หลังจากนั่งลงทีละคน ฉินอวี้โม่และคนอื่นๆก็รอให้งานชุมนุมวายุเมฆาเริ่มต้นขึ้น
งานนี้มีเจ้าภาพคือผู้นำขุมกำลังเอกพิภพและบรรดาขุมกำลังใหญ่ๆของดินแดนต่างก็ส่งอัจฉริยะรุ่นเยาว์จากขุมกำลังของตนเองมาเข้าร่วม
คนหนุ่มสาวที่มีความสามารถโดดเด่นในดินแดนอ้างว้างล้วนมารวมตัวกันอยู่ที่นี่รวมถึงทุกคนจากทำเนียบรุ่นเยาว์และคนมีชื่อเสียงจากทำเนียบพิภพ
“ขอโทษด้วยที่เรามาช้า”
เสียงหนึ่งดังขึ้นเบาๆก่อนที่คนกลุ่มหนึ่งเดินเข้ามาจากข้างนอกพร้อมรอยยิ้มประดับใบหน้า
เมื่อเห็นกลุ่มผู้มาใหม่นี้ ฉินอวี้โม่ก็ไม่แปลกใจ พวกเขาเหล่านี้คือกลุ่มของผู้นำขุมกำลังหนึ่งนภา—เฟิงอู๋เฉิน
ทุกคนทักทายเขาด้วยความเคารพ เมื่อเฟิงอู๋เฉินมองเห็นฉินเทียน ฉินอวี้โม่และคนอื่นๆนั่งอยู่ เขาก็เดินตรงเข้ามาพร้อมรอยยิ้มกว้าง
“ผู้นำฉิน ไม่ได้พบกันเสียนาน ดูเหมือนว่าท่านจะแข็งแกร่งขึ้นอีกแล้ว”
เฟิงอู๋เฉินยิ้มและกล่าวทักทายฉินเทียนอย่างคุ้นเคย
“ฮ่าๆๆ ผู้นำเฟิงยกยอข้าเกินไป หากต้องสู้กัน ข้าคงด้อยกว่าท่านมาก”
ฉินเทียนยิ้มออกมาเช่นกันและกล่าวด้วยน้ำเสียงเป็นมิตร
เฟิงอู๋เฉินและฉินเทียนเคยพบปะกันมาแล้วหลายครั้ง เฟิงอู๋เฉินเป็นคนซื่อตรงและฉินเทียนเองก็เช่นกัน ทั้งสองถูกชะตากันมาก แม้ว่าไม่ได้พบกันบ่อยนัก ทั้งสองก็เป็นมิตรที่ดีต่อกัน
“ฮ่าๆๆ ผู้นำฉินล้อข้าเล่นซะแล้ว หากท่านใช้พลังอย่างเต็มที่ ข้าก็ไม่มั่นใจว่าจะเอาชนะท่านได้”
เฟิงอู๋เฉินยิ้มกว้างก่อนเลื่อนสายตาไปที่ฉินอวี้โม่ “เสี่ยวอวี้โม่ ได้พบกันอีกครั้งแล้วสินะ คราก่อนที่ได้พบกัน ข้าก็คิดว่าเจ้าผิดมนุษย์จริงๆ พอได้รู้ว่าเจ้าเป็นบุตรสาวของผู้นำฉิน ข้าก็ไม่แปลกใจเลย คนรุ่นใหม่สมัยนี้เก่งกาจว่าคนเก่าแก่อย่างพวกเราจริงๆ!”
น้ำเสียงของเฟิงอู๋เฉินเต็มไปด้วยความชื่นชมและเขาก็รู้สึกถูกชะตากับฉินอวี้โม่มาก
ไม่ว่าจะเป็นข่าวลือที่แพร่ไปทั่วดินแดนหรือการพบกันก่อนหน้านี้ในเมืองไป๋อวี้ เฟิงอู๋เฉินก็รู้สึกว่าฉินอวี้โม่เป็นคนดีจริงๆ
ในครานั้น เขายังไม่รู้ว่านางเป็นบุตรสาวของฉินเทียน บัดนี้เมื่อได้รู้ความจริง เขาก็ไม่แปลกใจและยังรู้สึกโล่งใจไม่น้อย
หากพ่อเป็นเสือ ลูกย่อมไม่เป็นหมา และฉินเทียนเป็นคนที่เก่งกล้าสามารถอย่างมาก หากเขาจะมีบุตรสาวที่เก่งกาจยิ่งกว่า มันก็ไม่ใช่เรื่องแปลก
**虎父无犬女 พ่อเป็นเสือ ลูกไม่เป็นหมา >> หากพ่อยอดเยี่ยมมีความสามารถ ลูกก็ต้องยอดเยี่ยมมีความสามารถเช่นกัน
“ท่านลุงเฟิงก็พูดเกินไปเจ้าค่ะ ข้าไม่ทราบมาก่อนว่าท่านกับท่านพ่อเป็นมิตรสหายที่ดีต่อกัน ตอนที่พบกันข้าจึงไม่ได้บอกตัวตนที่แท้จริงกับท่าน หากท่านมองว่ามันเป็นการเสียมารยาทก็โปรดอย่าถือสาข้าเลยเจ้าค่ะ”
ฉินอวี้โม่ยิ้มเล็กน้อยและกล่าวด้วยน้ำเสียงสุภาพ
นี่คือลักษณะนิสัยเฉพาะตัวของนาง เมื่อสื่อสารกับญาติมิตรและสหาย รวมถึงผู้ที่ปฏิบัติต่อนางและคนที่นางรักอย่างจริงใจ นางมักจะพูดจาอย่างตรงไปตรงมาและไม่ปิดบังสิ่งใด
“ฮ่าๆๆ แม่สาวน้อย เจ้าคิดว่าข้าจะไม่รู้จักแยกแยะสถานการณ์งั้นรึ?”
เฟิงอู๋เฉินอดหัวเราะเบาๆไม่ได้และกล่าวต่อ “ข้าตั้งตารอชมการแสดงฝีมือของเจ้าในงานชุมนุมวายุเมฆาครั้งนี้ ชางเอ๋อร์ของข้าก็ไม่ธรรมดาเลย เจ้าจะต้องระวังไว้ล่ะ!”
ข้างหลังเฟิงอู๋เฉิน ฉินอวี้โม่สังเกตเห็นบุรุษหนุ่มคนหนึ่งที่ไม่เอ่ยปากพูดอะไรนอกจากทักทายฉินเทียน
บุรุษผู้นี้มิใช่ใครอื่น หากแต่เป็นบุตรชายของเฟิงอู๋เฉินนั่นเอง—เฟิงอู๋ชางผู้ครองอันดับที่หนึ่งในทำเนียบรุ่นเยาว์
ฉินอวี้โม่สัมผัสได้ถึงกลิ่นอายเยือกเย็นจางๆจากเฟิงอู๋ชาง ดูเหมือนว่าบุรุษมากฝีมือผู้นี้จะเป็นนักรบผู้รักการต่อสู้และประสบการณ์การต่อสู้ของเขาก็เหนือชั้นกว่าคนทั่วไปมาก
หากต้องเผชิญหน้ากับเขา ไม่ว่าใครก็จะต้องระมัดระวังมากกว่าเดิม
“พี่อู๋ชาง ทุกคราที่พบกัน ท่านก็ทำตัวห่างไกลตลอดเลย ท่านจะยิ้มบ้างไม่ได้เลยรึไง?”
ซูเสี่ยวจวิ้นเดินมาหยุดอยู่ข้างเฟิงอู๋ชางและวางท่าไม่เกรงกลัวพร้อมเอ่ยออกมา
“เสี่ยวจวิ้น พี่อู๋ชางของเจ้าก็เป็นแบบนี้ เจ้าบังคับเขาไม่ได้หรอก ถ้าวันหนึ่งพี่อู๋ชางของเจ้ายิ้มขึ้นมา ข้าก็คงจะตกใจกลัวเป็นแน่”
ฉีอวิ๋นเหล่ยกล่าวติดตลก ดูแล้วทั้งสองน่าจะมีความสัมพันธ์ที่ดีกับเฟิงอู๋ชางผู้นี้
“อวิ๋นเหล่ย เรามาเจอกันสักหน่อยเถอะ”
จู่ๆเฟิงอู๋ชางผู้ซึ่งไม่เคยปริปากก็เอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงที่ฟังดูเยือกเย็นจนน่าขนลุก
“พอเถอะ ทุกคราที่ข้าสู้กับเจ้า ข้ามักจะถูกรังแกตลอด ข้าเก็บแรงไว้ใช้ในการแข่งขันที่กำลังจะเริ่มขึ้นดีกว่า”
ฉีอวิ๋นเหล่ยรีบก้าวถอยหลังและปฏิเสธทันควัน
ซูเสี่ยวจวิ้นอดหัวเราะกับท่าทางตลกๆของเขาไม่ได้ “พี่อวิ๋นเหล่ย ท่านฉลาดขึ้นแล้วนี่”
อย่างไรก็ตาม บุรุษยิ้มยากอย่างเหวินซื่อชู่ไม่ได้เอ่ยปากพูดอะไร เมื่อเปรียบเทียบกับเฟิงอู๋ชาง แม้ว่าเหวินซื่อชู่จะพูดน้อย กลิ่นอายที่แผ่มาจากเขาก็ผ่อนคลายกว่ามาก ยิ่งไปกว่านั้นคือเขาไม่ได้มีบรรยากาศของความดุดันและรักการต่อสู้เหมือนคุณชายแห่งขุมกำลังหนึ่งนภา
เขาเพียงสบตาเฟิงอู๋ชางและพยักศีรษะเบาๆเป็นการทักทาย
“เจ้าคือฉินอวี้โม่งั้นรึ?”
จู่ๆเฟิงอู๋ชางก็หันมามองฉินอวี้โม่ด้วยแววตาสนใจ
“ใช่แล้ว ข้าเอง”
ฉินอวี้โม่ยิ้มพลางพยักศีรษะ
“ในการแข่งขันครานี้ ข้าจะไม่ออมมือ หากเราได้พบกัน ข้าหวังว่าเจ้าจะแสดงฝีมืออย่างสุดความสามารถ”
เฟิงอู๋ชางพยักศีรษะให้กับนางและกล่าวอย่างจริงจัง เขาต้องการประจันหน้ากับฉินอวี้โม่อยู่ก่อนแล้วและคิดว่าจะมีโอกาสในงานเลี้ยงตระกูลเฟิงที่ผ่านมา ทว่าน่าเสียดายที่มีเรื่องบางอย่างเกิดขึ้นจนทำให้เขาไม่ได้ไปที่นั่น
เพราะเหตุนั้น เขาจึงมุ่งมั่นที่จะแข่งขันกันฉินอวี้โม่ในงานนี้
“แน่นอน ข้าจะไม่ทำให้ท่านผิดหวัง”
ฉินอวี้โม่พยักศีรษะพร้อมรอยยิ้ม หากต้องต่อสู้กัน นางมั่นใจว่าบุรุษเยือกเย็นผู้นี้จะต้องเป็นคู่ต่อสู้ที่ดีอย่างแน่นอน
“อีกอย่าง..เสี่ยวจวิ้น บิดาของเจ้ายังไม่มาอีกรึ?”
เฟิงอู๋เฉินได้ยินบทสนทนาของเฟิงอู๋ชางและฉินอวี้โม่ ทว่าเขาก็ไม่ได้ขัดขวางแต่อย่างใด เขาเพียงยิ้มบางๆและเปลี่ยนเรื่องคุย
เขาเชื่อว่าเฟิงอู๋ชางต้องการประลองฝีมือเท่านั้นและอยากรู้ถึงความสามารถที่แท้จริงของฉินอวี้โม่ ในงานชุมนุมวายุเมฆาครั้งนี้ เขาสัมผัสได้ว่าจะเกิดการปะทะระหว่างหนุ่มสาวทั้งสองเป็นแน่
สำหรับผู้คว้าชัยนั้น เขาต้องการให้ฉินอวี้โม่ชนะมากกว่า สตรีจากต่างแดนผู้นี้ประหลาดผิดมนุษย์มากเกินไปและเขาไม่สามารถทำความเข้าใจกับความประหลาดนี้ได้เลย
“ท่านลุงเฟิง พวกเราก็ไม่ทราบเจ้าค่ะ พวกท่านบอกว่าจะมา ไม่ทราบได้ว่าเหตุใดจึงยังมาไม่ถึง”
ซูเสี่ยวจวิ้นส่ายศีรษะและตอบไปตามความจริง
พวกเขาได้รับข่าวก่อนหน้านี้แล้วว่าบิดาของซูเสี่ยวจวิ้นและบิดาของฉีอวิ๋นเหล่ยจะเดินทางมาเข้าร่วมงานชุมนุมวายุเมฆา เพียงแต่จนกระทั่งตอนนี้แล้วพวกเขายังมาไม่ถึงซึ่งเป็นเรื่องที่น่าแปลกใจเล็กน้อย
อย่างไรก็ตาม พวกเขาไม่ได้กังวลมากเกินไป ด้วยความตระหนักดีถึงพลังและความแข็งแกร่งของบิดา พวกเขาก็น่าจะไม่มีปัญหาใดๆต่อให้เกิดเหตุการณ์รุนแรงขึ้นในดินแดนอ้างว้างก็ตาม
เฟิงอู๋เฉินพยักศีรษะรับทราบ ทว่าด้วยเหตุผลบางประการทำให้จู่ๆหัวใจของเขาก็เกิดความกังวลขึ้นมา
เมื่อหันไปสบตาฉินเทียน เขาก็เห็นว่าอีกฝ่ายขมวดคิ้วเล็กน้อยและดูจะมีความกังวลเล็กๆเช่นเดียวกัน
“ฮ่าๆๆ ข้าคงปล่อยให้ทุกคนรอกันนานแล้วสินะ!”
เสียงหนึ่งดังขึ้นในหูของทุกคนและแท่นสูงปรากฏขึ้นกลางลานจัตุรัสพร้อมกับร่างของหยินหึน ฉุ่ยเยว่และคนอื่นๆ
“ฉุ่ยเยว่ ทำการประกาศกฎของงานชุมนุมวายุเมฆาในครั้งนี้”
หยินหึนไม่รอช้าและบอกให้ฉุ่ยเยว่เริ่มประกาศกฎเกณฑ์ของการแข่งขันให้ทุกคนได้ทราบ จากนั้นเขาก็พยักศีรษะให้ฉินอวี้โม่ ฉินเทียน เฟิงอู๋เฉินและคนอื่นๆเพื่อเป็นการทักทาย
ฉุ่ยเยว่ยิ้มรับและก้าวออกไปตรงกลางก่อนกวาดสายตามองฝูงชนและม้วนกระดาษม้วนหนึ่งก็ปรากฏขึ้นในมือของนาง
“ต่อไปข้าจะประกาศกฎของการแข่งขันโดยครานี้กฎจะแตกต่างออกไปจากครั้งก่อนๆ”
น้ำเสียงใสกังวานของฉุ่ยเยว่ดังขึ้นอย่างชัดเจน ทว่าเรื่องกฎของงานชุมนุมวายุเมฆาครั้งนี้ที่นางกล่าวออกมากลับทำให้ทุกคนต้องตกตะลึง
งานชุมนุมครานี้ต่างจากครั้งก่อนๆทั้งหมด การแข่งขันครั้งก่อนจะเป็นเพียงการแข่งขันตัวต่อตัวและผู้ชนะสุดท้ายจะเป็นผู้คว้าชัยของงานชุมนุมวายุเมฆา
อย่างไรก็ตาม ครานี้กฎเกณฑ์เปลี่ยนแปลงไปอย่างสิ้นเชิง
จอมยุทธ์ทุกคนที่เข้าร่วมการแข่งขันจะถูกส่งไปที่มิติพิเศษ
ภายในมิติพิเศษนั้นจะมีสมบัติมากมายอย่างเช่น วัสดุสำหรับสิ่งหลอม วัตถุดิบสำหรับการปรุงโอสถและสมบัติล้ำค่าอื่นๆ รวมถึงอสูรมายาทรงพลังมากมายที่คอยคุ้มกันพวกมัน
มิติพิเศษดังกล่าวจะถูกแบ่งออกเป็นเจ็ดชั้นและผู้ชนะสุดท้ายจะถูกกำหนดโดยวิธีการที่พิเศษอย่างยิ่ง
ผู้เข้าแข่งขันทุกคนจะเข้าไปมิติพร้อมกันโดยเริ่มจากชั้นแรกและค้นหาเส้นทางไปยังชั้นต่อไปด้วยตัวเอง
พวกเขาต้องตามหาวัสดุสำหรับสิ่งหลอม วัตถุดิบสำหรับปรุงโอสถและสยบอสูรให้ได้ โดยการนับคะแนนจะเกี่ยวข้องกับสิ่งเหล่านี้
ในมิติทั้งเจ็ดชั้น แต่ละชั้นที่พวกเขาเข้าไปได้จะมีคะแนนพื้นฐานของมันเอง
ชั้นแรกคือหนึ่งคะแนน ชั้นที่สองคือสองคะแนน ชั้นที่สามคือสามคะแนน ขั้นที่สี่คือห้าคะแนน ขั้นที่ห้าคือเจ็ดคะแนน ขั้นที่หกคือเก้าคะแนนและชั้นที่เจ็ดคือคะแนนเต็ม—สิบคะแนน
แน่นอนว่าชั้นที่เจ็ดจะแตกต่างจากชั้นแรกมาก อสูรมายาและวัตถุดิบต่างๆในชั้นที่เจ็ดจะมีคุณภาพดีกว่าในชั้นแรกหลายเท่าตัวเช่นกัน
นอกเหนือจากคะแนนพื้นฐานข้างต้น ผู้แข่งขันก็สามารถเก็บคะแนนได้จากการสยบอสูรมายา การจับอสูรสุริยะเท่ากับสิบคะแนนเต็ม อสูรพิภพเท่ากับแปดคะแนน สำหรับอสูรระดับอื่นๆก็จะได้รับคะแนนที่ลดลงมาตามลำดับ
อสูรระดับต่ำที่สุดคืออสูรสวรรค์ซึ่งจะได้เพียงหนึ่งคะแนน หากว่าจับไม่ได้แม้กระทั่งอสูรสวรรค์ จอมยุทธ์ผู้นั้นก็จะได้ศูนย์คะแนนอย่างไม่ต้องสงสัย
สำหรับวัสดุสิ่งหลอมและวัตถุดิบปรุงโอสถก็เช่นเดียวกัน ยิ่งระดับสูงขึ้น คะแนนก็จะสูงขึ้นสอดคล้องกัน
การแข่งขันมีทั้งหมดสี่ด้านและมีคะแนนรวมทั้งหมดสี่สิบคะแนน ท้ายที่สุด ผู้ที่มีคะแนนสูงสุดจะได้เป็นผู้คว้าชัยชนะของการแข่งขันครานี้
แน่นอนว่าเป็นเพราะอสูรมายาในมิติพิเศษล้วนทรงพลังมากและบางตัวก็เกินกว่าความคาดหมายของทุกคน ขุมกำลังเอกพิภพจึงได้เตรียมป้ายหยกไว้สำหรับผู้เข้าแข่งขันทุกคน
หากจอมยุทธ์คนใดตกอยู่ในอันตราย ผู้นั้นก็สามารถหลบเลี่ยงวิกฤตและกลับมาที่ลานจัตุรัสแห่งนี้โดยการทำลายป้ายหยกของตัวเองเสีย
หากทำภารกิจเสร็จสมบูรณ์ ผู้เข้าแข่งขันก็สามารถหักป้ายหยกและกลับมาที่ลานจัตุรัสนี้เช่นกัน
การแข่งขันครานี้ใช้เวลารวมสามเดือน ตลอดช่วงเวลานี้ ผู้ใดจะมีโอกาสมากแค่ไหนและตามหาสมบัติสิ่งของได้มากเพียงใดก็ขึ้นอยู่กับความสามารถและโชคของผู้นั้น
สำหรับการเป็นผู้ชนะคนสุดท้าย ความแข็งแกร่งและโชคลาภล้วนเป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้!
“เอาล่ะ เชิญผู้เข้าแข่งขันทุกคนออกมารับป้ายหยกประจำตัวไป”
ฉุ่ยเยว่ยิ้มหวานและประกาศอย่างชัดเจน สำหรับนางนั้น นางไม่ได้เข้าร่วมการแข่งขันนี้
ฉินอวี้โม่และคนอื่นๆก็ลุกขึ้นยืนและก้าวออกไปข้างหน้า
หยินหึนโบกมืออย่างแผ่วเบาและป้ายหยกก็ปรากฏขึ้นในมือของผู้เข้าแข่งขันทุกคน
“จากนี้ไปก็ขึ้นอยู่กับผลงานของพวกเจ้าทุกๆคน”
หยินหึนยิ้มเล็กน้อยและพยักศีรษะให้กับผู้อาวุโสหลายคนซึ่งน่าจะเป็นคนของขุมกำลังเอกพิภพ จากนั้นคลื่นพลังมหาศาลก็ปรากฏในมือของพวกเขาก่อนที่ค่ายกลเคลื่อนย้ายจะปรากฏขึ้นมาตรงหน้าทุกคน
.