ขณะมองหานโม่ฉือที่กำลังใกล้เข้ามาอย่างช้าๆ สีหน้าของอวิ๋นขวงที่ล้มกองอยู่บนพื้นก็เปลี่ยนแปลงไปอย่างที่สุด
พลังของบุรุษผู้มาใหม่ผู้นี้แกร่งกล้ามากเกินไป แม้ว่าอวิ๋นขวงเป็นถึงจอมยุทธ์ขอบเขตจ้าวสุริยะขั้นสูงสุดและเขาชำนาญวิชาพลังกัดกร่อนเป็นพิเศษ
ทว่าเมื่อเผชิญหน้ากับบุรุษผู้นี้ เขาไม่มีพลังที่จะต้านทานได้เลย
ผู้อาวุโสจากขุมกำลังมารร้ายรู้สึกได้ว่าสภาวะพลังในร่างกายของตนเองถูกระงับไว้และร่างกายของเขาถูกควบคุมโดยพลังบางอย่างจนขยับเขยื้อนไม่ได้แม้แต่น้อย
“เหอะ เจ้ากล้าฆ่าข้ารึ? ข้าเป็นถึงสมาชิกของขุมกำลังมารร้าย หากเจ้าฆ่าข้า ผู้นำของเราไม่ปล่อยเจ้าไปแน่”
แม้อวิ๋นขวงพยายามอย่างสุดกำลังเพื่อลุกขึ้นยืน เขาก็พบว่ามันเปล่าประโยชน์ สภาวะพลังของหานโม่ฉือควบคุมตัวเขาไว้ได้อย่างสมบูรณ์และเขาไม่สามารถขยับเขยื้อนได้เลย
“ฮ่าๆๆ ขุมกำลังมารร้ายแล้วมันทำไมกัน?”
หานโม่ฉือยิ้มมุมปากอย่างไม่แยแสขณะเดินไปถึงตรงหน้าอวิ๋นขวง
“ข้าเคยลั่นวาจาไว้แล้วว่าใครก็ตามที่กล้าแตะต้องนางจะต้องถูกสังหารข้า และครานี้คนผู้นั้นคือเจ้า วันนี้ต่อให้ผู้นำขุมกำลังมารร้ายมาที่นี่ด้วยตัวเอง ข้าก็จะปลิดชีวิตเขาด้วยมือของข้าเอง!”
เมื่อกล่าวจบ หานโม่ฉือก็ไม่รอช้าขณะเปลวเพลิงปรากฏขึ้นที่ปลายนิ้วมือของเขา
“อ๊ากกกก!”
เปลวเพลิงดังกล่าวตกลงบนร่างของอวิ๋นขวงจนเขาแผดเสียงออกมาทันที จากนั้นสิ่งเดียวที่ทุกคนมองเห็นคือร่างของผู้อาวุโสผู้แกร่งกล้าจากฝ่ายมารที่หลอมละลายอย่างรวดเร็วพร้อมเสียงโหยหวนด้วยความเจ็บปวดอย่างที่สุด
“เตรียมใจไว้เถอะ ขุมกำลังมารร้ายของเราไม่มีทางปล่อยเจ้าไปแน่!”
อวิ๋นขวงจ้องมองบุรุษตรงหน้าตาเขม็งก่อนที่ร่างของเขาจะระเบิดและกลายเป็นเลือดที่สาดกระเซ็นไปทั่ว
“ลืมไปแล้วรึ? ข้าบอกว่าวันนี้ข้าจะแผดเผาจิตวิญญาณของเจ้าจนแหลกสลายกลายเป็นเถ้าถ่าน!”
หานโม่ฉือดูจะเตรียมความพร้อมไว้แล้ว ในขณะเดียวกันนั้น เขาก็วาดห้วงอวกาศรอบตัวด้วยมือเปล่าและผนึกเลือดทั้งหมดไว้ข้างใน
“วิชาผนึกมิติ —— เพลิงโชติช่วง!”
หานโม่ฉือเอ่ยขึ้นเบาๆก่อนตามด้วยเสียงอู้อี้ซึ่งดังขึ้นจากจุดที่อวิ๋นขวงอยู่ก่อนหน้านี้
จากนั้นราวกับมีบางสิ่งบางอย่างถูกแผดเผาขณะเปลวเพลิงโหมกระหน่ำกลายเป็นรูปร่างมนุษย์
“อ๊ากกกก! ไม่ ข้าไม่อยากตาย!”
เสียงตะโกนอย่างเสียสติดังขึ้นทั่วอากาศขณะอวิ๋นชวงสลายหายไปอย่างไร้ร่องรอยและจิตวิญญาณของเขาก็ดับสลายไปอย่างสมบูรณ์
“เอ่อ.. น่ากลัวชะมัด…”
ฉีอวิ๋นเหล่ยและเต่ามังกรซึ่งอยู่ด้านข้างเห็นสิ่งที่เกิดขึ้นอย่างชัดเจน ทั้งสองอดรู้สึกขนหัวลุกและถอนหายใจออกมาไม่ได้
พลังของหานโม่ฉือผู้นี้น่าสะพรึงกลัวอย่างแท้จริง
อวิ๋นขวงที่พวกเขาไม่สามารถจัดการได้แม้ร่วมมือกันก่อนหน้านี้กลายเป็นเพียงมดปลวกไร้ค่าเมื่อเผชิญหน้ากับหานโม่ฉือ ผู้อาวุโสจากฝ่ายมารไม่มีพลังที่จะต้านทานได้แม้แต่น้อยและท้ายที่สุดจิตวิญญาณของเขาก็ดับสลายไปอย่างง่ายดาย
“พลังของยอมฝีมือขอบเขตเซียนต่างจากขอบเขตจ้าวสุริยะมากจริงๆ ข้าเกรงว่าตอนนี้หานโม่ฉือผู้นี้คงจะเป็นยอดฝีมืออันดับหนึ่งของดินแดนอ้างว้างแล้ว!”
ฉีอวิ๋นเหล่ยถอนหายใจด้วยความทึ่งใจและยิ้มบางๆขณะหันไปมองฉินอวี้โม่ผู้ซึ่งนั่งอยู่บนหลังเต่ามังกร จู่ๆเขาก็เข้าใจบางอย่างขึ้นมา
สตรีอย่างฉินอวี้โม่เหมาะสมกับบุรุษอย่างหานโม่ฉือแต่เพียงผู้เดียวเท่านั้น หากเป็นใครคนอื่น ไม่ว่าพวกเขาจะทรงพลังมากเพียงใดก็ไม่มีใครสมศักดิ์ศรีที่จะยืนเคียงข้างฉินอวี้โม่
ตู้ม!
พร้อมเสียงดังสนั่นอีกครา เศษเสี้ยวจิตวิญญาณของเทาเที่ยก็สลายหายไปโดยกิเลนอัคคีของหานโม่ฉือและไม่หลงเหลือร่องรอยใดๆอีก
“โม่ฉือ เจ้าเก่งมาก”
ขณะสบตาหานโม่ฉือซึ่งกลับมาปรากฏกายถัดจากนาง ฉินอวี้โม่ก็ยิ้มออกมาพร้อมยืนขึ้นและเกาะแขนของเขา
“เอาล่ะ นี่ของเจ้า”
หานโม่ฉือยิ้มอย่างอบอุ่นขณะแหวนมิติแวววาวเป็นประกายปรากฏในมือและยื่นให้ฉินอวี้โม่
แน่นอนว่าเขาไม่เคยลืมว่าโม่เอ๋อร์ของเขาสนใจสิ่งเหล่านี้อย่างมาก เมื่อครู่ก่อนที่เขาจะทำลายจิตวิญญาณของอวิ๋นขวง เขาไม่ลืมที่จะคว้าแหวนมิติวงนี้ไว้
“เจ้ายังคงรู้ใจข้าที่สุด”
ฉินอวี้โม่ยิ้มหวานหยดและรับแหวนมาอย่างไม่รีรอ
ฉีอวิ๋นเหล่ยและเต่ามังกรมองทั้งสองอย่างพูดไม่ออกไปชั่วขณะ หมาเดี่ยวอย่างพวกเขารู้สึกริษยาชายหญิงคู่นี้จริงๆ!
* 单身狗 หมาเดี่ยว ใช้เปรียบกับคนโสด ไม่มีคนรัก เพราะหมาที่อยู่ตัวเดียวมักจะทำหน้าหงอยๆ น่าสงสาร เพราะฉะนั้นจึงเปรียบเทียบคนที่โสด ไร้คนรักและเหงาหงอย
“มาเถอะ ข้าจะแนะนำให้ได้รู้จักกัน”
ฉินอวี้โม่จับมือบุรุษคนรักก่อนกระโดดลงจากหลังเต่ามังกรและเดินตรงไปหาฉีอวิ๋นเหล่ยพร้อมรอยยิ้มกว้าง
“นี่คือพี่ฉีอวิ๋นเหล่ย สหายของข้าและเขามีความสัมพันธ์ทางสายเลือดกับท่านลุงฉีเยวี่ยนเวยจากดินแดนหวนหลิง”
ฉินอวี้โม่ยิ้มพร้อมเอ่ยแนะนำฉีอวิ๋นเหล่ยกับหานโม่ฉือ
“ข้าได้ยินชื่อนี้มานานแล้ว ขอบคุณมากที่ช่วยดูแลโม่เอ๋อร์ตลอดช่วงเวลาที่ผ่านมา”
หานโม่ฉือยกยิ้มมุมปากพร้อมกล่าวกับบุรุษตรงหน้า หากผู้ใดเป็นมิตรสหายของสตรีคนรัก เขาก็ถือว่าผู้นั้นเป็นมิตรสหายของตนเองด้วยเช่นกัน
“เอ่อ… เข้าใจผิดแล้วล่ะ ข้าไม่ได้ดูแลนางเลยสักนิด”
เมื่อได้ยินวาจาของหานโม่ฉือ ฉีอวิ๋นเหล่ยก็ส่ายหน้าเบาๆ
หากกล่าวถึงเรื่องการดูแล เกรงว่าฉินอวี้โม่ต่างหากที่เป็นคนช่วยดูแลเขาในหลายด้าน เพราะฉะนั้นเขาจึงไม่มีโอกาสได้ดูแลนาง
“หานโม่ฉือ ข้าเคยสงสัยว่าคนแบบใดกันที่จะเข้าตาแม่นางผู้เหนือธรรมชาติอย่างฉินอวี้โม่ บัดนี้เมื่อได้พบเจ้า ในที่สุดข้าก็ได้รู้ หากเทียบกับเจ้า ไม่ว่ายอดฝีมือรุ่นเยาว์คนใดในดินแดนอ้างว้างแห่งนี้ก็เทียบไม่ได้เลยสักนิด!”
ฉีอวิ๋นเหล่ยมองหานโม่ฉือด้วยความจริงใจ
ก่อนหน้านี้ นายน้อยแห่งขุมกำลังราชาสวรรค์เชื่อมั่นมาเสมอว่าตนมีพรสวรรค์โดดเด่นและจัดว่าเป็นหนึ่งในยอดฝีมือในบรรดาจอมยุทธ์รุ่นเยาว์ ทว่าหลังจากนั้นเมื่อได้พบกับฉินอวี้โม่ เขาก็มองว่านางเป็นสัตว์ประหลาดเหนือมนุษย์ที่เหนือชั้นกว่าเขามาก
บัดนี้เมื่อได้พบหานโม่ฉือ เขาก็ตระหนักได้ว่าบรรดาคนโดดเด่นมากพรสวรรค์ทั้งหลายล้วนเป็นเพียงเศษเสี้ยวเล็กๆของภูเขาน้ำแข็งที่ยิ่งใหญ่ หานโม่ฉือมีอายุเพียงยี่สิบห้าหรือยี่สิบหกปีเท่านั้นทว่าพลังของเขาทะลวงไปถึงขอบเขตเซียนแล้ว ไม่ว่าจะเป็นพรสวรรค์ ความเก่งกล้าสามารถหรือความประหลาดเหนือมนุษย์ ก็ไม่มีคำใดที่จะพรรณนาเขาได้เลย
พรสวรรค์ของฉินอวี้โม่ถือว่าเป็นเหมือนสัตว์ประหลาดแล้ว ทว่าหานโม่ฉือผู้นี้กลับยิ่งกว่านั้นเสียอีก นอกจากนี้เขาก็ไม่ได้มีกายเทพมายาเหมือนกับนางด้วยซ้ำ
เมื่อได้ยินคำชมอย่างจริงใจของฉีอวิ๋นเหล่ย หานโม่ฉือก็ยิ้มบางๆโดยไม่เอ่ยสิ่งใด
เขาไม่เคยสนใจคำที่คนอื่นพูดถึงตนเอง ตราบใดที่มีฉินอวี้โม่อยู่ข้างกาย สิ่งอื่นใดก็ไม่สำคัญสำหรับเขา
ใบหน้าของฉินอวี้โม่ประดับด้วยรอยยิ้มเปี่ยมสุข การที่มีผู้ใดชื่นชมบุรุษคนรักทำให้นางมีความสุขยิ่งกว่าคนเหล่านั้นชมนางเสียอีก
“นายหญิง จะจัดการกับคนพวกนี้อย่างไร?”
ในขณะที่ทั้งสามพูดคุยกันอยู่นั้น กิเลนอัคคีก็จับตัวจูตี๋และพวกซึ่งพยายามหลบหนีหลังจากได้เห็นความแข็งแกร่งอันน่าสะพรึงกลัวของหานโม่ฉือ
มันเข้าใจดีแล้วว่าเมื่อนายของมันอยู่กับนายหญิง นายหญิงจะเป็นผู้ที่มีอำนาจการตัดสินใจสูงสุด เพราะฉะนั้นตราบใดที่มันเอาใจนายหญิง มันก็ไม่ต้องกังวลว่ามันจะไม่ได้กินเนื้ออีกในอนาคต
ฉินอวี้โม่และฉีอวิ๋นเหล่ยยิ้มออกมาเมื่อเห็นจูตี๋ จูฉีและคนอื่นๆถูกกิเลนโยนมากองไว้ราวกับเป็นไก่ตัวเล็กๆ
“ฉินอวี้โม่ ข้าขอโทษ ข้าผิดไปแล้ว ทั้งหมดนี้เป็นแผนการของผู้อาวุโสอวิ๋นขวงและพวกข้าไม่เกี่ยวข้องอะไรด้วยเลย ข้าขอร้องเถอะ พวกเราไม่ใช่คนร้าย ปล่อยพวกเราไปเถอะ!”
จูตี๋หวาดกลัวจนหัวหด เมื่อครู่เขาได้เห็นพลังอันผิดธรรมชาติของหานโม่ฉืออย่างกระจ่างชัด แม้แต่อวิ๋นขวงผู้ที่เขาคิดว่าแกร่งกล้ามากแล้ว ทว่าเมื่อเผชิญหน้ากับหานโม่ฉือ เขากลับต่อกรไม่ได้แม้แต่น้อย
เพราะฉะนั้นหลังจากได้เห็นเหตุการณ์ทั้งหมด เขาจึงไม่รอช้าและรีบพาทุกคนหนีไปจากที่นี่
หานโม่ฉือน่าสะพรึงกลัวอย่างยิ่ง หากแม้แต่อวิ๋นขวงก็ถูกกำจัดไปอย่างง่ายดาย ตัวเขาเองก็คงไม่มีทางรอดไปได้แน่
อย่างไรก็ตาม เมื่อตัดสินใจที่จะหนีไป กิเลนอัคคีของหานโม่ฉือก็จัดการกับเทาเที่ยได้สำเร็จและพุ่งตรงมาโจมตีพวกเขาโดยตรง
เมื่อเผชิญหน้ากับกิเลนอัคคีที่แกร่งกล้า พวกเขาไม่มีทางสู้ได้เลยและถูกจับโยนมาตรงหน้าฉินอวี้โม่และคนอื่นๆในสภาพที่ไม่ต่างจากไก่ตัวน้อยเลย
ทว่าเวลานี้จูตี๋ไม่สนใจความอับอายใดๆอีกต่อไป เขาเอ่ยวิงวอนขอความเห็นใจด้วยน้ำเสียงเคารพต่างจากทุกครั้งที่เคยพบกันก่อนหน้านี้
เขาหวาดกลัวสุดขีดและไม่ต้องการลงเอยอย่างอวิ๋นขวงที่ไม่เหลือแม้แต่เศษเสี้ยวจิตวิญญาณ
“ฮ่าๆๆ เจ้ายังกล้าร้องขอความเมตตาอีกหรือ? ทั้งหมดที่เจ้าทำกับพวกเราและเจ้าก็ยังเป็นคนที่พาอวิ๋นขวงเข้ามา ทว่าเจ้ากลับต้องการให้พวกเราปล่อยเจ้าไปง่ายๆงั้นรึ ? ช่างเป็นความคิดที่เพ้อฝันสิ้นดี!”
ฉินอวี้โม่ยังไม่เอ่ยปาก ทว่าเป็นฉีอวิ๋นเหล่ยที่มองจูตี๋ด้วยแววตาเหยียดหยามและกล่าวอย่างขุ่นเคือง
ฉีอวิ๋นเหล่ยไม่ชอบหน้าจูตี๋ผู้รักตัวกลัวตายและไม่ต้องการให้เหตุการณ์ทั้งหมดเกิดซ้ำรอยเดิมอีก เพราะฉะนั้นแม้ว่าเขาไม่ชอบการคร่าชีวิตผู้ใด วันนี้เขาก็รู้สึกว่าจะต้องตัดรากถอนโคนให้สิ้นซาก
“จูตี๋ ข้าเคยให้โอกาสเจ้ามาหลายครั้งหลายคราแต่เจ้าก็ไม่เคยเปลี่ยนแปลง ดูเฟิงอู๋จากตระกูลเฟิงเป็นตัวอย่างสิ ตอนนี้เขาก็เก็บตัวอย่างสงบเสงี่ยมอยู่ที่จวนตระกูลเฟิงและไม่กล้าออกมาก่อเรื่องอะไรอีก วันนี้เจ้าหาเรื่องใส่ตัวเอง ไม่ว่าอย่างไรข้าก็ไม่มีทางปล่อยให้เจ้าได้ก่อเรื่องอีกในอนาคต!”
ฉินอวี้โม่ยิ้มอย่างเย็นชาและกล่าวอย่างไม่ลังเล ครานี้นางเกือบสิ้นชีวิตอยู่ที่นี่ หากไม่ใช่เพราะการปรากฏตัวอย่างทันท่วงทีของหานโม่ฉือ เกรงว่านางคงตายไปแล้ว
นางไม่ต้องการให้เกิดเหตุการณ์เช่นนี้เกิดขึ้นซ้ำอีกในภายภาคหน้า ยิ่งไปกว่านั้น นางก็ตัดสินใจแล้วว่าไม่ว่าจะทำสิ่งใดต่อไป นางก็จะระมัดระวังตัวมากขึ้น
เมื่อได้ยินวาจาเย็นชาของคุณหนูคนงาม สีหน้าของจูตี๋ก็บิดเบี้ยวเหยเก
หากเขารู้มาก่อนว่ามีสัตว์ประหลาดอย่างหานโม่ฉืออยู่ เขาคงไม่กล้ากระทำการสิ่งใดต่อให้มีพวกพ้องหลายสิบคนคอยสนับสนุนก็ตาม
แม้ว่าขุมกำลังมารร้ายจะทรงพลังอย่างมาก เขาก็ไม่เคยพบผู้ใดที่บรรลุขอบเขตเซียนมาก่อน อย่างไรก็ตาม เห็นได้ชัดว่าหานโม่ฉือผู้นี้ทะลวงพลังถึงขอบเขตเซียนและสามารถแยกห้วงอวกาศผ่านมิติได้โดยตรง
จูตี๋หวาดกลัวความตายอย่างยิ่งและเขาไม่มีทางเลือกอื่น
หานโม่ฉือยังคงอยู่ที่นี่ซึ่งทำให้เขาไม่กล้าแม้แต่จะคิดเรื่องการหลบหนีออกไป
จูฉีเองก็หวาดกลัวจนหน้าซีดและไม่กล้าเอ่ยปากพูดอะไร เขาเพียงแต่หยุดนิ่งอยู่กับที่ด้วยสีหน้าซีดสลด
คนอื่นๆที่ติดตามจูตี๋มาที่นี่ต่างก็เสียใจกับการกระทำของตนเองยิ่งกว่า พวกเขาได้แต่คิดสงสัยว่าเหตุใดพวกเขาจึงเชื่อจูตี๋และร่วมมือกันหาเรื่องฉินอวี้โม่? หากไม่ทำเช่นนั้น พวกเขาก็คงจะไม่ตกอยู่ในสถานการณ์สิ้นหวังเช่นนี้
“จูตี๋ ข้าอยากรู้อย่างหนึ่ง เจ้าติดต่อกับพวกขุมกำลังมารร้ายได้ยังไง? ยิ่งไปกว่านั้น งานเลี้ยงตระกูลเฟิงที่ผ่านมาสงบเงียบอย่างมาก ข้าคิดว่าคงจะมีบางอย่างเกิดขึ้นกับขุมกำลังมารร้าย พวกขุมกำลังพญายมจึงยอมกลับไปง่ายๆ”
ฉินอวี้โม่ไม่รีบร้อนสังหารจูตี๋ ถึงอย่างไรพวกเขาเหล่านี้ก็อยู่ในกำมือของนางแล้วและจูตี๋ต้องช่วยนางไขความสงสัยบางอย่างเสียก่อน
เมื่อได้ยินเช่นนั้น หัวใจของจูตี๋ก็มีความหวังขึ้นอีกครั้ง หากเขาใช้เรื่องนี้ต่อรองกับนาง เขาจะมีโอกาสรอดชีวิตหรือไม่?
ฉินอวี้โม่เดาความคิดของจูตี๋และยิ้มเย้ยหยันพร้อมกล่าวขึ้นเบา “จูตี๋ อย่าคิดที่จะใช้เรื่องนี้ต่อรองกับข้า ข้าไม่สนใจหรอก แต่หากเจ้าบอกข้อมูลที่ทำให้ข้าพอใจได้ ข้าก็อาจพิจารณาปล่อยเจ้าไป”
ฝ่ายมารกุมความลับมากมายเกินไป ในเมื่อจูตี๋สามารถติดต่อกับคนเหล่านั้นได้ เขาก็น่าจะรู้ข้อมูลบางอย่างที่นางยังไม่รู้
ยิ่งไปกว่านั้น จูตี๋ก็ไม่ถือว่าเป็นภัยคุกคามของฉินอวี้โม่อีกต่อไป หลังจากเหตุการณ์นี้ เขาคงจะไม่กล้าหาเรื่องนางอีก
หากเขาบอกข้อมูลสำคัญๆเกี่ยวกับขุมกำลังมารร้ายมาได้ ฉินอวี้โม่ก็อาจพิจารณาปล่อยตัวเขาไป
เมื่อได้ยินคำพูดของฉินอวี้โม่ จูตี๋ก็ไม่รอช้าและบอกฉินอวี้โม่ทุกอย่างที่เขารู้ด้วยหวังว่าตนเองจะมีโอกาสรอด
.