“ไม่ต้องห่วง ข้าไม่เป็นไร”
เต่ามังกรเอ่ยขึ้นราวกับไม่รู้สึกรู้สาอะไรกับคำพูดของอวิ๋นขวง
“เพียงแต่ข้าไม่รู้ว่าจะถ่วงเวลาได้จนถึงตอนที่ซูเสี่ยวจวิ้นพาคนมาช่วยรึไม่”
เสียงของเต่ามังกรฟังดูอ่อนแอ เห็นได้ชัดว่าพลังกัดกร่อนรุนแรงของอวิ๋นขวงทำให้มันเจ็บปวดอย่างมาก
“เต่ามังกร เร็วเข้า ข้าจะทำพันธสัญญากับเจ้า”
เมื่อจู่ๆความคิดหนึ่งแล่นเข้ามาในหัว ฉินอวี้โม่ก็กล่าวออกไปทันทีและต้องการให้เต่ามังกรทำพันธสัญญากับนาง
นางมีสภาวะร่างกายที่พิเศษอย่างกายเทพมายาและหากว่าทำพันธสัญญากับเต่ามังกร มันก็อาจสามารถขัดขวางพลังกัดกร่อนนี้ได้
“มนุษย์เอ๋ย เจ้าเป็นคนดีจริงๆ หากข้ารอดชีวิตไปได้ ข้าก็เต็มใจที่จะกลายเป็นอสูรมายาของเจ้า แต่ทว่า..หากข้าทำพันธสัญญาร่วมกับเจ้าในตอนนี้ มันจะทำให้เจ้าพลอยบาดเจ็บไปด้วย”
เต่ามังกรยิ้มและตอบปฏิเสธโดยตรง
มันรู้ดีว่าหากทำพันธสัญญากับมนุษย์ผู้ใด สิ่งที่เกิดขึ้นกับมันจะส่งผลกระทบต่อนายของมันเช่นกัน
สำหรับฉินอวี้โม่และฉีอวิ๋นเหล่ย มันถูกชะตากับทั้งสองมาก ตอนนี้ที่มันยอมเสี่ยงชีวิตออกมาช่วยจอมยุทธ์ทั้งสอง เต่ามังกรไม่เสียดายกับการตัดสินใจนี้เลยสักนิด มันต้องการปกป้องและหวังว่าจะถ่วงเวลาได้จนกว่าซูเสี่ยวจวิ้นจะพาใครสักคนเข้ามาช่วย
“ไม่หรอก เจ้าต้องฟังข้า ข้ามีกายเทพมายา มันจะรับมือกับพลังกัดกร่อนนี้ได้”
เวลานี้ฉินอวี้โม่ไม่สนใจสิ่งใดอีกต่อไปและเปิดเผยเรื่องกายเทพมายาของตนเองออกไปตามตรง
ฉีอวิ๋นเหล่ยและเต่ามังกรชะงักกึกทันที แน่นอนว่าทั้งสองเคยได้ยินเรื่อง ‘กายเทพมายา’ มาก่อน เพียงแต่ไม่คาดคิดว่าฉินอวี้โม่ผู้นี้จะเป็นผู้ครองกายวิเศษในตำนานนั้น
จูตี๋และอวิ๋นขวงซึ่งกำลังรอชมจุดจบของเต่ามังกรก็ไม่ได้สนใจฟังบทสนทนาของฉินอวี้โม่ พวกเขาจึงไม่ได้ยินคำพูดนี้ของนาง
“ฮ่าๆๆ ข้าซาบซึ้งใจจริงๆที่เจ้าเปิดเผยความลับนี้กับข้า แต่ถึงอย่างไรข้าก็ยอมให้เจ้าตกอยู่ในอันตรายไม่ได้หรอก”
เต่ามังกรยิ้มอย่างจริงใจทว่าก็ยังปฏิเสธเสียงแข็ง มันรู้ดีว่ากายเทพมายาเป็นสภาวะร่างกายที่พิเศษอย่างยิ่ง อย่างไรก็ตาม หากกล่าวว่ากายเทพมายาจะสามารถรับมือกับพลังกัดกร่อนนี้ มันก็ยังไม่เต็มใจจะเชื่อเท่าไหร่นัก
“เต่ามังกร เชื่อใจข้าเถอะ”
ฉินอวี้โม่กังวลใจไม่น้อยเมื่อได้ยินคำพูดของเต่ามังกร นางรู้สึกได้ว่าลมหายใจของอสูรตรงหน้าอ่อนแอลงเรื่อยๆ หากไม่รีบทำอะไรสักอย่างเสียตั้งแต่ตอนนี้ เกรงว่าจะต้องเกิดเรื่องร้ายอย่างแน่นอน
แต่ทว่า เต่ามังกรยังคงไม่คล้อยตาม ต่อให้จะสามารถรับมือกับพลังกัดกร่อนนี้ได้จริงๆ มันก็ยังไม่ยอมทำพันธสัญญากับนาง เพราะหากว่าเรื่องกายเทพมายาของนางแพร่งพรายออกไปในตอนนี้ มันก็จะยิ่งทำให้สมาชิกจากขุมกำลังมารร้ายผู้นี้บ้าระห่ำมากขึ้น เมื่อรู้เช่นนี้แล้ว ไม่ว่าอย่างไรมันก็จะปกป้องฉินอวี้โม่ผู้ซึ่งเป็นความหวังในการรับมือกับขุมกำลังมารร้ายในอนาคตอย่างสุดความสามารถ
เมื่อสัมผัสได้ถึงความมุ่งมั่นของเต่ามังกร ฉินอวี้โม่ก็ทำอะไรไม่ได้
“ซิว.. ซิว.. ซิว…”
แม้หลังจากการเรียกซ้ำแล้วซ้ำเล่าก็ยังไม่มีการตอบสนองใดๆจากซิว
ฉินอวี้โม่อดทอดถอนหายใจอย่างปลงตกและรู้สึกผิดไม่ได้ นางไม่อาจทำใจยอมปล่อยให้เต่ามังกรผู้ดื้อรั้นเสียสละชีวิตเพื่อตนเอง
“เต่ามังกร หากเจ้าไม่ทำพันธสัญญากับข้า ข้าจะออกไปเผชิญหน้ากับอวิ๋นขวงเดี๋ยวนี้”
ฉินอวี้โม่ไม่ต้องการให้เต่ามังกรต้องจบชีวิตลงเพราะนาง นางจึงเอ่ยเชิงข่มขู่มันออกไป
ในวันนี้ ต่อให้ต้องตาย สมาชิกจากขุมกำลังมารร้ายผู้นี้ก็จะต้องชดใช้ นางจะยอมให้เต่ามังกรเสียสละเพื่อนางอย่างเปล่าประโยชน์ไม่ได้เด็ดขาด
เมื่อเต่ามังกรได้ยินคำขู่ของฉินอวี้โม่ มันก็ลังเลอย่างเห็นได้ชัด
“เจ้าหนุ่ม หากเจ้าต้องการมีชีวิตอยู่ต่อก็ช่วยห้ามนางเถอะ”
เมื่อไม่มีทางอื่น เต่ามังกรก็หันไปหาฉีอวิ๋นเหล่ยและบอกให้เขาห้ามฉินอวี้โม่
“เต่ามังกร เจ้าควรทำพันธสัญญากับอวี้โม่”
ฉีอวิ๋นเหล่ยไม่คิดที่จะห้ามปรามฉินอวี้โม่ทว่ากล่าวสนับสนุนออกไปโดยตรง
เมื่อได้ยินเช่นนั้น อสูรยักษ์ใหญ่ก็รู้สึกหมดทางยิ่งกว่าเดิม
“ข้ารู้ว่าเจ้ากังวลเรื่องใด แต่พวกเราไม่ได้กังวลเรื่องนั้น ยอมทำพันธสัญญาก่อนเถอะแล้วเราทั้งหมดจะหาทางรอดไปด้วยกัน เข้าใจรึไม่?”
ฉินอวี้โม่เอ่ยขึ้นอีกครั้ง นางคาดเดาได้ว่าเต่ามังกรกังวลสิ่งใด ทว่าตอนนี้ไม่มีสิ่งใดที่จะสำคัญไปกว่าชีวิตของมัน
เมื่อได้ยินวาจาและน้ำเสียงหนักแน่นของฉินอวี้โม่ ในที่สุดเต่ามังกรก็พยักหน้าและตอบตกลง
ฉินอวี้โม่ไม่รอช้าก่อนยื่นมือออกไปแตะตัวเต่ามังกรและเริ่มการทำพันธสัญญาทันที
“เหอะ อยากจะรู้นักว่าพวกเจ้าจะมีไม้เด็ดอะไรอีก!”
ตอนนี้อวิ๋นขวงก็สงบสติอารมณ์มากขึ้นแล้ว เขามองฉินอวี้โม่และอสูรยักษ์ใหญ่ด้วยสายตาเย็นชาราวกับกำลังมองศพไร้วิญญาณก็ว่าได้
…
ณ ข้างนอกมิติพิเศษ ซูเสี่ยวจวิ้นได้พบกับฉินเทียนและอื่นๆแล้ว นางเล่าเรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้นข้างในให้พวกเขาได้ทราบอย่างรวดเร็ว
“อะไรนะ?! คนจากฝ่ายมารเข้าไปในมิติพิเศษและพยายามฆ่าโม่เอ๋อร์งั้นรึ?!”
สีหน้าของฉินเทียนถอดสีไปชั่วขณะและแรงกดดันจากร่างกายของเขาแผ่ออกมาอย่างแรงกล้าโดยไม่ปิดบัง
“ท่านผู้นำหยิน เปิดมิติพิเศษเร็วเข้า ข้าจะเข้าไปช่วยเสี่ยวโม่เอ๋อร์!”
ร่างของเขาพุ่งตรงไปปรากฏตัวข้างหยินหึนด้วยสีหน้าที่เดือดดาลอย่างที่สุด
หยินหึนเองก็มีสีหน้าที่ไม่สู้ดีนัก เขาไม่คิดเลยว่าจะมีเหตุการณ์เช่นนี้เกิดขึ้นในมิติพิเศษ
อย่างไรก็ตาม เนื่องจากมิติพิเศษมีไว้สำหรับผู้เข้าแข่งขัน ผู้ที่อายุมากกว่าสามสิบปีจึงไม่สามารถเข้าไปในมิติพิเศษนี้ได้ ทว่าหยินหึนจำได้ว่าผู้ที่มีอายุน้อยกว่าสามสิบปีนั้น ไม่มีผู้ใดที่เป็นจอมยุทธ์ขอบเขตจ้าวสุริยะ
แล้วคนจากฝ่ายมารเข้าไปในมิติพิเศษได้อย่างไรกัน? หยินหึนไม่เชื่ออย่างแน่นอนว่าคนผู้นั้นจะมีอายุน้อยกว่าสามสิบปี
“ใช่ว่าข้าไม่อยากเปิดมิติพิเศษ ทว่าในการแข่งขัน มิตินี้ไม่สามารถเปิดได้เลย ยิ่งไปกว่านั้น ต่อให้เปิดมันได้ ผู้ที่มีอายุมากกว่าสามสิบปีก็เข้าไปข้างในนั้นไม่ได้”
หยินหึนมองฉินเทียนที่เป็นกังวลอย่างที่สุดและกล่าวอธิบาย เขาเองก็กังวลใจไม่น้อยเช่นกัน
นับประสาอะไรกับที่ว่ามิติพิเศษไม่สามารถเปิดได้ในตอนนี้ ต่อให้เปิดมันได้ จอมยุทธ์ที่มีอายุมากกว่าสามสิบปีก็ไม่สามารถเข้าไปได้อยู่ดี
“ท่านพ่อบุญธรรม มีทางใดที่จะเปิดมิติพิเศษได้บ้างหรือไม่? หากเป็นไปได้ ข้าก็ต้องการเข้าไปข้างในนั้นและช่วยพวกนาง!”
จู่ๆฉุ่ยเยว่ก็กล่าวขึ้นมาด้วยความกังวล นางประทับใจและถูกชะตากับฉินอวี้โม่มาก บัดนี้เมื่อรู้ว่าฉินอวี้โม่ตกอยู่ในอันตราย แน่นอนว่านางต้องการเข้าไปช่วย
“จูอวิ๋นชาง เจ้าทำอะไรลงไป!”
ฉินเทียนพุ่งตรงไปหาจูอวิ๋นชางและยกฝ่ามือฟาดจูอวิ๋นชางทันที
คนจากขุมกำลังมารร้ายผู้นั้นอยู่กับจูตี๋ ไม่มีทางที่จูอวิ๋นชางจะไม่รับรู้เรื่องนี้ด้วย
“ฉินเทียน คิดว่าข้าจะกลัวเจ้างั้นรึ?”
จูอวิ๋นชางกล่าวอย่างไม่แยแสและยกฝ่ามือขึ้นฟาดตอบโต้เช่นกัน
ขุมกำลังพญายมชักนำคนผู้นั้นเข้ามาและพวกเขาวางแผนเรื่องนี้ไว้นานแล้ว!
“จูอวิ๋นชาง หากมีสิ่งใดเกิดขึ้นกับเสี่ยวโม่เอ๋อร์ เจ้าจะต้องชดใช้ด้วยชีวิต!”
เสียงของฉินเทียนเย็นชาจนน่าขนลุก ฉินอวี้โม่เป็นดั่งเกล็ดใต้คอมังกรของเขา หากมีเรื่องร้ายเกิดขึ้นกับนาง เขาจะต้องทำให้จูอวิ๋นชางชดใช้อย่างสาสม
* 逆鳞 เกล็ดใต้คอมังกร หมายถึง สะกิดต่อมโมโห — มาจากเกล็ดมังกรหันไปในทางตรงข้ามกับเกล็ดในบริเวณอื่น เชื่อกันว่าหากใครไปแตะเกล็ดนี้ มังกรจะโกรธจัด ปัจจุบันใช้เปรียบเทียบการทำให้ผู้มีอำนาจโกรธ
“ผู้อาวุโสทั้งหลาย มานี่เร็วเข้า พวกเราต้องลองดูว่าจะเปิดมิติพิเศษได้รึไม่”
หยินหึนกล่าวกับบรรดาผู้อาวุโสของขุมกำลังเอกพิภพเพื่อให้พวกเขาลองเปิดมิติพิเศษนี้
“ท่านผู้นำขอรับ ผู้นำซูและผู้นำฉีถูกบุคคลลึกลับลอบโจมตีระหว่างเดินทางมาที่นี่ ตอนนี้พวกเขากำลังตกอยู่ในอันตรายและส่งข้อความมาขอความช่วยเหลือจากเรา”
จู่ๆสมาชิกของขุมกำลังเอกพิภพคนหนึ่งก็วิ่งพรวดเข้ามาและรายงานอย่างรวดเร็วด้วยสีหน้าไม่สู้ดีนัก
“จูอวิ๋นชาง นี่ก็เป็นแผนการของเจ้าใช่รึไม่?!”
สีหน้าของหยินหึนเปลี่ยนแปลงไปเล็กน้อยและฉินเทียนรู้ได้ทันทีว่านี่จะต้องเป็นฝีมือของจูอวิ๋นชางและพวกอย่างแน่นอน
“ฮ่าๆๆ แล้วยังไง? พวกข้าติดต่อกับขุมกำลังมารร้ายมานานแล้วและร่วมมือกับพวกเขา ครานี้พวกเราจะทำให้ทั้งแผ่นดินของดินแดนอ้างว้างต้องสั่นสะเทือนอย่างไม่มีทางต้าน!”
จูอวิ๋นชางยิ้มอย่างยโสโอหัง เรื่องทั้งหมดถูกวางแผนมาล่วงหน้าแล้วจริง และครานี้เป้าหมายของเขาคือการกวาดล้างขุมกำลังยิ่งใหญ่ทั้งหมดในดินแดนอ้างว้างและกลายเป็นผู้กุมอำนาจแต่เพียงผู้เดียว
“บัดซบ!”
ฉินเทียนตะโกนกร้าวและสีหน้าของเขาบูดบึ้งขึ้นเรื่อยๆ
….
ภายในห้องลับใต้ดินของเมืองเฟิงอวิ๋น กิเลนอัคคีมองหานโม่ฉืออย่างเป็นกังวล แม้กระทั่งตอนนี้ เขายังไม่มีท่าทีว่าจะลืมตาตื่นขึ้นมา
“นายท่าน หากท่านไม่ตื่นขึ้นมาในตอนนี้ นายหญิงอาจจะตายได้!”
กิเลนอัคคีกล่าวเสียงเบา ทว่าหานโม่ฉือยังไม่ขยับเขยื้อนใดๆ
ตลอดหลายวันที่ผ่านมา เขาเข้าสู่สภาวะสมาธิที่ลึกซึ้งเกินหยั่งถึง ไม่ว่ากิเลนอัคคีจะพูดอะไร เขาก็ไม่ได้ยินแม้แต่น้อย
และกิเลนก็สัมผัสได้ว่าเจ้านายของมันเหมือนจะทำการทะลวงพลังครั้งใหญ่อยู่ ทว่าบัดนี้ฉินอวี้โม่กำลังตกอยู่ในภยันตราย หากมีเรื่องร้ายเกิดขึ้น เมื่อนายของมันลืมตาขึ้นมารับรู้ เขาจะต้องโกรธเกรี้ยวจนเสียสติอย่างแน่นอน
เมื่อมองหานโม่ฉือซึ่งยังคงนิ่งไม่ไหวติง กิเลนสง่างามก็กัดฟันแน่นและเตรียมพร้อมที่จะออกไปด้วยตัวเองเพื่อหาทางช่วยฉินอวี้โม่
อย่างไรก็ตาม ทันทีที่มันหันหลังกลับ จู่ๆมันก็สัมผัสได้ถึงพลังบางอย่างที่ทรงพลังอย่างที่สุดแผ่มาจากข้างหลัง
กิเลนอัคคีหันกลับไปทันทีและพบว่าหานโม่ฉือซึ่งหลับตานิ่งสนิทมาตลอดช่วงที่ผ่านมาได้ลืมตาขึ้นมาอย่างกะทันหัน
“เกิดอะไรขึ้นกับอวี้โม่?”
หานโม่ฉือกล่าวด้วยเสียงแหบพร่า ทว่าน้ำเสียงและวาจาของเขาราวกับเป็นทูตจากนรกอเวจีที่เต็มไปด้วยความเดือดดาลของอสุรกาย
“นายท่าน ในที่สุดท่านก็ตื่นขึ้นมา!”
เมื่อเห็นว่าในที่สุดหานโม่ฉือก็ลืมตาตื่น กิเลนอัคคีก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก อย่างไรก็ตาม มันไม่รอช้าและบอกหานโม่ฉือในสิ่งที่ได้รู้มาทันที
เมื่อสิ้นเสียงของมัน หานโม่ฉือก็หายไปจากตรงหน้ามันอย่างกะทันหัน
“นายท่าน รอข้าด้วย!”
กิเลนตะโกนเรียกและตามเจ้านายไปอย่างรวดเร็ว
…
“ผู้อาวุโสใหญ่ นำคนบางส่วนออกไปช่วยผู้นำซูและผู้นำฉีเร็วเข้า!”
ณ ลานจัตุรัส หยินหึนสั่งการอย่างรวดเร็ว
บัดนี้เหตุการณ์เรื่องร้ายประดังประเดเข้ามาอย่างไม่หยุดหย่อนจนเขาเริ่มปวดหัว
อย่างไรก็ตาม เขาไม่ได้ตื่นตระหนกแม้แต่น้อย ฉินอวี้โม่เป็นนายหญิงน้อยของเขา น่าจะไม่มีใครทำอะไรนางได้ นอกจากนี้ ผู้นำซูและผู้นำฉินเป็นยอดฝีมืออันดับต้นๆของดินแดน ทั้งสองก็น่าจะรับมือกับสถานการณ์ในฝั่งนั้นได้เช่นกัน
“ขอรับ”
ผู้อาวุโสใหญ่ของขุมกำลังเอกพิภพพยักศีรษะและแยกตัวไปจัดการอย่างรวดเร็ว
“ท่านผู้นำ เราเปิดไม่ได้”
ผู้อาวุโสคนอื่นๆพยายามหาทางเปิดมิติพิเศษในชั้นที่ฉินอวี้โม่อยู่ ทว่าก็ไม่เกิดผลลัพธ์ใดๆ
สีหน้าของหยินหึนก็เหยเกมากขึ้นเมื่อได้ยินคำพูดของบรรดาผู้อาวุโส สีหน้าของฉินเทียนเองก็ไม่สู้ดีนักเช่นกัน เขาต้องการเปิดมิติพิเศษให้ได้และตรงเข้าไปที่นั่นด้วยตัวเอง
“เหอะ ทุกคน ออกมา มาสร้างปัญหาความวุ่นวายให้กับคนพวกนี้เถอะ”
จูอวิ๋นชางแค่นเสียงทันที จากนั้นกลุ่มคนมากมายก็ปรากฏขึ้นมาอย่างไร้ที่มา ผู้คนจากหลายขุมกำลังก็เข้ามายืนข้างหลังจูอวิ๋นชาง เห็นได้ชัดว่าคนเหล่านั้นเป็นพวกเดียวกับเขา
“บัดซบ!”
เฟิงจิงเทียนสบถอย่างเย็นชา แววตาของเขาเปี่ยมด้วยจิตวิญญาณการต่อสู้
“ท่านพ่อ พี่อวี้โม่จะไม่เป็นไร”
เป็นเพราะบางสิ่งบางอย่าง เสี่ยวเหยียนจึงไม่ได้เข้าไปในมิติพิเศษและสละสิทธิ์การแข่งขันของงานชุมนุมวายุเมฆาครั้งนี้ ทว่าบัดนี้เมื่อฉินอวี้โม่ตกอยู่ในอันตราย นางก็ย่อมเป็นห่วงและกังวลไม่น้อย
เมื่อเฟิงจิงเทียนได้ยินวาจาของเสี่ยวเหยียน เขาก็ไม่รู้ว่าจะต้องตอบสนองอย่างไร
“อวี้โม่อยู่ที่ไหน?”
ทันใดนั้น น้ำเสียงเยือกเย็นเสียงหนึ่งก็ดังขึ้นจนได้ยินทั่วกัน จากนั้นหยินหึนก็เห็นร่างหนึ่งตรงมาปรากฏตรงหน้า
เขาคือบุรุษชุดดำรูปงามไร้ที่เปรียบ บัดนี้ทั้งร่างของเขามีแต่ความเดือดดาลอย่างที่สุดและแรงกดดันที่แผ่ออกมาทำให้หยินหึนรู้สึกหวาดหวั่นเล็กน้อย
ขณะกำลังจะเอ่ยปากอธิบาย ผู้นำขุมกำลังเอกพิภพก็เห็นบุรุษผู้มาใหม่แยกห้วงอวกาศด้วยมือเปล่าก่อนก้าวเข้าไปและหายตัวไปทันที
“แยกห้วงมิติ.. ขอบเขตเซียน!”
“หานโม่ฉือ!”
ทั้งหยินหึนและฉินเทียนตกตะลึงอย่างสุดขีด
.