หลังจากร่ำลาผู้อาวุโสเจ็ด ฉินอวี้โม่ก็กลับไปยังจวนที่พักของตระกูลฉู่
เรื่องของตระกูลเฟิงก็เกือบที่จะจัดการได้เสร็จสิ้นแล้ว ด้วยความช่วยเหลือของเสี่ยวเหยียน เฟิงจิงเทียนและฉินเฟยเยียนก็น่าจะได้ลงเอยกันอย่างไม่ต้องสงสัย
สำหรับเรื่องที่ว่าเฟิงหรูเซียวจะลงโทษเฟิงหลิงและเฟิงอู๋อย่างไรนั้น มันก็ไม่เกี่ยวข้องอะไรกับฉินอวี้โม่
บัดนี้นางพร้อมเก็บสัมภาระและมุ่งหน้าไปยังอาณาเขตของตระกูลฉู่โดยเร็วที่สุด
สภาพร่างกายของฉู่เจี๋ยในตอนนี้ไม่สู้ดีนักและงานชุมนุมวายุเมฆาก็จะมาถึงในอีกไม่นาน นางจะต้องจัดการทุกอย่างให้เรียบร้อยก่อนถึงวันของงานชุมนุมเพื่อที่สถานการณ์ทุกอย่างจะราบรื่นและดำเนินไปด้วยดี
เย็นวันนั้น ฉู่เจี๋ยและคนอื่นๆก็กลับมาจากการท่องเมือง ฉินเทียน ฉู่ชิงซานและคนอื่นๆก็กลับมาพร้อมหน้าเช่นกัน
ฉินอวี้โม่แจ้งแผนการให้ทุกคนได้ทราบและพวกเขาก็ไม่มีข้อคัดค้านใดๆ อย่างไรก็ตาม ฉีอวิ๋นเหล่ยและพวกมีแผนการเดินทางของตนเอง
“อวี้โม่ เราจะไม่ไปที่จวนตระกูลฉู่กับเจ้า หลังจากเหตุการณ์ต่างๆที่ผ่านมาในช่วงนี้ เรารู้สึกว่าพลังของเรายังอ่อนแอเกินไป เพราะฉะนั้นตลอดหนึ่งเดือนข้างหน้า เราจะออกสั่งสมประสบการณ์และฝึกยุทธ์เพิ่มเติมด้วยความหวังว่าเมื่อถึงวันงานชุมนุมวายุเมฆา เราจะพัฒนาความแข็งแกร่งของตนเองได้ไม่มากก็น้อย”
ฉีอวิ๋นเหล่ยยิ้มและแจ้งแผนที่พวกเขาวางไว้
ฉีอวิ๋นเหล่ยและเหวินซื่อชู่นับว่าเป็นยอดฝีมือมากพรสวรรค์ในดินแดนอ้างว้าง ทว่าการปรากฏกายอย่างกะทันหันของฉินอวี้โม่และภัยคุกคามที่ไม่รู้จักต่างๆทำให้พวกเขารู้สึกถึงความกดดันอยู่ไม่น้อย เพราะเหตุนั้น พวกเขาจึงตัดสินใจที่จะถือโอกาสช่วงนี้เพื่อฝึกฝนและทุ่มเทอย่างหนักกว่าที่ผ่านมา
อย่างน้อยที่สุดพวกเขาก็ไม่ต้องการให้ฉินอวี้โม่ทิ้งห่างพวกเขาไปและไม่ต้องการเป็นตัวถ่วงของนาง
“เข้าใจแล้ว ถ้างั้นไว้พบกันที่งานชุมนุมวายุเมฆา ข้าหวังว่าตอนนั้นจะได้เห็นพลังของท่านที่เพิ่มขึ้นมาก”
ฉินอวี้โม่พยักศีรษะตอบรับ แม้ว่านางไม่เต็มใจนัก นางก็คิดว่าฉีอวิ๋นเหล่ยและคนอื่นๆตัดสินใจถูกแล้ว
หากต้องการพัฒนาพลังโดยเร็วที่สุด แน่นอนว่าการฝึกฝนเพียงในห้องหรือสถานที่บริเวณแคบๆย่อมไม่เพียงพอ มีเพียงการฝึกปรือและเพียรสั่งสมประสบการณ์ไปพร้อมกันเท่านั้นที่จอมยุทธ์จะพัฒนาความแข็งแกร่งของตนเองได้อย่างรวดเร็ว
“ท่านพ่อบุญธรรม โม่เอ๋อร์ ข้าจะพาคนไปกับอวิ๋นเหล่ยด้วย”
ฉินจ้านเอ่ยความคิดของตนเองออกมาทันที
“เยี่ยมไปเลย การที่พี่ฉินจ้านเดินทางร่วมกับพวกเรา มันจะทำให้คณะเดินทางมีชีวิตชีวาขึ้นมาก”
ซูเสี่ยวจวิ้นอดเอ่ยต้อนรับด้วยความตื่นเต้นไม่ได้ แน่นอนว่านางไม่ต้องการแยกจากฉินอวี้โม่และคนอื่นๆ เพียงแต่ฉีอวิ๋นเหล่ยพูดถูก ตอนนี้การตั้งสมาธิจดจ่อกับการฝึกฝนเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด
“ไปเถอะ อย่าทำให้ข้าผิดหวังและจงหมั่นฝึกฝนอย่างหนัก มิฉะนั้น หากวันหนึ่งเจ้าต้องขอให้เสี่ยวโม่เอ๋อร์ช่วยปกป้องเจ้า มันก็คงจะน่าอับอายไม่น้อย”
ฉินเทียนกล่าวอย่างไม่ต้องการรั้งฉินจ้านไว้และถึงขั้นเอ่ยหยอกล้อบุตรบุญธรรม
ฉินจ้านมีเหงื่อผุดทั่วตัวเมื่อได้ยินคำพูดของฉินเทียน เขาเพียงชำเลืองมองฉินอวี้โม่ด้วยความเชื่อเต็มหัวใจว่าสถานการณ์เช่นนั้นเป็นไปได้อย่างแน่นอน ถึงอย่างไรแล้วน้องสาวของเขาคนนี้ก็ผิดแปลกเหนือธรรมชาติเกินไปและเขารู้สึกได้ว่าพลังของตนเองในตอนนี้เทียบกับนางไม่ได้อีกต่อไป
“ถ้างั้นพรุ่งนี้เราจะไปที่จวนตระกูลเฟิงด้วยกันและกล่าวร่ำลา”
ฉู่เจี๋ยเอ่ยกับทุกคน ทว่าเขาเองก็รู้สึกฝืนใจไม่น้อยเช่นกัน แม้ว่าเขาได้ใช้เวลาอยู่กับฉีอวิ๋นเหล่ยและคนอื่นๆเพียงไม่กี่วัน พวกเขาก็สนิทสนมกันและกลายเป็นมิตรสหายที่ดีต่อกันแล้ว เพียงคิดว่าต้องแยกจากกัน เขาก็รู้สึกไม่เต็มใจนัก
ทุกคนพยักศีรษะและไม่ได้พูดอะไรต่อ
เช้าตรู่วันต่อมา ทุกคนก็มุ่งหน้าไปที่จวนตระกูลเฟิงพร้อมกัน
บัดนี้เรื่องทั้งหมดของตระกูลเฟิงได้รับการสะสางเป็นส่วนใหญ่แล้ว เฟิงหรูเซียวและคนอื่นๆจึงไม่ยุ่งวุ่นวายเท่าไหร่นักและยังพอมีเวลาว่าง
เมื่อได้ยินข่าวว่าฉินอวี้โม่และคณะกำลังจะเดินทางกลับ เป็นธรรมดาที่พวกเขาจะรู้สึกฝืนใจไม่น้อย
“พี่อวี้โม่ ท่านอยู่ต่ออีกสักสองสามวันไม่ได้รึ?”
แน่นอนว่าเสี่ยวเหยียนเป็นคนที่เศร้าใจที่สุด นางไม่สามารถไปจากจวนตระกูลเฟิงได้ในตอนนี้ ดังนั้นนางจึงออกไปท่องโลกฝึกยุทธ์กับฉินอวี้โม่และคนอื่นๆไม่ได้
“ฮ่าๆๆ อีกไม่นานก็จะถึงงานชุมนุมวายุเมฆาแล้ว เรายังมีเรื่องบางอย่างที่ต้องจัดการให้เรียบร้อย อีกอย่างเจ้าก็รู้สภาพร่างกายของฉู่เจี๋ยดี”
ฉินอวี้โม่ยิ้มอย่างเอ็นดูพลางแตะศีรษะของเด็กสาว
“เจ้าต้องหมั่นเพียรฝึกฝนอย่างหนักและเมื่อเราได้พบกันในงานชุมนุมวายุเมฆาอีกครั้ง เจ้าต้องแข็งแกร่งขึ้นจนทำให้ข้าต้องตกใจ”
“ได้เลย ข้าจะฝึกฝนอย่างเต็มที่”
เสี่ยวเหยียนพยักศีรษะพร้อมรับคำ นางจะหมั่นฝึกฝนอย่างเต็มที่เพื่อตามฉินอวี้โม่ให้ได้โดยเร็วที่สุด
“ฉินเทียน อวี้โม่ หากพวกท่านต้องการความช่วยเหลือใดๆในอนาคตก็มาหาพวกเราได้เลย ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น พวกเราตระกูลเฟิงจะเป็นสหายของพวกท่านเสมอ”
เฟิงจิงเทียนยิ้มและกล่าวอย่างจริงใจ
“ไม่ต้องห่วง พวกเราจะจำไว้”
ฉินเทียนพยักศีรษะและยิ้มให้เช่นกัน
“ถ้างั้นไว้พบกันที่งานชุมนุมวายุเมฆา”
เฟิงจิงเทียนยิ้มเบาๆ เขาตัดสินใจแล้วว่าจะพาเสี่ยวเหยียนไปเข้าร่วมงานชุมนุมวายุเมฆาด้วยตัวเอง
“ตกลง เราจะรอพบท่านที่นั่น”
ฉินเทียนพยักศีรษะตอบตกลง
หลังออกจากจวนตระกูลเฟิง ทุกคนก็มุ่งหน้ากันออกไปจากเมืองเฟิงหวง
ฉินอวี้โม่และคณะต้องการไปที่อาณาเขตของตระกูลฉู่โดยเร็วที่สุด เพราะเหตุนั้นทุกคนจึงตัดสินใจที่จะขี่อสูรมายาตรงไปที่นั่น
แน่นอนว่าในบรรดาอสูรมายาของฉินอวี้โม่ มังกรอัสนีมีความเร็วที่สูงที่สุดและมันก็ทรงพลังอย่างมาก ไม่ต้องกังวลว่าจะมีอสูรมายาตัวใดที่ริอาจมาหาเรื่องพวกนางในระหว่างทาง
ฉีอวิ๋นเหล่ยและคนอื่นๆก็ตัดสินใจที่จะฝึกฝนไปตลอดทางจนไปถึงเมืองเฟิงอวิ๋น
“พี่เสี่ยวเจี๋ย เราจะรอพบท่านที่เมืองเฟิงอวิ๋นนะ”
ซูเสี่ยวจวิ้นเดินเข้าไปหาฉู่เจี๋ยและสวมกอดเขาเบาๆ
การสร้างเส้นชีพจรขึ้นใหม่ของฉู่เจี๋ยเต็มไปด้วยความเสี่ยงและความอันตราย ไม่มีใครรับประกันได้ว่าจะประสบความสำเร็จหรือไม่ เพราะเหตุนั้นซูเสี่ยวจวิ้นจึงเป็นกังวลอยู่ไม่น้อย
“ไว้พบกันที่นั่น”
ฉู่เจี๋ยพยักศีรษะและพวงแก้มบนใบหน้าที่ซีดเผือดของเขาก็ชมพูระเรื่อขึ้นเล็กน้อย
“พวกเราทุกคนจะเป็นกำลังใจให้เจ้า”
ฉีอวิ๋นเหล่ยเดินเข้ามาเช่นกัน เขายิ้มให้คุณชายตระกูลฉู่อย่างอบอุ่น
“ขอบคุณมาก พี่อวิ๋นเหล่ย ข้าจะพยายามอย่างเต็มที่”
ฉู่เจี๋ยพยักหน้าหงึกหงักพร้อมกล่าวอย่างมุ่งมั่น เขาจะไม่ยอมแพ้ง่ายๆและจะต้องแข็งแกร่งขึ้นให้ได้
“อวี้โม่ เราจะรอพบเจ้าที่งานชุมนุมวายุเมฆา ข้าหวังว่าเมื่อถึงเวลานั้น เจ้าจะมีเรื่องให้พวกเราประหลาดใจอีก”
ฉีอวิ๋นเหล่ยกล่าวกับฉินอวี้โม่พร้อมรอยยิ้ม จากนั้นเขาก็นำทางทุกคนมุ่งหน้าออกไปในระยะไกล
“พวกเราก็ไปกันเถอะ”
ฉินอวี้โม่ก็กล่าวพร้อมเรียกมังกรอัสนีออกมาโดยที่มันปรากฏตัวขึ้นมาในร่างที่แท้จริงของมัน
นางก็ปีนขึ้นไปบนหลังของมันก่อนตามด้วยบรรดาสมาชิกของตระกูลฉู่ จากนั้นมังกรอัสนีก็บินโฉบขึ้นสูงและมุ่งหน้าตรงไปในทิศทางของจวนตระกูลฉู่
จวนตระกูลฉู่ไม่ได้ตั้งอยู่ในเมืองใดๆ หากแต่เป็นสถานที่หนึ่งที่มีชื่อว่า ‘หุบเขาหมื่นบุปผา’ ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากทิศตะวันออกเฉียงใต้ของเมืองเฟิงอวิ๋น
เมื่อเทียบกับตระกูลเฟิง ตระกูลฉู่รักสันโดษและสงบเงียบกว่ามาก แทบไม่มีข่าวคราวใดๆมาจากตระกูลของพวกเขาและมีสมาชิกเพียงน้อยคนที่จะออกเดินทางไปในสถานที่อื่น
มีเพียงฉู่เจี๋ยเท่านั้นที่เป็นที่รู้จักในหมู่ผู้คนในดินแดนและนั่นเป็นเพราะร่างกายที่พิเศษของเขา ส่วนคนอื่นๆในตระกูลนั้น ผู้คนภายนอกทราบเรื่องพวกเขาเพียงน้อยนิดเท่านั้น
ฉินอวี้โม่และคณะเดินทางมาถึงบริเวณด้านหน้าหุบเขาหมื่นบุปผาอย่างรวดเร็วและส่งสัญญาณให้มังกรอัสนีชะลอตัวและบินโฉบลงพื้นดิน
“พี่อวี้โม่ เราจะบินผ่านเหนือหุบเขาหมื่นบุปผาไม่ได้เป็นอันขาด มิฉะนั้นมันจะเกิดสถานการณ์ยุ่งยากขึ้นมา เราค่อยๆเดินเท้าเข้าไปจะดีกว่า”
ฉู่เจี๋ยยิ้มพร้อมกล่าวอธิบาย
ฉินอวี้โม่ก็พยักศีรษะขณะมองดูหุบเขาขนาดใหญ่ตรงหน้าด้วยความสงสัยใคร่รู้
หุบเขาหมื่นบุปผาสมดั่งชื่อของมันอย่างแท้จริง เพียงเพิ่งมาถึงที่นี่ ฉินอวี้โม่ก็ได้กลิ่นอบอวลหอมนวลของดอกไม้แผ่ออกมาและมองเห็นดอกไม้เรียงรายทั้งสองข้างทาง
ขณะเดินไปตามเส้นทาง คฤหาสน์หลังหนึ่งก็ปรากฏในทัศนวิสัยของทุกคน
ฉินอวี้โม่และฉินเทียนอดคิดไม่ได้ว่าหากได้ใช้ชีวิตอยู่ในคฤหาสน์เช่นนี้ พวกเขาก็คงมีความสุขสบายไม่น้อย
สภาพแวดล้อมของหุบเขาหมื่นบุปผายอดเยี่ยมและงดงามอย่างมาก มันเป็นสถานที่ที่เหมาะกับการอยู่อาศัยอย่างแท้จริง
หลังจากก้าวเดินไปเพียงไม่กี่นาที ทุกคนก็มาถึงหน้าคฤหาสน์
พื้นที่คฤหาสน์นี้ไม่กว้างขวางหรือหรูหราเท่าไหร่นัก ทว่ามันก็งดงามอย่างยิ่ง
ตรงหน้าประตูแบบโบราณที่ดูมีเสน่ห์ เด็กรับใช้สองคนยืนอยู่พร้อมรอยยิ้มประดับใบหน้า
เมื่อเห็นว่าผู้มาเยือนคือฉู่เจี๋ยและคณะ เด็กหนุ่มสองคนก็ตกตะลึงเล็กน้อยก่อนรีบปรี่เข้ามาโดยเร็ว
“นายน้อย ยินดีต้อนรับกลับมาขอรับ”
เด็กหนุ่มคนหนึ่งเอ่ยขึ้นและมองฉู่เจี๋ยอย่างมีความสุข
“ข้าจะไปแจ้งให้ท่านผู้นำทราบขอรับ”
เด็กหนุ่มอีกคนกล่าวและรีบวิ่งออกไปอย่างรวดเร็ว
“พี่อวี้โม่ ท่านลุงฉิน เข้าไปข้างในกันเถอะ”
ฉู่เจี๋ยยิ้มพลางเดินตรงเข้าไปข้างในพร้อมด้วยฉินอวี้โม่และฉินเทียน
ทันทีที่เข้าไป เด็กหนุ่มรับใช้ก็เดินออกมาโดยมีคนตามออกมาด้วยหลายคน
ผู้นำคนกลุ่มนั้นคือบุรุษวัยกลางคนที่ดูเหมือนมีอายุอยู่ในช่วงวัยสี่สิบปี เขาเดินมาพร้อมสตรีนางหนึ่งที่ดูมีอายุไม่แตกต่างจากเขาเท่าไหร่นัก
ด้านข้างของพวกเขามีคนอีกสองคนที่ดูมีอายุในช่วงสามสิบปีและมีบุรุษหนุ่มคนหนึ่งในช่วงอายุยี่สิบปีที่เดินตามมาข้างหลัง
แน่นอนว่าตัวตนของคนเหล่านี้ชัดเจนอยู่แล้ว ผู้ที่มีอายุมากที่สุดดูจะเป็นท่านปู่และท่านย่าของฉู่เจี๋ยซึ่งก็คือผู้นำตระกูลฉู่และภรรยาของเขา–ฉู่เหิงและเฟิงหรูชวง
บุรุษหนุ่มที่ดูมีอายุอยู่ในช่วงยี่สิบปีก็คือพี่ชายคนโตของฉู่เจี๋ย–ฉู่รุ่ย
ส่วนสองคนที่เหลือก็น่าจะเป็นบิดาและมารดาของฉู่เจี๋ย–ฉู่เฟยหยางและโหรวชู
“คารวะท่านปู่ท่านย่า ท่านพ่อท่านแม่ และท่านพี่ขอรับ”
ฉู่เจี๋ยยิ้มและโค้งคำนับเล็กน้อยเพื่อทำความเคารพอย่างนอบน้อม
“ลุกขึ้นเถอะ ย่าขอดูสักหน่อยว่าหลานย่าเป็นอย่างไรบ้าง”
ท่านย่าของฉู่เจี๋ย–เฟิงหรูชวงเดินเข้ามาใกล้และประคองฉู่เจี๋ยให้ยกตัวขึ้นก่อนมองสำรวจหลานชายอย่างพินิจพิจารณา
“คารวะท่านผู้นำตระกูลฉู่”
ฉินเทียนและฉินอวี้โม่ก็มองหน้ากันพร้อมรอยยิ้มก่อนก้าวออกไปข้างหน้าและโค้งคำนับต่ำเพื่อทำความเคารพอย่างนอบน้อมเช่นกัน
“ฮ่าๆๆ ลุกขึ้นเถอะ ไม่ต้องพิธีรีตองกันนักหรอก”
ฉู่เหิงยิ้มบางๆพร้อมกล่าว “ไม่คิดเลยว่าเด็กหนุ่มที่ข้าช่วยชีวิตไว้โดยบังเอิญเมื่อสิบกว่าปีก่อนจะกลายเป็นคนดังของดินแดนอ้างว้างไปซะแล้ว”
แน่นอนว่าเขาจำฉินเทียนได้ดี ตอนที่เขาออกไปนอกเมือง เขาบังเอิญพบกับฉินเทียนที่ถูกล้อมโดยอสูรมายาหลายตัวและตกอยู่ในอันตรายอย่างยิ่ง
ด้วยความรู้สึกประทับใจในความยืนหยัดและความไม่ยอมจำนนของฉินเทียน ฉู่เหิงจึงได้ช่วยชีวิตเขาไว้ เขาไม่คาดคิดเลยว่าเด็กหนุ่มในวันนั้นจะเติบโตจนรุ่งเรืองเหมือนอย่างในทุกวันนี้
ผู้นำแห่งขุมกำลังเสื้อคลุมทมิฬผู้เกรียงไกรในดินแดนอ้างว้าง พลังความแข็งแกร่งของฉินเทียนอาจเหนือกว่าตัวเขาแล้วด้วยซ้ำ
“ท่านผู้นำก็พูดเกินไปขอรับ หากไม่ใช่เพราะท่านที่ช่วยข้าไว้ ข้าก็คงไม่มีโอกาสเติบโตและพัฒนาตนเองจนมาถึงจุดนี้ได้ ตลอดหลายปีที่ผ่านมานี้ ข้าอยากมาที่ตระกูลฉู่เพื่อขอบคุณท่านด้วยตัวเองมาตลอด เพียงแต่มีหลายเรื่องที่ต้องจัดการและล่าช้าไปเรื่อยๆจนข้าหาเวลามาไม่ได้ เมื่อสบโอกาสเหมาะเจาะในครานี้ ข้าจึงได้ติดตามมาด้วย”
ฉินเทียนยิ้มอย่างซาบซึ้งใจ แม้ว่าพลังของเขาในตอนนี้น่าจะเทียบเท่ากับผู้นำตระกูลฉู่ เขาก็ไม่ทะนงตนเมื่ออยู่ต่อหน้าผู้นำตระกูลฉู่ที่เคยช่วยชีวิตเขาไว้ ถึงแม้พลังของตัวเขาจะเหนือกว่า ฉินเทียนก็ยังปฏิบัติต่ออีกฝ่ายด้วยความเคารพ นี่คือหลักปรัชญาในการใช้ชีวิตของเขา จอมยุทธ์ที่ดีย่อมที่จะกตัญญูต่อผู้มีพระคุณ
“ฮ่าๆๆ ด้วยความยินดี”
ฉู่เหิงยิ้มตอบก่อนเลื่อนสายตาไปที่ฉินอวี้โม่และกล่าวขึ้น “นี่ก็คงจะเป็นจอมยุทธ์ที่เลื่องชื่อในดินแดนเมื่อไม่นานมานี้และเป็นสตรีที่มีความองอาจกล้าหาญที่เหนือกว่าผู้ใด ฉินอวี้โม่..ผู้ช่วยชีวิตเสี่ยวเจี๋ยของพวกเรา”
“ท่านผู้นำชมข้าเกินไปแล้วเจ้าค่ะ”
ฉินอวี้โม่กล่าวพร้อมเผยรอยยิ้มเล็กน้อย
.