เช้าตรู่วันต่อมา ในที่สุดฉินอวี้โม่ก็ค่อยๆลืมตาขึ้น หลังจากหนึ่งวันแห่งการปรับสภาวะทางร่างกายและจิตใจ นางก็รู้สึกได้ว่าร่างกายของตนเองดีขึ้นมากและรู้สึกกระปรี้กระเปร่ามากกว่าเดิม
แม้ว่าพลังวิญญาณและพลังมายายังอ่อนแอพอสมควร ผลกระทบที่เกิดขึ้นก็ไม่รุนแรงนัก ตราบใดที่ปรับสภาวะร่างกายต่อไปอีกระยะหนึ่ง มันก็จะไม่มีอะไรที่น่าเป็นห่วง
นางใช้เวลาอยู่ในคฤหาสน์เฟิงหัวมานานหนึ่งวันเต็มแล้ว ในช่วงเวลานี้บรรดาคนของตระกูลฉู่ต่างก็เป็นกังวลอย่างยิ่ง เพราะเหตุนั้นฉินอวี้โม่จึงไม่รอช้าและรีบเดินออกจากคฤหาสน์อย่างรวดเร็ว
บรรดาสมาชิกตระกูลฉู่ก็ไม่ได้พักผ่อนมาตลอดทั้งคืนเพราะความกังวลใจ ฉู่เหิงและคนอื่นๆก็ยังคงอยู่ในห้องไม่ออกไปไหนและจ้องมองคฤหาสน์เฟิงหัวของฉินอวี้โม่อย่างไม่วางตา
ส่วนข้างนอกห้องโถง คนตระกูลฉู่ต่างก็นั่งเรียงรายอยู่ในลานกว้างเพื่อรอฟังผลลัพธ์
ทันใดนั้นก็เกิดแสงสว่างวาบขึ้นมาก่อนที่ฉินอวี้โม่จะปรากฏตัวออกมาจากคฤหาสน์เฟิงหัว ส่งผลให้บรรดาคนตระกูลฉู่ที่วิตกกังวลลุกพรวดขึ้นมาทันที
“เสี่ยวอวี้โม่ เป็นอย่างไรบ้าง?”
โหรวชูปรี่เข้ามาจับมือฉินอวี้โม่ไว้และเอ่ยถามอย่างเป็นกังวล
เมื่อไม่เห็นฉู่เจี๋ยออกมาพร้อมกันก็เป็นธรรมดาที่มารดาอย่างนางจะกังวลใจยิ่งกว่าเดิม
ฉู่เหิงและคนอื่นๆก็มองฉินอวี้โม่ด้วยแววตาคาดหวังเจือหวั่นวิตก
“ท่านป้า ทุกคน ไม่ต้องกังวลเจ้าค่ะ เราทำสำเร็จ”
ฉินอวี้โม่ยิ้มและแตะหลังมือโหรวชูเบาๆเพื่อปลอบประโลมไม่ให้นางกังวล
เมื่อได้ยินคำตอบยืนยันจากฉินอวี้โม่ สีหน้ากังวลของทุกคนก็หายเป็นปลิดทิ้งและแทนที่ด้วยรอยยิ้มมีความสุข
“เยี่ยมไปเลย เยี่ยมจริงๆ”
นายหญิงใหญ่แห่งตระกูลฉู่–เฟิงหรูชวงน้ำตารื้นด้วยความดีใจและตื่นเต้นอย่างที่สุด
“ในที่สุดเสี่ยวเจี๋ยหลานข้าก็จะได้ใช้ชีวิตเหมือนคนทั่วไปสักที”
ฉู่เหิงกล่าวออกไปด้วยอารมณ์ที่ล้นหลามเช่นกัน
“เสี่ยวอวี้โม่ ขอบคุณเจ้ามาก”
โหรวชูจับมือของฉินอวี้โม่พร้อมน้ำตาที่รื้นจนดวงตาพร่ามัวและอยากจะคุกเข่าเพื่อแสดงความขอบคุณ แม่นางผู้นี้ช่วยบุตรชายของนางไว้และถือเป็นผู้มีพระคุณสูงสุดของฉู่เจี๋ย จากนั้นนางก็ไม่รอช้าและเตรียมคุกเข่าลงเพื่อขอบคุณฉินอวี้โม่จากจริงใจ บัดนี้ต่อให้ตัวเองต้องตาย นางก็ยินดี
“ท่านป้า อย่าเลยเจ้าค่ะ”
เมื่อสัมผัสได้ถึงการเคลื่อนไหวของอีกฝ่าย ฉินอวี้โม่ก็รีบคว้าไหล่นางไว้อย่างรวดเร็ว
“เสี่ยวเจี๋ยเป็นสหายของข้า และในอดีตท่านผู้นำตระกูลฉู่ก็เคยช่วยชีวิตท่านพ่อของข้าไว้ ไม่ว่าอย่างไรข้าก็ต้องพยายามช่วยเขาอย่างสุดความสามารถ หากท่านขอบคุณข้ามากเกินไป เห็นทีข้าจะรับไว้ไม่ได้!”
ฉินอวี้โม่กล่าวด้วยน้ำเสียงจริงใจ
ไม่ว่าจะเพราะความรู้สึกถูกชะตาที่มีต่อฉู่เจี๋ยหรือการที่ผู้นำตระกูลฉู่เคยช่วยชีวิตฉินเทียนไว้ นางก็ต้องช่วยเหลือฉู่เจี๋ยอยู่แล้ว
อย่างไรก็ตาม บัดนี้นางก็เริ่มเข้าใจมากขึ้นเรื่อยๆว่าตระกูลฉู่ให้ความสำคัญกับความรู้สึกและมีความรักที่แน่นแฟ้นต่อกันมาก พวกเขาเป็นตระกูลที่สามัคคีและรักใคร่กลมเกลียวกันจริงๆ
“เสี่ยวอวี้ไม่ ไม่ว่าเจ้าจะพูดอย่างไร เราก็ยังต้องขอบคุณเจ้า”
ฉู่เฟยหยางกล่าวขณะมองฉินอวี้โม่ด้วยแววตาเปี่ยมไปด้วยความซาบซึ้งใจ
“จะว่าไปแล้ว ตอนนี้อาการของเสี่ยวเจี๋ยเป็นอย่างไรบ้าง?”
หลังจากปรับอารมณ์ของตนเองเล็กน้อย เฟิงหรูชวง–นายหญิงใหญ่แห่งตระกูลฉู่ก็เอ่ยถาม
“ไม่ต้องห่วงเจ้าค่ะ การสร้างเส้นชีพจรใหม่นี้เป็นกระบวนการที่ยากมาก แม้ว่าเราทำสำเร็จ ตอนนี้เสี่ยวเจี๋ยก็ยังอยู่ในสภาวะหลับใหล ข้าเองก็ไม่ทราบว่าเขาจะฟื้นขึ้นเมื่อใด แต่เขาเมื่อเขาฟื้นขึ้นมา เขาจะสร้างความประหลาดใจมากมายให้กับเราทุกคนอย่างแน่นอน”
ฉินอวี้โม่อธิบายสถานการณ์อย่างสั้นๆเพื่อให้คนตระกูลฉู่วางใจ
“อีกอย่าง คฤหาสน์เฟิงหัวของข้าก็มีสภาวะพลังที่หนาแน่นและปลอดภัยกว่าโลกภายนอกมาก ยิ่งไปกว่านั้น ถ้าหากมีอะไรเกิดขึ้นกับเสี่ยวเจี๋ย ข้าก็จะสามารถช่วยได้ทันเวลา เพราะฉะนั้นในระหว่างช่วงนี้ ข้าจึงอยากให้เขาอยู่ในคฤหาสน์ของข้าจนกว่าเขาจะฟื้นสติขึ้นมา”
หลังจากพิจารณาไตร่ตรอง ฉินอวี้โม่ก็กล่าวเสริมไป
เมื่อทุกคนได้ยินวาจาของฉินอวี้โม่ ความรู้สึกกังวลในหัวใจของพวกเขาก็คลายลง
“แน่นอนว่าพวกเราไม่มีปัญหา ถึงอย่างไรเจ้าก็เป็นผู้ที่ช่วยชีวิตของเสี่ยวเจี๋ยไว้และเจ้าก็ย่อมรู้สถานการณ์ของเขาดีที่สุด เพียงแต่..เจ้าจะให้พวกเราเข้าไปในคฤหาสน์เฟิงหัวเพื่อดูสถานการณ์ของเสี่ยวเจี๋ยด้วยตาตัวเองได้รึไม่?”
ฉู่เฟยหยางไม่รอช้าและตอบตกลงก่อนเอ่ยถามออกไปตามตรง
“ไม่มีปัญหาเจ้าค่ะ”
ฉินอวี้โม่ยิ้มและอนุญาตให้พวกเขาเข้าไปในคฤหาสน์หลังน้อยของตนเอง ทว่าเปิดให้เฉพาะคนใกล้ชิดของฉู่เจี๋ยที่อยู่ตรงหน้าเท่านั้น
“ท่านลุง ท่านป่า ท่านผู้นำ ท่านหญิง เชิญเจ้าค่ะ”
นางยิ้มบางๆและผายมือบอกให้ฉู่เหิงและคนอื่นๆตามเข้าไปในคฤหาสน์เฟิงหัว
แน่นอนว่าพวกเขาไม่รอช้าและเดินตรงไปหยุดตรงหน้าคฤหาสน์หลังน้อย จากนั้นแสงสว่างก็วาบขึ้นและพวกเขาก็หายเข้าไปในคฤหาสน์
เมื่อได้เห็นคฤหาสน์เฟิงหัวของฉินอวี้โม่ บรรดาสมาชิกตระกูลฉู่ต่างก็ตกตะลึง ถึงแม้พวกเขาจะมีประสบการณ์และความรู้กว้างขวาง พวกเขาก็ไม่เคยพบเห็นสิ่งปลูกสร้างที่งดงามเช่นนี้มาก่อน ยิ่งไปกว่านั้น สภาวะพลังภายในคฤหาสน์เฟิงหัวนี้ก็ทำให้พวกเขาต้องประหลาดใจเช่นกัน เป็นอย่างที่ฉินอวี้โม่กล่าวไว้ไม่มีผิด สภาวะพลังในคฤหาสน์เฟิงหัวนี้หนาแน่นกว่าโลกภายนอกหลายเท่าตัว การที่ฉู่เจี๋ยพักฟื้นอยู่ในนี้ถือเป็นทางเลือกที่ดีที่สุดแล้ว
ฉินอวี้โม่พาพวกเขาตรงไปยังห้องที่ฉู่เจี๋ยพักผ่อนอยู่ก่อนเดินเข้าไปอย่างไม่ลังเล
เมื่อมองดูฉู่เจี๋ยที่นอนหมดสติอยู่บนเตียงนอนอย่างเงียบๆทว่าใบหน้าของเขาระเรื่อขึ้นมาก ท่านย่าและมารดาของฉู่เจี๋ยก็เริ่มมีดวงตาที่แดงก่ำอีกครั้ง
นี่เป็นสิ่งยืนยันอย่างชัดเจนว่าฉู่เจี๋ยปลอดภัยดี เพียงแต่ไม่มีใครรู้ว่าเขาจะฟื้นขึ้นมาเมื่อใด บรรดาคนตระกูลฉู่ต่างก็โล่งใจอย่างสมบูรณ์
“เสี่ยวอวี้โม่ ช่วยดูแลเสี่ยวเจี๋ยต่อไปด้วย”
แม้ว่าไม่เต็มใจนัก พวกเขาก็มั่นใจว่าฉินอวี้โม่จะดูแลฉู่เจี๋ยอย่างแน่นอน ยิ่งไปกว่านั้น ด้วยสถานการณ์ของเขา การพักอยู่ในคฤหาสน์เฟิงหัวถือเป็นสิ่งที่ดีที่สุด
“วางใจเถอะเจ้าค่ะ ข้าจะดูแลจนกว่าเขาจะฟื้นขึ้นมา”
ฉินอวี้โม่พยักศีรษะอย่างหนักแน่น
แน่นอนว่านางจะดูแลฉู่เจี๋ยเป็นอย่างดี
หลังจากอยู่ต่อในคฤหาสน์เฟิงหัวอีกพักใหญ่ ฉินอวี้โม่และฝ่ายตระกูลฉู่ก็ออกจากคฤหาสน์
นายหญิงแห่งตระกูลฉู่และโหรวชู—มารดาของฉู่เจี๋ยรู้สึกเหนื่อยล้าเล็กน้อย ทั้งสองจึงกลับไปพักผ่อน
และเมื่อสมาชิกคนอื่นๆที่เหลือได้ทราบสถานการณ์ของฉู่เจี๋ย พวกเขาทั้งหมดก็มีความสุขและแยกย้ายกันไปจัดการเรื่องของตัวเอง
ผู้นำตระกูลฉู่—ฉู่เหิง บิดาของฉู่เจี๋ย—ฉู่เฟยหยาง และฉู่รุ่ยพี่ชายคนโตของฉู่เจี๋ยก็เป็นบุคคลที่มีสุขภาพแข็งแรงเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว ถึงแม้ไม่ได้นอนหลับพักผ่อนตลอดทั้งคืน พวกเขาก็ไม่ได้รู้สึกเหนื่อยล้าแต่อย่างใด
เมื่อฉินเทียนและฉู่ชิงซานได้รับข่าว พวกเขาก็รีบมุ่งหน้าเข้ามาอย่างรวดเร็ว
เมื่อได้ยินฉินอวี้โม่อธิบายเกี่ยวกับสถานการณ์ของฉู่เจี๋ย พวกเขาก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอกและความดีใจ
“เสี่ยวอวี้โม่ ขอบคุณเจ้าอีกครั้ง หากไม่ได้เจ้าล่ะก็ พวกเราก็คงทำได้เพียงทนมองดูเสี่ยวเจี๋ยจากไปโดยที่ไม่สามารถทำอะไรได้เลย”
ฉู่เหิงกล่าวขณะมองฉินอวี้โม่ด้วยความซาบซึ้งใจ เขาเคยช่วยชีวิตฉินเทียนไว้เมื่อสิบกว่าปีก่อนซึ่งก็ไม่ได้สำคัญอะไรอีกต่อไป ทว่าตอนนี้หากฉินอวี้โม่ต้องการ ต่อให้เป็นตำแหน่งผู้นำตระกูลฉู่ เขาก็ยินยอมมอบให้แต่โดยดี
“ท่านผู้นำ ท่านสุภาพเกินไปแล้วเจ้าค่ะ นี่คือสิ่งที่ข้าควรทำอยู่แล้ว”
ฉินอวี้โม่ยิ้มและไม่ได้พูดอะไรให้ยืดยาว ตระกูลฉู่สุภาพและขอบคุณนางมากเกินไปจนนางทำตัวไม่ถูก
“อยู่ต่อที่จวนของเราก่อนเถอะ พวกเราจะแสดงการขอบคุณอย่างสมเกียรติ ระหว่างนี้ให้โหรวชูและเฟิงหรูชวงได้เตรียมสิ่งของและดูแลฉู่เจี๋ยเถอะ”
ฉู่เหิงยิ้มและกล่าวออกมา
เขารู้ว่าฉินอวี้โม่มีแผนการและมีเรื่องของตนเองที่ต้องจัดการ เพราะเหตุนั้นเขาจึงไม่คิดที่จะรั้งนางไว้ที่นี่นานเกินไป อย่างไรก็ตาม เฟิงหรูชวงและโหรวชูไม่อยากแยกจากฉู่เจี๋ย ฉู่เหิงจึงอยากให้ฉินอวี้โม่อยู่ที่นี่ต่ออีกสักหน่อย
แน่นอนว่าฉินอวี้โม่ไม่มีปัญหาและพยักศีรษะตอบตกลง ต่อให้ฉู่เหิงไม่พูดอะไร นางก็วางแผนที่จะอยู่ในจวนตระกูลฉู่ต่อจนกว่าจะถึงงานชุมนุมวายุเมฆา
ถึงอย่างไรแล้วร่างกายของนางในตอนนี้ก็ยังอ่อนแอเกินไปและนางควรที่จะพักผ่อนให้เต็มที่ในขณะที่พักอยู่ที่นี่
เมื่อฉินอวี้โม่ตกปากรับคำ ฉู่เหิงก็ยิ้มออกมาเล็กน้อย
“เสี่ยวอวี้โม่ เจ้าไปพักผ่อนให้เต็มที่ก่อนเถอะ ข้ารู้ว่าเจ้าน่าจะเหนื่อยมาก หากต้องการอะไรก็บอกมาได้เลย ตระกูลฉู่ของเรามีโอสถและสมุนไพรมากมาย หากเจ้าต้องการสิ่งใด ข้าจะให้คนนำมาให้”
ฉู่เหิงยิ้มและกล่าวโดยไม่มีอะไรแอบแฝง
“ท่านผู้นำ ข้าขอบคุณสำหรับความเมตตาของท่านมาก หากข้าต้องการสิ่งใด ข้าจะไม่เกรงใจและจะไม่รอช้าเลยเจ้าค่ะ”
ฉินอวี้โม่ยิ้มพลางกล่าว “ถ้างั้นข้าขอตัวไปพักผ่อนก่อน และข้าจะออกมาอีกครั้งในช่วงเย็น”
ฉู่เหิงพยักศีรษะโดยไม่พูดอะไร
ฉินอวี้โม่กลับเข้าไปในคฤหาสน์เฟิงหัวอีกครั้งก่อนทิ้งตัวนอนลงบนเตียงและผล็อยหลับไป
บางครั้งบางครา การนอนหลับก็เป็นวิธีการเติมเต็มพลังงานได้ดีที่สุดและฉินอวี้โม่ก็เพิ่งค้นพบเรื่องนี้เมื่อไม่นานมานี้เอง
ภายในห้องโถง ฉู่เหิง ฉินเทียนและคนอื่นๆยังคงนั่งจิบน้ำชาและสนทนาพาทีกันอย่างออกรส
“สหายฉินมีบุตรสาวที่น่าภาคภูมิใจจริงๆ!”
ฉู่เฟยหยางกล่าวพร้อมรอยยิ้มและแสดงความชื่นชมต่อฉินอวี้โม่อย่างเปิดเผย
“สหายฉู่เองก็มีบุตรชายที่ดีเช่นกัน”
ฉินเทียนยิ้มและตอบกลับ ฉินเทียนมั่นใจว่าทั้งฉู่รุ่ยและฉู่เจี๋ยเป็นเด็กที่ดีมาก
แม้ว่าก่อนหน้านี้ฉู่เจี๋ยจะไม่สามารถฝึกยุทธ์ได้ เขาก็เชื่อว่าเมื่อฉู่เจี๋ยฟื้นขึ้นมา เด็กหนุ่มจะต้องพัฒนาก้าวหน้าได้อย่างรวดเร็ว
“ฮ่าๆๆ ในฐานะพ่อแม่ เราเพียงหวังว่าบุตรของเราจะได้ใช้ชีวิตอย่างสงบสุข ไม่มีสิ่งใดที่สำคัญไปกว่านั้น”
ฉู่เฟยหยางยิ้มและกล่าวด้วยท่าทีสงบนิ่ง
ฉินเทียนพยักศีรษะ สิ่งที่ฉู่เฟยหยางกล่าวมานั้นถือว่าสมเหตุสมผล ในฐานะบิดา พวกเขาย่อมหวังว่าบุตรของตนจะดำเนินชีวิตได้อย่างราบรื่นโดยที่ไม่มีอุปสรรคขัดขวางใดๆ
“จะว่าไปแล้ว ในเมื่อเจ้ามาถึงตระกูลฉู่ของเรา ข้าก็มีเรื่องบางอย่างที่ต้องแจ้งให้เจ้าทราบ”
จู่ๆฉู่เหิงก็เอ่ยขึ้นมาขณะมองฉินเทียนด้วยสีหน้าจริงจิงและดูตึงเครียดเล็กน้อย
เมื่อได้ยินน้ำเสียงของผู้นำตระกูลฉู่และเห็นสีหน้าของเขา ฉินเทียนก็รู้สึกได้ว่ามันจะต้องเป็นเรื่องสำคัญมากอย่างแน่นอน
“ท่านผู้นำ โปรดว่ามาเถอะ ข้ากำลังฟังอยู่”
ฉินเทียนพยักศีรษะเบาๆพร้อมกล่าวอย่างจริงจังเช่นกัน แม้ยังไม่รู้ว่ามันคือเรื่องอะไร เขาก็รู้สึกได้ว่ามันจะต้องเป็นเรื่องที่ยุ่งยากไม่น้อยเลย
“ไม่ทราบว่าเจ้าเคยได้ยินเรื่องของขุมกำลังลึกลับที่เป็นมารร้ายจากต่างแดนหรือไม่?”
ฉู่เหิงพูดเข้าประเด็นและกล่าวถึงกองกำลังที่ทำให้สีหน้าของฉินเทียนเปลี่ยนไปทันที
ขุมกำลังมารร้ายจากต่างแดนนี้เคยเป็นหนึ่งในขุมกำลังที่ทรงพลังที่สุดเมื่อหลายพันปีก่อน หากไม่ใช่เพราะการร่วมมือกันของยอดฝีมืออันดับต้นๆของดินแดนเทพมายาและด้วยความช่วยเหลือครั้งใหญ่จากเผ่าเอลฟ์และเผ่าอสูร เกรงว่าดินแดนเทพมายาคงดับสูญไปนานแล้วและจะไม่หลงเหลือมาจนถึงทุกวันนี้
เพราะเหตุนั้น สีหน้าของฉินเทียนจึงตึงเครียดทันทีที่ได้ยินฉู่เหิงกล่าวถึงขุมกำลังมารร้ายนี้ พวกมารร้ายจากต่างแดนเหล่านี้ไม่ธรรมดาอย่างแท้จริงและยังเป็นขุมกำลังที่เป็นภัยร้ายคุกคามมากที่สุดในดินแดนอ้างว้าง
“ทำไมจู่ๆท่านผู้นำจึงกล่าวถึงขุมกำลังมารร้ายนี่ล่ะขอรับ?”
ฉินเทียนมองฉู่เหิงและกล่าวด้วยน้ำเสียงจริงจัง ในเมื่อฉู่เหิงกล่าวเฉพาะเจาะจงเช่นนี้อาจหมายความว่าเขาได้รับข่าวเกี่ยวกับขุมกำลังมารร้ายมา และขุมกำลังที่ชั่วร้ายนี่ก็อาจจะกำลังเคลื่อนไหวอยู่ในดินแดนอ้างว้าง
“ฉินเทียน เจ้าเป็นคนฉลาดเฉลียว ข้าเชื่อว่าเจ้าคงพอจะเดาได้แล้ว ตระกูลฉู่ของเราพบเบาะแสเกี่ยวกับพวกมารร้ายจริงๆ ทว่าเป็นเพราะพวกมันสงบนิ่งไร้การเคลื่อนไหวมานานหลายปีจึงไม่มีใครที่ได้ข่าวใดๆของพวกมัน”
ฉู่เหิงพยักศีรษะราวกับกำลังนึกย้อนไปถึงอดีตและสีหน้าของเขาเคร่งเครียดมากขึ้น
.