“บัดซบ พวกเจ้าเป็นใครกัน อย่ามาแส่เรื่องของพวกเรา!”
กลุ่มชายฉกรรจ์ตรงหน้าชะงักไปเล็กน้อยทว่าเรียกสติกลับคืนมาอย่างรวดเร็ว พวกเขาจ้องหน้าผู้มาใหม่ทั้งสามด้วยแววตาดุดันและสีหน้าไม่พอใจ
อย่างไรก็ตาม การที่พวกเขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าฉินอวี้โม่เป็นใคร ทั้งสามจึงรู้สึกประหลาดใจไม่น้อย
เพราะเมื่อเข้ามาในมิติพิเศษนี้ หน้ากากเดิมของฉินอวี้โม่ก็ได้อันตรธานหายไปทันที
เดิมทีหน้ากากของนางล้วนสร้างขึ้นมาจากเกราะของอสูรมายาของนาง ทว่าเมื่อเข้ามาในมิตินี้ เนื่องจากพลังการยับยั้งที่พิเศษบางอย่าง มันก็ทำให้นางขาดการติดต่อกับอสูรมายาทั้งหมดและเกราะที่มาจากอสูรจึงถูกปลดออกไปโดยปริยาย
ทว่าเมื่อเห็นใบหน้ารูปลักษณ์ของฉินอวี้โม่ จงอู๋หยานก็ตกตะลึงไปชั่วขณะ
นางคิดมาเสมอว่าตนเองงดงามโดดเด่นและคู่ควรกับตำแหน่งโฉมงามอันดับหนึ่งของดินแดนอ้างว้าง ทว่าเมื่อได้เห็นใบหน้าของฉินอวี้โม่อย่างชัดเจน นางก็รู้สึกด้อยค่าขึ้นมาทันที
แม้ว่าฉินอวี้โม่ไร้ซึ่งเครื่องสำอางแต่งแต้มใบหน้าและเส้นผมสลวยเพียงถูกหวีจัดเป็นระเบียบอย่างง่ายๆเท่านั้น ทว่ากลิ่นอายความสง่างามและความสูงศักดิ์จากร่างของนางกอปรกับใบหน้างดงามและเรือนร่างสมบูรณ์แบบไร้ที่ติ ทุกสิ่งทุกอย่างของสตรีตรงหน้าทำให้จงอู๋หยานต้องรู้สึกท้อแท้และหงุดหงิดใจขึ้นมา
ทว่าเมื่อหัวหน้าชายฉกรรจ์ที่ตะโกนตอบโต้ได้เห็นใบหน้าของฉินอวี้โม่อย่างชัดเจนและเห็นว่าสตรีผู้นี้มีรูปโฉมที่ไม่ได้ด้อยไปกว่าโฉมงามอันดับหนึ่งของดินแดนเลยนั้น เขาก็ต้องตกใจเล็กน้อยและเกิดความสงสัยขึ้นมา
สตรีที่งดงามดั่งเทพธิดาเช่นนี้ปรากฏขึ้นมาในดินแดนอ้างว้างตั้งแต่เมื่อใดกัน?
“หัวหน้า นี่น่าจะเป็นแม่นางฉินอวี้โม่ผู้นั้น!”
ทันใดนั้น ใครคนหนึ่งก็คาดเดาตัวตนของฉินอวี้โม่และกระซิบกระซาบข้างหูผู้เป็นหัวหน้าด้วยน้ำเสียงที่เจือความยอมจำนนเล็กน้อย
บัดนี้ฉินอวี้โม่เป็นสตรีโด่งดังที่เป็นที่รู้จักไปทั่วดินแดนอ้างว้าง พวกเขาเคยได้ยินเรื่องราวของนางมาก่อนและรู้ว่าหากหาเรื่องจนทำให้นางขุ่นเคืองใจ ชะตากรรมของพวกเขาจะลงเอยไม่ดีนัก
“ฉินอวี้โม่งั้นรึ?”
หัวหน้ากลุ่มชายชั่วชะงักค้างไปครู่หนึ่งก่อนสีหน้าแปรเปลี่ยนเป็นบิดเบี้ยวและเหยเกจนดูไม่ได้
แน่นอนว่าเขาได้ยินชื่อเสียงเรียงนามของฉินอวี้โม่มานานแล้ว ทว่าไม่เคยพบหน้ากันมาก่อน ก่อนหน้านี้เขาคิดว่ามันเป็นเพียงข่าวลือ ทว่าเมื่อได้เห็นด้วยตาตัวเองในวันนี้ เขาก็ได้รู้ว่าฉินอวี้โม่โดดเด่นยิ่งกว่าในข่าวลือเสียอีก
“เจ้าคือฉินอวี้โม่งั้นรึ?”
แน่นอนว่าจงอู๋หยานก็คาดเดาตัวตนของสตรีตรงหน้าได้เช่นกัน เพราะนางก็รู้จักฉีอวิ๋นเหล่ยและซูเสี่ยวจวิ้นอยู่แล้ว
ก่อนหน้านี้ เมื่อได้ยินชื่อเสียงและเกียรติยศของฉินอวี้โม่สะพัดไปทั่วดินแดน จงอู๋หยวนยังไม่เชื่อคำกล่าวเหล่านั้นเท่าไหร่นัก ยิ่งไปกว่านั้นนางถึงขั้นเชื่อว่า ‘ฉินอวี้โม่’ ผู้โด่งดังจงใจสร้างข่าวลือทุกอย่างเพื่อสร้างชื่อเสียงให้กับตนเองในดินแดนอ้างว้าง
อย่างไรก็ตาม เมื่อได้พบกันในวันนี้ ในที่สุดจงอู๋หยานก็เข้าใจว่าข่าวลือเหล่านั้นคู่ควรอย่างแท้จริง
แรกเริ่มเดิมที จงอู๋หยานเป็นสตรีที่เหนือชั้นและยืนอยู่เหนือคนธรรมดาทั่วไป ทว่าเมื่อยืนอยู่ข้างฉินอวี้โม่ ไม่ทราบเช่นกันว่าเพราะเหตุใด นางกลับรู้สึกอ่อนแอและด้อยค่าอย่างมาก
นางเป็นคนยโสโอหังมาเสมอ ทว่าเมื่อเผชิญหน้ากับจอมยุทธ์จากต่างแดนผู้โด่งดังนี้ จู่ๆนางก็รู้สึกว่าความยโสของตนเองไม่มีค่าให้เอ่ยถึงด้วยซ้ำ ความโอหังเหล่านั้นคือสิ่งที่นางจงใจแสดงออกมาให้ผู้คนทั่วไปได้เห็นเพื่อที่คนเหล่านั้นจะได้มองนางเหนือกว่าและเป็นแบบอย่าง
ในทางกลับกัน ความทะนงตนของฉินอวี้โม่เป็นลักษณะนิสัยโดยเนื้อแท้และเป็นความทะนงในแบบที่ผู้คนต่างก็เทิดทูนชื่นชม
ความโอหังของนางย่อมมลายหายไปโดยปริยายเมื่อเผชิญกับผู้ที่แข็งแกร่งกว่า ทว่าความทะนงของฉินอวี้โม่เกิดจากความอิสระและความมั่นใจในตัวเอง ไม่ว่าคู่ต่อสู้จะแกร่งกล้าเพียงใด มันก็ไม่ส่งผลให้หวั่นใจ
“ท่านจอมยุทธ์ฉินอวี้โม่ ขอโทษด้วย เมื่อครู่ข้าไม่รู้ว่าเป็นท่าน”
หัวหน้ากลุ่มชายฉกรรจ์คิดหาทางออกที่ดีที่สุดและรีบโค้งคำนับพร้อมเอ่ยขอโทษอย่างเคารพนอบน้อมทันที
“ในเมื่อรู้แล้ว เจ้าจะทำอย่างไรต่อไป?”
ฉินอวี้โม่ไม่แปลกใจที่อีกฝ่ายคาดเดาถึงตัวตนของนางได้ ถึงอย่างไรแล้วนางก็มีชื่อเสียงโด่งดังไปทั่วดินแดนอ้างว้างภายในเวลาเพียงไม่นาน กอปรกับการมีฉีอวิ๋นเหล่ยและซูเสี่ยวจวิ้นอยู่ข้างกาย ผู้คนจึงคาดเดาได้ไม่ยาก
“หากแม่นางจงอู๋หยานผู้นี้เป็นสหายของท่านจอมยุทธ์ฉินอวี้โม่ พวกเราก็จะขอโทษนางและปล่อยนางไปแต่โดยดี”
ชายฉกรรจ์ที่ดุดันก่อนหน้านี้ดูจะมีไหวพริบมากและกล่าวด้วยน้ำเสียงเคารพ
ไม่ต้องกล่าวถึงขุมกำลังเบื้องหลังฉินอวี้โม่และฉีอวิ๋นเหล่ยด้วยซ้ำ แม้กระทั่งตอนนี้ พวกเขาก็เทียบกับทั้งสองไม่ติดฝุ่น
“ฮ่าๆๆ ข้าไม่รู้จักนางหรอก เพียงแต่ข้าไม่ชอบทัศนคติและการกระทำของพวกเจ้า ข้าจึงอดไม่ได้ที่จะเข้ามาช่วยเหลือ”
เมื่อเห็นท่าทางและการแก้ไขสถานการณ์อย่างมีไหวพริบของอีกฝ่าย ฉินอวี้โม่ก็หัวเราะเบาๆและกล่าวออกไป
เมื่อครู่นี้นางทนเห็นการกระทำของกลุ่มชายโฉดไม่ได้และไม่พอใจเป็นอย่างมาก ถึงอย่างไรแล้วนางก็ไม่ได้รู้จักจงอู๋หยานเป็นการส่วนตัว หากไม่ใช่เพราะชายฉกรรจ์เหล่านั้นที่ทำให้นางไม่สบอารมณ์ นางก็คงไม่เข้ามายุ่งเกี่ยว
“เอ่อ…”
คำตอบของฉินอวี้โม่ทำให้เหงื่อผุดทั่วตัวคนเหล่านั้นทันทีและไม่กล้าพูดอะไรอีก
ในการเผชิญหน้ากับความแข็งแกร่งที่แท้จริง พวกเขาก็ทำได้เพียงเชื่อฟังและทำตามเท่านั้น ในเมื่อฉินอวี้โม่ยังไม่ได้เอ่ยปากบอกให้พวกเขาไป พวกเขาก็ไม่กล้าเคลื่อนไหวออกไปก่อน
“ไสหัวไปซะ!”
เมื่อเห็นท่าทางของพวกเขา ฉินอวี้โม่ก็เอ่ยขึ้นเพียงสั้นๆ
ชายฉกรรจ์เหล่านั้นก็มีท่าทีราวกับได้รับการอภัยโทษและรีบหายวับไปอย่างรวดเร็ว
จงอู๋หยานชำเลืองมองฉินอวี้โม่โดยไม่เอ่ยปากแม้แต่คำเดียว จากนั้นนางก็หันหลังกลับและเตรียมไปจากที่นี่
“เฮ้ ไม่คิดจะขอบคุณหน่อยรึ?”
ซูเสี่ยวจวิ้นไม่พอใจอย่างมาก ไม่ว่าอย่างไรกลุ่มของนางก็ช่วยแม่นางยโสผู้นี้ไว้ ทว่าจงอู๋หยานกลับไม่คิดจะกล่าวขอบคุณแม้แต่น้อย
“แล้วเหตุใดข้าจะต้องขอบคุณ? นางก็แค่ไม่ชอบการกระทำของคนพวกนั้น”
จงอู๋หยานนิ่งไปชั่วขณะและสีหน้าแสดงถึงความรู้สึกคลุมเครือไม่ชัดเจน ทว่าหลังจากที่ทิ้งท้ายถ้อยคำเหล่านี้ นางก็ไม่รอช้าและหายตัวไปอย่างรวดเร็ว
“แม่นางคนนี้ช่างไร้มารยาทจริงๆ!”
เมื่อจงอู๋หยางจากไปโดยไม่กล่าวขอบคุณ ซูเสี่ยวจวิ้นก็ถึงกลับกลอกตาและกล่าวอย่างไม่สบอารมณ์
“เสี่ยวจวิ้น นางพูดถูกแล้ว ข้าเพียงไม่ชอบการกระทำของคนพวกนั้น ข้าก็เลยช่วยนาง มันไม่ใช่เรื่องที่ต้องกล่าวถึงหรอก”
ฉินอวี้โม่ไม่ได้สนใจกิริยาท่าทางของจงอู๋หยานแม้แต่น้อย นางเพียงทำตามใจตนเองเท่านั้น
ทว่าแม่นางผู้นี้ก็โอหังมากเกินไป หากนางยังไม่ยอมลดละศักดิ์ศรีของตนเองอีก ไม่ช้าก็เร็วนางจะถูกทำลายเพราะความโอหังของตนเอง
อย่างไรก็ตาม ด้วยความหยิ่งยโสของจงอู๋หยาน มันก็ไม่ถึงกับทำให้ฉินอวี้โม่ต้องรู้สึกเกลียดชังนาง เพียงแค่ไม่คิดเลยว่าแม่นางผู้นี้จะมีลักษณะนิสัยที่สุดโต่งเช่นนี้
“ไปจับอสูรกันเถอะ นี่ก็ผ่านมาตั้งเจ็ดวันแล้ว ข้าเชื่อว่าในชั้นที่เจ็ดจะต้องมีสมบัติอยู่มากเป็นแน่ เรามีเวลาแค่สามเดือน เพราะฉะนั้นเราต้องรีบเร่งมือแล้วล่ะ”
ฉินอวี้โม่เปลี่ยนเรื่องคุยอย่างรวดเร็วและไม่อยากกล่าวถึงจงอู๋หยานอีกต่อไป
ถึงอย่างไรเส้นทางของทั้งสองก็คงจะไม่พานพบกันอีก จงอู๋หยานจะยังคงเป็นโฉมงามอันดับหนึ่งของดินแดนต่อไปและฉินอวี้โม่ก็จะจดจ่อกับการฝึกวิชาเพื่อพัฒนาความแข็งแกร่งของตนเองต่อไปเช่นกัน
อย่างไรก็ตาม ในช่วงเวลานี้ฉินอวี้โม่ก็ไม่อาจรู้ได้เลยว่าในอนาคต การพบกันระหว่างนางและจงอู๋หยางจะมีมากกว่าที่นางคิดไว้
ในอีกฝั่งหนึ่ง หลังจากที่ออกมาอย่างรวดเร็ว จงอู๋หยางก็พบพื้นที่สงบๆเพื่อปรับสภาวะร่างกายและฟื้นตัว หลังจากพลังวิญญาณที่สูญเสียไปฟื้นฟูขึ้นมาจนเกือบสมบูรณ์แล้วนั้น นางก็ลุกขึ้นอีกครั้ง
เมื่อนึกถึงลักษณะท่าทางของฉินอวี้โม่ก่อนหน้านี้ จงอู๋หยานก็อดขมวดคิ้วเบาๆไม่ได้ จอมยุทธ์จากต่างแดนผู้นี้มีเอกลักษณ์ไม่เหมือนใครจริงๆ
การที่นางไม่เอ่ยขอบคุณสำหรับความช่วยเหลือนั้นไม่ใช่เพราะความยโสโอหังค้ำคอนาง หากแต่เป็นเพราะนางต้องการลองเชิงทดสอบฉินอวี้โม่
แม้ว่าจงอู๋หยานเป็นคนโอหัง นางก็นึกขอบคุณสำหรับทุกสิ่งทุกอย่างที่ได้รับมาตั้งแต่เด็ก
เพียงแต่นางได้ยินชื่อเสียงของฉินอวี้โม่อย่างหนาหูในช่วงที่ผ่านจนเกิดสงสัยใคร่รู้เกี่ยวกับฉินอวี้โม่อยู่พอสมควร
แม้ได้พบกันเพียงสั้นๆ จงอู๋หยานก็ต้องยอมรับเลยว่านางริษยาฉินอวี้โม่และในขณะเดียวกันก็รู้สึกชื่นชมเป็นอย่างมาก
การได้เป็นสตรีที่มีคุณสมบัติอย่างฉินอวี้โม่ถือว่าเป็นเรื่องที่น่ายินดีมากสำหรับสตรีทั่วไปและการได้ทำในสิ่งที่ต้องการคงเป็นความรู้สึกที่ดีไม่น้อย
เพราะเหตุนั้นจงอู๋หยานจึงจงใจวางท่าหยิ่งยโสและไม่เอ่ยขอบคุณใดๆเพื่อทดสอบปฏิกิริยาของฉินอวี้โม่
ไม่น่าเชื่อเลยว่าฉินอวี้โม่จะไม่มีท่ามีสนใจนางแม้สักนิดและนั่นทำให้จงอู๋หยานรู้สึกไม่สบอารมณ์นัก
ไม่ว่าจะมากหรือน้อย นางก็เป็นบุคคลที่ไม่เคยถูกมองข้ามมาเสมอ ในดินแดนอ้างว้างแห่งนี้ นางเป็นศูนย์กลางที่ทุกคนต่างก็ให้ความสนใจมาเนิ่นนาน
การที่ฉินอวี้โม่มองนางด้วยแววตาเรียบเฉยย่อมทำให้นางไม่พอใจเป็นอย่างมาก
ในเวลานี้ จงอู๋หยานกำหมัดขึ้นมาอย่างแน่นและปฏิญาณกับตัวเองในใจ ซึ่งนี่เป็นการตัดสินใจที่จะเปลี่ยนชีวิตในภายภาคหน้าของนางไปโดยปริยาย
….
“พี่อวี้โม่ ดูนั่นสิ มันคือกระต่ายขาว!”
อีกฟากหนึ่งของมิติพิเศษ หลังจากตามหาเป็นเวลานาน ในที่สุดฉินอวี้โม่และอีกสองคนก็พบอสูรมายาตัวแรก–กระต่ายหูยาว
กระต่ายหูยาวเป็นเพียงอสูรสวรรค์และด้วยลักษณะตามธรรมชาติของมัน อสูรชนิดนี้จะไม่เป็นฝ่ายจู่โจมเข้าหามนุษย์ก่อน
และมีมนุษย์เพียงน้อยคนที่คิดจะสยบหรือโจมตีกระต่ายหูยาว
อย่างไรก็ตาม ฉินอวี้โม่และพวกไม่อยากตามหาอสูรอีกต่อไป ดังนั้นนางจึงทำพันธสัญญากับอสูรตรงหน้าอย่างรวดเร็ว
“ยินดีที่ได้พบเจ้านาย”
หลังจากแสงสว่างวาบ กระต่ายหูยาวก็แปรเปลี่ยนเป็นเด็กสาวที่น่ารักจิ้มลิ้ม
“ช่างเป็นหญิงสาวที่น่ารักจริงๆเลย”
เมื่อเห็นรูปลักษณ์ใหม่ที่ไม่เหลือเค้าเดิมของกระต่ายหูยาว ซูเสี่ยวจวิ้นก็กล่าวพร้อมยิ้มกว้าง
คำชมจากซูเสี่ยวจวิ้นทำให้ใบหน้าของกระต่ายหูยาวในร่างมนุษย์ชมพูระเรื่อขึ้นเล็กน้อยจนดูน่ารักยิ่งกว่าเดิม
“กระต่ายหูยาว ข้าต้องขอโทษด้วย ข้าไม่ได้อยากจะสยบเจ้า เพียงแต่ข้ามีเรื่องจะสอบถาม หลังจากเราพูดคุยกันจบ หากเจ้าอยากได้อิสรภาพ ข้าก็จะทำลายสัญญาและปล่อยเจ้าไป”
ฉินอวี้โม่เริ่มจากการอธิบายให้กระต่ายหูยาวได้เข้าใจว่านางและอีกสองคนไม่ได้มีเจตนาชั่วร้ายต่ออสูรมายาที่ว่านอนสอนง่ายอย่างมัน
“นายหญิง เป็นบุญของข้าแท้ๆที่ได้เป็นอสูรมายาของท่าน หากนายหญิงไม่รังเกียจการที่ข้าไม่ชื่นชอบการต่อสู้ ข้าก็ยินดีติดตามท่านต่อไป”
ทว่ากระต่ายหูยาวยิ้มบางๆและกล่าวแสดงความคิดของตนเอง
โดยปกติแล้วกระต่ายเป็นอสูรมายาที่ไม่ชื่นชอบการต่อสู้มากนักและมนุษย์ก็มักจะไม่ทำพันธสัญญากับพวกมัน
เมื่อกระต่ายหูยาวถูกสยบและกลายเป็นอสูรมายาของฉินอวี้โม่ ไม่เพียงแต่มันจะไม่ขัดขืนเท่านั้นทว่าก็ยังมีความสุขมาก ยิ่งไปกว่านั้น มันก็ค้นพบว่าฉินอวี้โม่มีกายเทพมายาอยู่ หากมันได้อยู่ร่วมและเดินทางไปกับฉินอวี้โม่ มันจะได้รับผลประโยชน์ดีๆอย่างแน่นอน
เมื่อได้ยินคำพูดของกระต่ายหูยาว ฉินอวี้โม่ก็ลังเลเล็กน้อยก่อนพยักศีรษะ
แม้ว่าอสูรมายาที่ไม่ชอบการต่อสู้จะไม่มีประโยชน์ ทว่าในบรรดาอสูรมายาทั้งหมดของนางก็มีอสูรเพศเมียเพียงไม่กี่ตัวเท่านั้น ด้วยรูปลักษณ์ที่น่ารักน่าชังของกระต่ายตัวนี้ เสี่ยวเฮยและตัวอื่นๆจะต้องมีความสุขมากเป็นแน่
เมื่อฉินอวี้โม่พยักศีรษะตอบตกลง รอยยิ้มเล็กๆก็ปรากฏบนใบหน้าของกระต่ายในร่างมนุษย์
“พี่กระต่ายหูยาว ช่วยบอกเราทีเถอะว่าที่นี่มีสถานที่ใดพิเศษรึไม่? พวกเราต้องการตามหาทางเข้าไปสู่ชั้นที่สอง”
ซูเสี่ยวจวิ้นอดไม่ได้และเอ่ยถามพร้อมมอง ‘พี่กระต่าย’ ด้วยดวงตากลมโตของนางที่ฉายประกายความอยากรู้อย่างชัดเจน
.