เมื่อฉินอวี้โม่ลืมตาตื่นขึ้นมา ท้องฟ้าก็มืดครึ้มเสียแล้ว
นางตรวจดูอาการของฉู่เจี๋ยอีกครั้งและพบว่าอาการของเขายังดีอยู่มาก เมื่อเห็นเช่นนั้นนางก็ไม่รอช้าและออกจากคฤหาสน์เฟิงหัวทันที
ด้านนอกคฤหาสน์หลังน้อย ตระกูลฉู่เตรียมอาหารค่ำพร้อมแล้วและพวกเขากำลังรอฉินอวี้โม่ออกมา
“ดูเหมือนว่าเสี่ยวโม่เอ๋อร์จะยังไม่ออกมา พวกเราเริ่มกินกันก่อนเถอะ”
หลังจากรอระยะหนึ่งและฉินอวี้โม่ยังไม่มีท่าทีว่าจะออกมา ฉินเทียนก็เอ่ยกับทุกคน
พวกเขาทุกคนไม่ได้เข้าไปในคฤหาสน์เฟิงหัวเพื่อรบกวนการพักผ่อนของฉินอวี้โม่ ทว่ารอให้นางออกมาอยู่ข้างนอก เมื่อเวลาล่วงเลยไปนาน ฉินเทียนจึงคิดไปว่านางคงต้องการพักผ่อนและจะยังไม่ออกมาในตอนนี้
“เอาล่ะ หากเสี่ยวอวี้โม่ออกมาในภายหลัง ข้าจะจัดเตรียมอาหารให้นางเอง”
โหรวชูกล่าวพร้อมรอยยิ้มบางๆ ฉินอวี้โม่เป็นผู้ที่ช่วยชีวิตฉู่เจี๋ยไว้และนางก็ซาบซึ้งใจอย่างมาก ตอนนี้นางจึงต้องการดูแลและปฏิบัติต่อฉินอวี้โม่เสมือนคนในครอบครัวคนหนึ่ง
“ฮ่าๆๆ ข้าจะปล่อยให้ท่านป้าต้องลำบากได้อย่างไรกัน”
ฉินอวี้โม่ซึ่งออกมาจากคฤหาสน์เฟิงหัวได้ยินคำพูดของโหรวชูพอดิบพอดีและยิ้มพร้อมกล่าวออกมา
“ในที่สุดก็ออกมา รีบมานั่งและทานอาหารกันเถอะ”
เมื่อเห็นฉินอวี้โม่ออกมา ทุกคนก็ยิ้มอย่างมีความสุขพร้อมชี้ไปที่เก้าอี้ว่างถัดจากฉินเทียนและเชื้อเชิญให้นางมานั่งร่วมโต๊ะ
ฉินอวี้โม่นั่งลงและมองอาหารอันโอชะมากมายเรียงรายเต็มโต๊ะตรงหน้าก่อนเริ่มขยับนิ้วมือ
“เสี่ยวอวี้โม่ ตอนนี้เสี่ยวเจี๋ยกินอะไรได้รึไม่?”
โหรวชูนึกถึงอาการของฉู่เจี๋ยและเอ่ยถามด้วยความสงสัย
“ข้าก็ไม่มั่นใจนัก อีกสักพักท่านป้าเตรียมอาหารและเข้าไปดูก็ได้เจ้าค่ะ อสูรมายาของข้าเพิ่งป้อนน้ำดื่มให้เขาเมื่อครู่และเขาก็ดื่มได้แล้ว”
ฉินอวี้โม่ไม่ได้กังวลเรื่องนี้มากนัก แม้ว่าจอมยุทธ์สามารถใช้ชีวิตอยู่ได้เป็นเวลานานโดยที่ไม่ต้องรับประทานอาหาร ทว่าสถานการณ์ของฉู่เจี๋ยต่างออกไป หากเขาได้รับประทานอาหารเหมือนคนปกติทั่วไปก็ย่อมดีกว่า
“อีกอย่าง ข้าคงต้องรบกวนท่านทั้งหลาย หากมีทรัพยากรที่ช่วยบำรุงพลังวิญญาณใดๆโปรดให้คนนำมาให้ข้าด้วย ตอนนี้เสี่ยวเจี๋ยต้องการของพวกนี้ มันจะดีต่อร่างกายของเขามาก”
เมื่อนึกถึงสิ่งที่ซิวกล่าวไว้ก่อนหน้านี้ ฉินอวี้โม่ก็แจ้งให้ทุกคนได้ทราบเช่นกัน
อันที่จริงนางสามารถหาทรัพยากรเหล่านี้ได้ด้วยตัวเอง เพียงแต่การบอกกับบรรดาคนตระกูลฉู่ให้พวกเขาได้มีส่วนร่วมจะช่วยให้พวกเขาคลายกังวลลงและมีเป้าหมายสักอย่างในการช่วยเหลือฉู่เจี๋ยเช่นกัน
“เข้าใจแล้ว อีกประเดี๋ยวข้าจะให้คนไปหยิบมาจากโกดังของเรา จากนั้นข้าก็จะสั่งคนออกไปข้างนอกเพื่อตามหามาเพิ่มเติมและจะมอบให้กับเจ้าทั้งหมด”
ฉู่เหิงพยักศีรษะรับทราบ
อย่าว่าแต่ทั้งหมดนี้เป็นการทำเพื่อฉู่เจี๋ยเลย ต่อให้คนที่ต้องการสิ่งเหล่านั้นคือฉินอวี้โม่ เขาก็ไม่ลังเลที่จะส่งคนไปตามหามาให้นาง
“เสี่ยวอวี้โม่ การที่เสี่ยวเจี๋ยอยู่ข้างกายเจ้า พวกเราสามารถวางใจได้ ไม่ว่าเจ้าจะทำสิ่งใดต่อไป จงอย่าเป็นกังวล ต่อให้เจ้าต้องการจะเดินทางไปที่ดินแดนเทพมายาในสักวันก็ไม่จำเป็นต้องกังวลเรื่องพวกเรา แค่พาเสี่ยวเจี๋ยไปกับเจ้าก็พอ”
จู่ๆโหรวชูก็เอ่ยขึ้นอย่างไม่มีที่มา นางรู้ดีว่าด้วยพรสวรรค์และความสามารถของฉินอวี้โม่ จอมยุทธ์สตรีผู้เก่งกาจคนนี้ไม่มีทางที่จะจมปลักอยู่ในดินแดนอ้างว้างนานเกินไป ไม่ช้าก็เร็ว นางจะต้องเดินทางไปที่ดินแดนเทพมายา
หากเวลาผ่านไปและฉู่เจี๋ยยังไม่ฟื้นขึ้นมา นางเกรงว่าฉินอวี้โม่จะลังเลเพราะเขา
แน่นอนว่าโหรวชูไม่ต้องการให้เป็นเช่นนั้น นางไม่ต้องการให้แผนการทั้งหมดของฉินอวี้โม่ได้รับผลกระทบเพราะปัญหาของฉู่เจี๋ย เพราะเหตุนั้นนางจึงกล่าวออกไปอย่างตรงไปตรงมาเพื่อไม่ให้สิ่งที่จะเกิดขึ้นต่อไปต้องส่งผลต่อเป้าหมายของฉินอวี้โม่
“ข้าเข้าใจแล้วเจ้าค่ะ”
ฉินอวี้โม่พยักศีรษะและตอบตกลง
นางเคยพิจารณาเรื่องนี้มาก่อนแล้วและหากโหรวชูไม่เอ่ยเช่นนี้ นางก็คงหาโอกาสหารือกับโหรวชูและคนอื่นๆให้ชัดเจน
ถึงอย่างไรก็ไม่มีใครล่วงรู้ได้ว่าเมื่อใดฉู่เจี๋ยจะฟื้นขึ้นมาและฉินอวี้โม่ก็มีเรื่องที่ต้องจัดการอีกมาก นางจึงจะล่าช้าและเสียเวลามากเกินไปไม่ได้
หลังจากทุกคนร่วมรับประทานอาหารกันอย่างมีความสุข โหรวชูก็จัดเตรียมสิ่งของและมุ่งหน้าตรงเข้าไปในคฤหาสน์เฟิงหัว
น่าประหลาดที่ฉู่เจี๋ยสามารถกลืนอาหารได้อย่างไม่ติดขัด เมื่อได้รู้เช่นนี้ ตระกูลฉู่จึงมีความสุขกันอย่างมาก ความคืบหน้าเช่นนี้เป็นสิ่งที่ดีมากสำหรับการฟื้นตัวของเขาและเป็นธรรมดาที่ทุกคนจะรู้สึกพึงพอใจ
ยิ่งไปกว่านั้น ฉินอวี้โม่ก็สั่งการให้เสี่ยวเฮยซึ่งเป็นอสูรที่มีความใส่ใจมากที่สุดของนางดูแลฉู่เจี๋ยอยู่ไม่ห่าง ดังนั้นจึงไม่มีความจำเป็นที่จะต้องกังวลเรื่องของเขา
ในขณะนี้ การดำเนินการของฉู่เหิงก็รวดเร็วอย่างยิ่ง ภายในเวลาเพียงสั้นๆ เขาสั่งให้คนนำทรัพยากรและสมบัติจำนวนมากออกมาอย่างไม่ลังเล
ตระกูลฉู่เป็นตระกูลลับที่ทรงพลัง แน่นอนว่าพวกเขาต้องมีสมบัติและเงินทองมหาศาล นอกเหนือจากนี้ ฉู่เหิงก็ส่งคนที่เขาไว้วางใจได้มากที่สุดออกไปในดินแดนเพื่อรวบรวมทรัพยากรและสมบัติอื่นๆมาเป็นจำนวนมาก หลังจากกลับมา ทั้งหมดนั้นจะถูกส่งมอบให้กับฉินอวี้โม่
ในเวลานี้ ภายในห้องหนังสือของตระกูลฉู่ ฉินอวี้โม่ ฉู่เหิง ฉู่เฟยหยางและฉินเทียนกำลังนั่งเรียงกันตามลำดับ
ฉู่เหิงและฉินเทียนสบตากันก่อนแจ้งให้ฉินอวี้โม่ทราบเรื่องที่พวกเขาหารือกันก่อนหน้านี้
เมื่อได้ยินคำว่า ‘ขุมกำลังมารร้าย’ ฉินอวี้โม่ก็รู้สึกแปลกใจไม่น้อย ทว่าหลังจากรู้เรื่องราวทั้งหมด นางก็เข้าใจสิ่งที่เกิดขึ้น
ยิ่งไปกว่านั้น นางก็ทราบดีว่าในอดีตทั้งซิวและนายหญิงคนก่อนของมันได้ต่อสู้กับฝ่ายมารเหล่านี้
และความลับหลากหลายประการเกี่ยวกับซิวจะต้องเกี่ยวข้องกับขุมกำลังมารร้ายนี้อย่างแน่นอน
อย่างไรก็ตาม นักฆ่าสาวในร่างคุณหนูไม่ได้คิดมากนัก เพียงแต่วิเคราะห์สิ่งที่ฉู่เหิงและฉินเทียนกล่าวอย่างรอบคอบและพยายามคิดหาเบาะแส
ฉู่เหิงกล่าวว่าขุมกำลังมารร้ายเหมือนจะเล็งเป้าหมายมาที่ตระกูลฉู่โดยตรง พวกเขาโจมตีตระกูลฉู่หลายครั้งและเคยจู่โจมหุบเขาหมื่นบุปผาเช่นกัน แม้ว่าพวกเขากลับไปมือเปล่าก็มีความเป็นไปได้มากกว่าขุมกำลังมารร้ายมีเป้าหมายบางอย่างอยู่
“ท่านผู้นำฉู่ ท่านไม่ทราบจริงๆหรือว่าในตระกูลฉู่มีสิ่งใดที่พิเศษที่พอจะดึงดูดคนเหล่านั้นได้?”
ฉินอวี้โม่มองฉู่เหิงและเอ่ยถามอีกครั้งเพื่อเป็นการยืนยัน
“หากมันมีอยู่จริง ข้าที่เป็นผู้นำตระกูลจะไม่รู้ได้อย่างไร”
ฉู่เหิงส่ายศีรษะอย่างปลงตก เขาไม่แน่ใจเลยจริงๆ
ฉินอวี้โม่พยักศีรษะและไม่สงสัยในคำตอบของอีกฝ่าย
หลังจากไตร่ตรองเป็นเวลานานทว่ายังนึกถึงสิ่งใดไม่ออก ฉินอวี้โม่จึงตัดสินใจเรียกพลับพลึงแดงออกมา
ในฐานะอสูรพฤกษา พลับพลึงแดงย่อมมีประสาทสัมผัสรับรู้ที่ไวต่อหุบเขาหมื่นบุปผาแห่งนี้ หากมีสิ่งใดพิเศษหรือผิดแปลกในบริเวณหุบเขาแห่งนี้ มันจะต้องค้นพบอย่างแน่นอน
“นายหญิง ท่านต้องการใช้งานอะไรข้ารึ?”
เสี่ยวม่านพอจะคาดเดาได้ทว่ายังเอ่ยถามเพื่อยืนยัน
“ช่วยข้าสำรวจดูสิว่ามีสิ่งใดพิเศษในหุบเขาหมื่นบุปผาแห่งนี้หรือไม่”
ฉินอวี้โม่ยิ้มและกล่าวกับอสูรมายาของตน
พลับพลึงแดงพยักหน้าและพลังจิตของมันก็แผ่ออกไปครอบคลุมทั่วพื้นที่ในทันที
ทุกคนสัมผัสก็ได้ว่าพลับพลึงแดงแผ่กลิ่นอบอวลและหนาแน่นจนแทบเวียนศีรษะ
“เสี่ยวม่านเป็นอสูรพฤกษาที่มีพลังวิญญาณในตัวสูงมาก เพราะฉะนั้นกลิ่นอายของมันจึงสามารถโจมตีจิตวิญญาณได้โดยตรง อย่าแปลกใจนักหากท่านได้รับผลกระทบจากมัน”
ฉินอวี้โม่ยิ้มพลางกล่าวเพื่อไม่ให้ฉู่เหิงและฉู่เฟยหยางแปลกใจ
ทั้งสองพยักศีรษะและสงสัยใคร่รู้เกี่ยวกับพลับพลึงแดงอย่างยิ่ง พวกเขามองฉินอวี้โม่ด้วยความประหลาดใจและอยากรู้ว่าสตรีจากต่างแดนผู้นี้จะสร้างความประหลาดใจใดให้กับพวกเขา
พลังจิตของเสี่ยวม่านแผ่ออกไปครอบคลุมทั่วหุบเขาหมื่นบุปผาอย่างรวดเร็ว
ภายในบริเวณหุบเขาแห่งนี้มีพืชหลากหลายชนิดซึ่งถือเป็นโลกของพลับพลึงแดง ในฐานะอสูรพฤกษาที่ทรงพลังเหนืออสูรอื่นๆในประเภทเดียวกัน พืชและอสูรธรรมดาทั่วไปต่างก็สั่นสะท้านเมื่อเผชิญกับแรงกดดันมหาศาลจากมัน
พลับพลึงแดงเพียงต้องการตรวจจับว่ามีสิ่งใดผิดปกติหรือไม่และมันไม่ได้จดจ่ออยู่กับจุดใดจุดหนึ่งนานเกิน มันสำรวจทั่วหุบเขาหมื่นบุปผาอย่างรวดเร็ว
หลังจากสำรวจทั้งบริเวณเสร็จสิ้น จิตของมันก็กลับมาอีกครั้ง
“นายหญิง ไม่มีอะไรผิดสังเกตเลย”
เสี่ยวม่านส่ายหน้าอย่างไม่เข้าใจ มันสำรวจทั่วบริเวณเป็นวงกว้างและพบพืชสมุนไพรหายากจำนวนหนึ่ง ทว่ามันไม่คิดว่าพืชเหล่านั้นจะล้ำค่าหรือพิเศษแต่อย่างใด
“เจ้าตรวจดูทั่วหุบเขารึยัง?”
ฉินอวี้โม่ผิดหวังเล็กน้อย ทว่าในขณะเดียวกันก็ฉงนมากขึ้น ทั่วทั้งหุบเขาหมื่นบุปผาไม่มีสิ่งใดพิเศษเลยอย่างนั้นหรือ?
เสี่ยวม่านกำลังจะพยักหน้ายืนยัน ทว่าจู่ๆมันก็นึกถึงบางอย่างขึ้นมาได้และกล่าวออกไปทันที “ไม่สิ ยังมีอีกที่หนึ่งที่ข้ายังไม่ได้ตรวจสอบ”
เมื่อได้ยินคำพูดของอสูรพฤกษาตรงหน้า ฉินอวี้โม่และคนอื่นๆก็เริ่มมีความหวังขึ้นมา
“ที่ไหนรึ?”
ฉินอวี้โม่กล่าวขณะมองพลับพลึงแดงด้วยแววตากระตือรือร้นขึ้นเล็กน้อย
“สวนด้านหลังตระกูลฉู่”
พลับพลึงแดงไม่รอช้าและเอ่ยออกมาโดยตรง
ในตอนที่สำรวจทั่วพื้นที่เมื่อครู่ มันเลี่ยงบริเวณจวนตระกูล เป็นเพราะฉู่เหิงกล่าวไว้ว่าในตระกูลฉู่ไม่มีสิ่งใดพิเศษ มันจึงสำรวจบริเวณรอบหุบเขาหมื่นบุปผาเท่านั้น บัดนี้เมื่อฉินอวี้โม่เอ่ยถาม มันจึงตอบกลับอย่างสัตย์จริง
“ถ้างั้นก็ลองตรวจสอบดูเถอะ”
ฉินอวี้โม่กล่าว
ถึงแม้ฉู่เหิงกล่าวไว้ว่าตระกูลของเขาไม่มีสิ่งใดพิเศษที่อาจดึงดูดความสนใจ ทว่าในเมื่อเรียกเสี่ยวม่านออกมาแล้ว นางก็ต้องการสำรวจทุกอย่างให้แน่ใจ
เสี่ยวม่านพยักหน้าและพลังจิตของมันแผ่ออกไปอีกครั้ง
อย่างไรก็ตาม ครานี้เมื่อจิตของมันแผ่ไปถึงสวนด้านหลังของตระกูลฉู่ ราวกับว่าจิตของมันถูกอะไรบางอย่างขัดขวางไว้
“ดูเหมือนว่าจะมีสิ่งผิดแปลกบางอย่างในสวนตระกูลฉู่”
พลับพลึงแดงถอนพลังจิตกลับมา เป็นเพราะมีบางสิ่งบางอย่างต้านทานมันไว้ จิตของมันจึงไม่สามารถสำรวจลึกเข้าไปได้
หลังจากบอกให้นายหญิงได้ทราบ เสี่ยวม่านก็ขมวดคิ้วเป็นปม
เมื่อได้ยินเช่นนั้น ฉู่เหิงและฉู่เฟยหยางก็ชะงักไปเล็กน้อย เหตุใดพวกเขาจึงไม่เคยรู้มาก่อนว่ามีบางสิ่งบางอย่างที่ผิดปกติอยู่ในสวนหลังตระกูล?
“ไปกันเถอะ ไปที่สวนนั่นเพื่อตรวจดูให้แน่ใจ”
แม้ว่าเริ่มมืดค่ำแล้ว ฉู่เหิงและฉู่เฟยหยางก็ยืนขึ้นและกล่าวออกมาอย่างไม่ลังเล
ฉินอวี้โม่ ฉินเทียนและพลับพลึงแดงก็ก้าวเดินตามไปอย่างรวดเร็ว
เมื่อมาถึงด้านหลังของตระกูลฉู่ พลับพลึงแดงก็รู้สึกแปลกๆและไม่สบายใจนัก ความรู้สึกนี้ไม่ต่างจากการเผชิญหน้ากับอสูรระดับสูงเลยสักนิด
“สวนด้านหลังของเราเป็นที่พักผ่อนหย่อนใจสำหรับทุกคน ที่นี่มีห้องเพียงไม่กี่ห้องกับโกดังเก็บของ ไม่มีทางที่จะมีสิ่งใดในโกดังที่เราพลาดและลืมตรวจสอบไป”
ฉู่เหิงไตร่ตรองอย่างรอบคอบทว่ายังนึกไม่ออกว่ามีสิ่งใดพิเศษ เขาอดเอ่ยออกไปด้วยความสงสัยไม่ได้
“พาเราไปที่โกดังเถอะท่านผู้นำฉู่”
ฉินเทียนกล่าว บัดนี้เมื่อสัมผัสได้ถึงบางอย่างแล้ว พวกเขาจะไม่ยอมพลาดอย่างแน่นอน
ฉู่เหิงและฉู่เฟยหยางไม่รอช้าและเดินมุ่งหน้าตรงไปยังโกดังเก็บของทันทีโดยที่มีฉินอวี้โม่ ฉินเทียนและเสี่ยวม่านตามไปไม่ห่าง
อย่างไรก็ตาม ก่อนเข้าไปภายในโกดัง ทุกคนก็พบกับต้นไม้ใหญ่ที่ดึงดูดสายตา
มันเป็นต้นไม้ขนาดมหึมาที่หลายสิบคนก็โอบไว้ไม่ได้ กิ่งก้านของมันแผ่เป็นวงกว้างเป็นร่มไม้ปกคลุมทั่วบริเวณ
“นี่คือต้นไม้อะไรรึ?”
ในฐานะอสูรพฤกษา พลับพลึงแดงย่อมรู้เกี่ยวกับพืชเป็นอย่างดี ต้นไม้ขนาดใหญ่มหึมาเช่นนี้หายากมากซึ่งแม้แต่อสูรอย่างมันก็เพิ่งเคยพบเจอเป็นครั้งแรก นับว่าประหลาดยิ่งนักที่ต้นไม้เช่นนี้เติบโตอยู่ในสวนด้านหลังของตระกูลฉู่
“เราไม่รู้หรอกว่ามันคือต้นอะไร ทว่าต้นไม้นี้อยู่มานานแล้วนับตั้งแต่ตระกูลฉู่ของเราตั้งรกรากถิ่นฐานขึ้นมาที่นี่ ข้าคิดว่ามันน่าจะมีอายุหลายร้อยปีแล้วล่ะ”
ฉู่เหิงกล่าวตอบ บรรพบุรุษของตระกูลบอกเล่าต่อกันมาว่าต้นไม้ต้นนี้คือต้นไม้นำโชคของตระกูลที่เติบโตขึ้นมาพร้อมกับตระกูลฉู่กว่าหลายร้อยปีแล้ว
พลับพลึงแดงค่อยๆเข้าไปใกล้ต้นไม้ต้นนี้ทีละก้าวและสีหน้าของมันดูระแวดระวังไม่น้อย
ฉินอวี้โม่และคนอื่นๆก็มองการเคลื่อนไหวของพลับพลึงแดงด้วยความสงสัย หรือว่าต้นไม้ใหญ่ต้นนี้จะมีบางอย่างที่ผิดปกติ?