก ทว่านั่นก็เป็นการแสดงออกต่อฉินเฟยเยียนอย่างชัดเจนว่าเขาและนางจะไม่ได้ร่วมทางกัน

เฟิงจิงเทียนรักมารดาของเสี่ยวเหยียนอย่างสุดหัวใจและเขามั่นใจแน่วแน่ในความรักนั้นอย่างยิ่ง เขาจึงไม่ต้องการเหนี่ยวรั้งหรือยื้อฉินเฟยเยียนไว้

อย่างไรก็ตาม ฉินเฟยเยียนมีความดื้อรั้นเกินกว่าที่เฟิงจิงเทียนคาดไว้มาก ตลอดหลายปีที่ผ่านมานี้ นางไม่เพียงแต่ไม่มีความคิดที่จะแต่งงานเท่านั้น ทว่านางยังคอยอยู่เคียงข้างเฟิงจิงเทียนอยู่เสมอ

ในตอนที่เขาเศร้าเสียใจในเรื่องของเสี่ยวเหยียนและมารดาของนาง ฉินเฟยเยียนก็จะคอยให้กำลังใจและคอยปลอบประโลมเขาอยู่ไม่ห่าง

ในระหว่างนั้น นางก็ออกไปฝึกยุทธ์กับเขาอยู่เสมอ รวมถึงช่วยตามหาเสี่ยวเหยียนและคนรักที่พลัดพรากจากไป

ซึ่งทุกอย่างนี้ก็ดำเนินมานานกว่าสิบปี

เมื่อเวลาล่วงเลยนานกว่าสิบปีและไม่มีเบาะแสหรือข่าวคราวของทั้งสอง ฉินเฟยเยียนก็โน้มน้าวใจให้เฟิงจิงเทียนล้มเลิกความหวังลมๆแล้งๆไปเสีย นางเชื่อว่าด้วยเวลาที่ผ่านมานานกว่าสิบปี หากเสี่ยวเหยียนและมารดาของนางยังมีชีวิตอยู่ ทั้งสองก็คงออกตามหาเฟิงจิงเทียนแล้ว

สำหรับเฟิงจิงเทียน ความหวังในหัวใจของเขาก็ค่อยๆลดน้อยลงเรื่อยๆ ครั้งล่าสุดที่เขาเดินทางไปเมืองลั่วหยาง เขาเพียงต้องการไปให้เห็นกับตาตัวเองเป็นครั้งสุดท้าย หากยังไม่มีเบาะแส เขาก็จะล้มเลิกความตั้งใจและทำใจเรื่องของคนทั้งสอง

เมื่อได้รู้ความคิดของเฟิงจิงเทียน แน่นอนว่าฉินเฟยเยียนมีความสุขมาก การที่เขาตัดสินใจที่จะเลิกตามหาสตรีคนรักและบุตรสาวที่พลัดพราก นั่นหมายความว่าโอกาสของนางมาถึงแล้ว

ฉินเฟยเยียนไม่เชื่อว่าตลอดเวลาที่อยู่เคียงข้างกัน นางจะไม่มีตัวตนอยู่ในหัวใจของเฟิงจิงเทียน

แต่ทว่า.. หลังจากการเดินทางไปเมืองลั่วหยางครั้งสุดท้าย เฟิงจิงเทียนพาเสี่ยวเหยียนกลับมากับเขาด้วย และสิ่งที่กลับมาพร้อมกันในครานั้นคือข่าวเรื่องสตรีคนรักผู้เป็นมารดาของเสี่ยวเหยียน

เมื่อรู้ว่ามารดาของเสี่ยวเหยียนเสียชีวิตไปนานแล้ว เฟิงจิงเทียนก็จมอยู่กับความเศร้าโศกนานหลายวัน ตลอดช่วงเวลานั้น ฉินเฟยเทียนก็ยังคงอยู่เคียงข้างเขาเพื่อปลอบใจ ให้กำลังใจและดูแลเสี่ยวเหยียนเป็นอย่างดี

อย่างไรก็ตาม ฉินเฟยเยียนซึ่งมีความหวังจุดประกายขึ้นมาในตอนแรกพลันรู้สึกว่าเรื่องของนางและเฟิงจิงเทียนจะไม่มีทางเป็นไปได้อีก

และก็แน่นอน เฟิงจิงเทียนทั้งรักและทั้งหวงแหนบุตรสาวอย่างที่สุดจนมองข้ามนางไป อีกทั้งก็ดูเหมือนว่าเขาจะพยายามหลีกเลี่ยงนางไม่ว่าจะตั้งใจหรือไม่ตั้งใจก็ตาม

ฉินเฟยเยียนเป็นคนที่เรียบง่ายและไม่วุ่นวาย เมื่อเฟิงจิงเทียนพยายามหลบหน้านาง นางก็ไม่พยายามตามหาหรือกดดันเขา อีกอย่างในตอนนั้นเสี่ยวเหยียนเพิ่งเข้าสู่ตระกูลเฟิง แม้ว่านางจะมีความรู้สึกที่ซับซ้อนเกี่ยวกับเสี่ยวเหยียน ทว่าฉินเฟยเยียนก็รู้สึกเห็นใจและสงสารเด็กสาวผู้นี้เป็นอย่างมาก

ด้วยความรักอย่างแท้จริง ฉินเฟยเยียนย่อมหวังและต้องการให้เฟิงจิงเทียนมีความสุข ในขณะเดียวกัน หากเฟิงจิงเทียนรักและเป็นห่วงผู้ใด นางก็จะรักและเป็นห่วงคนผู้นั้นด้วยเช่นกัน

งานเลี้ยงตระกูลเฟิงเมื่อวานนี้เป็นครั้งแรกที่ฉินเฟยเยียนและเฟิงจิงเทียนได้พบหน้ากันหลังจากช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมา เมื่อรับรู้ได้ว่าอีกฝ่ายพยายามหลบหน้า นางจึงรู้สึกเศร้าสลดอยู่ไม่น้อย

อย่างไรก็ตาม นางรู้และเข้าใจในทางเลือกของเฟิงจิงเทียน เขาเสียใจกับเรื่องที่เกิดขึ้นกับเสี่ยวเหยียนและมารดาของนาง เขาจึงต้องการชดเชยให้กับทั้งสองและไม่อยากให้บุตรสาวต้องเศร้าเสียใจ นี่เป็นทางเลือกที่ถูกต้องที่สุดสำหรับเขา

ฉินเฟยเยียนคิดว่าเรื่องของนางและเฟิงจิงเทียนคงจะมาถึงจุดสิ้นสุดแล้ว ทว่าสิ่งที่นางไม่คาดคิดเลยก็คือเสี่ยวเหยียนจะมาเยือนถึงเรือนของนางในวันนี้

นางตัดสินใจกับตัวเองแล้วว่าจะคอยดูแลเฟิงจิงเทียนและตระกูลเฟิงต่อไปในอนาคต ต่อให้จะต้องอยู่อย่างโดดเดี่ยวก็ตาม นางไม่คิดเลยว่าตอนนี้จะยังมีความหวังอยู่

“ท่านพ่อนี่ทึ่มจริงๆ”

เสี่ยวเหยียนเอ่ยความรู้สึกของตนเองออกไป

แม้ว่านางยังเยาว์วัย นางก็พอจะเข้าใจความคิดของฉินเฟยเยียน

นางเข้าใจอีกว่าบิดาของตนรักใคร่ชอบพอฉินเฟยเยียนอย่างแน่นอน ถึงอย่างไรแล้วการใช้เวลาอยู่เคียงข้างกันมาเนิ่นนานหลายปี ต่อให้เป็นสัตว์เดรัจฉานก็ต้องเกิดความหวั่นไหวในหัวใจ ยิ่งไปกว่านั้น ฉินเฟยเยียนเป็นคนดีมากและนางนึกถึงเฟิงจิงเทียนอยู่เสมอ หากเฟิงจิงเทียนไม่มีความรู้สึกอะไรต่อนางก็คงจะเป็นเรื่องผิดปกติ

ฉินอวี้โม่เองก็รู้สึกเศร้าใจเล็กน้อยเช่นกัน เรื่องความรักเป็นสิ่งที่ซับซ้อนอย่างที่สุด การที่ทำให้สตรีคนหนึ่งมอบความรักอย่างเต็มใจและรักอย่างเงียบๆโดยไม่หวังผลมาตลอดระยะเวลานาน สามารถที่จะจินตนาการได้ว่าความรักของนางลึกซึ้งเพียงใด

เมื่อนึกถึงเรื่องราวของตนเองและหานโม่ฉือ อดีตนักฆ่าสาวในร่างคุณหนูก็อดรู้สึกว่าตัวเองโชคดีไม่ได้

ทั้งสองได้พบกันถูกที่ถูกเวลาและไม่มีเรื่องซับซ้อนใดๆมาคั่นกลางซึ่งนับเป็นสิ่งที่โชคดีอย่างมาก

ฉินอวี้โม่มองไปในทิศทางของเมืองเฟิงอวิ๋นและเอ่ยขึ้นในใจ “โม่ฉือ..เจ้าจะรอข้าอยู่ที่นั่นรึไม่?”

“ท่านผู้อาวุโสเจ็ด ไม่ต้องกังวลเลย เรื่องนี้ข้าจัดการเอง ข้าจะถามให้รู้ความว่าท่านพ่อรู้สึกอย่างไรกับท่าน หากเขาเองก็คิดเหมือนกัน ข้าจะจัดการให้ท่านทั้งสองได้แต่งงานกันแน่ๆ”

เสี่ยวเหยียนจับมือฉินเฟยเยียนและกล่าวยืนยันให้นางวางใจ

มารดาของนางไม่มีโอกาสได้ครองรักกับเฟิงจิงเทียนและเสียชีวิตไปพร้อมกับความเศร้าเสียใจ ทว่าเรื่องนั้นก็ผ่านมาแล้วและไม่อาจย้อนไปแก้ไขได้ บัดนี้หากเฟิงจิงเทียนและฉินเฟยเยียนรักกัน มันก็ไม่มีข้ออ้างหรืออุปสรรคใดที่จะขวางกั้นไม่ให้พวกเขาอยู่ด้วยกัน

เสี่ยวเหยียนหวังเป็นอย่างยิ่งว่าบิดาของตนและฉินเฟยเยียนซึ่งเป็นสตรีที่รักเขามากจะได้มีความสุขสมหวังกันสักที

“เสี่ยวเหยียน ขอบใจเจ้ามาก ข้าไม่คิดเลยจริงๆว่าเจ้าจะสนับสนุนข้าเช่นนี้”

ฉินเฟยเยียนเขย่ามือของเสี่ยวเหยียนด้วยความซาบซึ้งใจ นางไม่คาดคิดว่าเด็กสาวที่ยังอายุน้อยมากจะทั้งกล้าหาญและใจกว้างเช่นนี้

เสี่ยวเหยียนยิ้มและกล่าว “ถ้างั้นข้าขอตัวไปหาท่านพ่อก่อน พี่อวี้โม่และท่านผู้อาวุโสเจ็ดพูดคุยกันไปก่อนเลยเจ้าค่ะ”

หลังจากกล่าวจบ เด็กสาวก็ยิ้มกว้างให้คนทั้งสองและวิ่งออกจากลานไปอย่างรวดเร็ว

“สาวน้อยคนนี้ใจร้อนเหมือนพ่อของนางไม่มีผิด”

ฉินเฟยเยียนยิ้มอย่างเอ็นดูพร้อมถอนหายใจเบาๆ

“ท่านผู้อาวุโสเจ็ดช่างเป็นสตรีที่น่าชื่นชมจริงๆเจ้าค่ะ”

ฉินอวี้โม่มองสตรีมีภูมิฐานตรงหน้าและอดถอนหายใจออกมาไม่ได้

“ฮ่าๆ ก็แค่มีความรักที่ลึกซึ้งเกินไป”

แน่นอนว่าฉินเฟยเยียนเข้าใจความหมายของฉินอวี้โม่ นางกล่าวพร้อมกับหัวเราะออกมาเบาๆ

ทว่าเป็นเพราะความรักที่มากมายและลึกซึ้ง มันจึงเรียบง่ายและไม่ซับซ้อนเช่นนี้ แต่บางครั้งความรักก็เป็นสิ่งที่ทุกข์ทรมานใจ

“หากเทียบกันจริงๆ เจ้าเป็นสตรีที่น่าชื่นชมกว่ามาก”

ฉินเฟยเยียนมองฉินอวี้โม่ด้วยแววตาเปี่ยมไปด้วยความชื่นชม

“ช่วงที่ผ่านมา ข้าได้ยินเรื่องของเจ้ามามากเหลือเกิน สตรีที่อิสระ แกร่งกล้าสามารถและมีความทุ่มเทพยายามเป็นสตรีที่พบได้ยากอย่างยิ่ง กอปรกับพรสวรรค์เหนือธรรมชาติและรูปลักษณ์ที่ทรงเสน่ห์ไร้ผู้ต้านทานของเจ้า ข้าเชื่อว่าวันหนึ่งเจ้าจะต้องกลายเป็นยอดฝีมืออันดับต้นๆของดินแดนได้อย่างแน่นอน เจ้าจะเป็นบุคคลที่สตรีมากมายชื่นชมนับถือและบุรุษทั่วใต้หล้าหลงรัก”

ฉินเฟยเยียนได้ยินเรื่องของฉินอวี้โม่มากมาย เมื่อได้รู้สิ่งที่เกิดขึ้นกับฉินอวี้โม่ที่ผ่านมา นางก็อดรู้สึกละอายใจเล็กน้อยไม่ได้

ผู้อาวุโสเจ็ดถือว่าตนเองมีนิสัยเรียบง่ายและรักอิสระ อีกทั้งยังเชื่อว่าตนเองแกร่งกล้าสามารถกว่าสตรีทั่วไป อย่างไรก็ตาม เมื่อเทียบกับจอมยุทธ์จากต่างแดนนามว่า ‘ฉินอวี้โม่’ ผู้นี้ นางยังห่างไกลอีกมาก

ความเด็ดเดี่ยว กล้าหาญและองอาจของฉินอวี้โม่นั้น ฉินเฟยเยียนเทียบไม่ได้แม้แต่น้อย ยิ่งไปกว่านั้น นางก็ไม่อาจหาญพอที่จะทำหลายสิ่งหลายอย่างเหมือนกับฉินอวี้โม่

เมื่อได้ยินวาจาชื่นชมของผู้อาวุโสเจ็ด ฉินอวี้โม่ก็เพียงยิ้มมุมปากเล็กน้อยโดยไม่เอ่ยอะไร นางใช้ชีวิตมาแล้วถึงสองชาติซึ่งรวมกับอาชีพของนางในชีวิตก่อน หากนางไม่มีจิตใจแกร่งกล้าอย่างทุกวันนี้ ชีวิตที่ผ่านมาของนางก็คงจะสูญเปล่า

“จะว่าไปแล้ว ข้าได้ยินว่าแม่นางอวี้โม่มาจากดินแดนหวนหลิงอย่างนั้นรึ?”

เมื่อนึกถึงบางอย่าง ฉินเฟยเยียนก็เอ่ยถามพร้อมรอยยิ้ม

ฉินอวี้โม่พยักศีรษะอย่างไม่ปฏิเสธ

“บรรพบุรุษของข้าก็เป็นคนของดินแดนหวนหลิงเช่นกัน เพียงแต่พวกเขาเคลื่อนย้ายถิ่นฐานมาอยู่ที่ดินแดนอ้างว้างแห่งนี้และใช้ชีวิตอยู่ที่นี่มานาน ตอนนี้ก็ผ่านมาหลายร้อยปีแล้ว”

ฉินเฟยเยียนยิ้มและกล่าวต่อ “ข้าเคยได้ยินบรรพบุรุษบางคนเอ่ยถึงสถานการณ์ในดินแดนหวนหลิง พวกเขาบอกว่าสภาวะพลังและทรัพยากรของที่นั่นด้อยกว่าดินแดนอ้างว้างเป็นอย่างมาก ทว่าหากมีบุคคลอย่างบิดาของเจ้าและเจ้าปรากฏขึ้นมาได้ เห็นได้ชัดว่าในบางครั้ง ความแข็งแกร่งของใครสักคนก็ขึ้นอยู่กับความเพียรพยายามและหัวใจที่หนักแน่นมั่นคงของพวกเขา”

สิ่งที่ฉินเฟยเยียนกล่าวคือความจริง สภาวะพลังของดินแดนอ้างว้างแห่งนี้มีมากกว่าดินแดนหวนหลิงอย่างน้อยหลายเท่าตัว กอปรกับทรัพยากรที่มากกว่าและข้อได้เปรียบแต่กำเนิดของคนที่นี่ก็มากกว่าคนจากดินแดนหวนหลิง การฝึกยุทธ์จึงรวดเร็วกว่ามาก

“ท่านผู้อาวุโสเจ็ด ข้าขออนุญาตถามท่านสักหน่อย ท่านได้ศึกษาข่ายอาคมมาใช่รึไม่?”

ฉินอวี้โม่สบตาผู้อาวุโสเจ็ดและเอ่ยถามสิ่งที่คาใจ

การโจมตีทางจิตวิญญาณของผู้อาวุโสเจ็ดถือว่ายอดเยี่ยมทีเดียว พลังจิตวิญญาณของนางน่าจะแข็งแกร่งมาก ความรู้สึกคุ้นเคยจากร่างของนางทำให้ฉินอวี้โม่นึกสงสัยและถามออกไป

“เจ้าสามารถมองออกสินะ”

ฉินเฟยเยียนยิ้มและกล่าว “ข้าศึกษาศาสตร์การใช้ข่ายอาคมมาจริงๆและได้เรียนรู้มาบ้างเล็กน้อย ทว่าข่ายอาคมก็ซับซ้อนเกินไปและข้าก็อยู่ในระดับเริ่มต้นเพียงเท่านั้น”

บรรพบุรุษของฉินเฟยเยียนเป็นผู้ใช้ข่ายอาคมที่ทรงพลัง นางจึงได้ศึกษาข่ายอาคมมาเช่นกัน

อย่างไรก็ตาม นางไม่ได้บอกเรื่องนี้กับฉินอวี้โม่

.

Options

not work with dark mode
Reset