ตามที่จูตี๋บอกกล่าว บนเกาะเล็กๆในท้องทะเลอันกว้างใหญ่ไร้ที่สิ้นสุดในทางเหนือของดินแดนอ้างว้าง มีคนจากขุมกำลังมารร้ายที่อาศัยอยู่ที่นั่น
อย่างไรก็ตาม กล่าวกันว่านั่นเป็นเพียงสาขาหนึ่งของขุมกำลังมารร้ายเท่านั้น
สำนักงานใหญ่ของพวกเขาตั้งอยู่ที่ใดที่หนึ่งภายในดินแดนเทพมายา ทว่าจูตี๋ก็ไม่ทราบว่าคือที่ใด
แรกเริ่มเดิมทีในอดีตที่ผ่านมา จู่ๆก็มีกลุ่มคนลึกลับกลุ่มหนึ่งที่เข้ามาพบกับบิดาของจูตี๋—จูอวิ๋นชาง
จูตี๋ไม่รู้แน่ชัดว่าพวกเขาคุยเรื่องใดกัน
ทว่าเขาก็รู้ในภายหลังจากจูอวิ๋นชางว่าคนกลุ่มนั้นคือคนจากฝ่ายมารและทรงพลังอย่างยิ่ง
ในงานเลี้ยงตระกูลเฟิงก่อนหน้านี้ พวกเขาหารือตกลงกับฝ่ายมารและต้องการก่อความวุ่นวายครั้งใหญ่ในงานนั้น พวกเขาต้องการพิจารณาว่าสามารถกำจัดใครและตัดกำลังของขุมกำลังปฏิปักษ์ใดได้บ้าง
อย่างไรก็ตาม ไม่ทราบเช่นกันว่าเพราะเหตุใดจู่ๆฝ่ายมารก็เปลี่ยนแผนไปชั่วคราวซึ่งทำให้พวกเขาไม่ทันตั้งตัวและต้องหนีออกจากงานไปอย่างรวดเร็ว
หลังจากเหตุการณ์นั้นหลายวัน จูอวิ๋นชางไม่มีหนทางติดต่อพวกเขาได้เลย
จนกระทั่งเมื่อไม่กี่วันก่อนที่จะถึงงานชุมนุมวายุเมฆา อวิ๋นขวงผู้นี้ก็มาหาพวกเขา
อวิ๋นขวงกล่าวอ้างว่าเขาเป็นผู้อาวุโสของขุมกำลังมารร้ายและครานี้มาเพื่อขอความร่วมมือจากขุมกำลังพญายม
ในตอนนั้นเขาไม่ได้อธิบายขยายความเนื้อหาเกี่ยวกับการร่วมมือนั้นโดยบอกเพียงกฎเกณฑ์ของการแข่งขันในงานชุมนุมวายุเมฆาและบอกให้คนของขุมกำลังพญายมรับเขาแฝงตัวเข้ามาในกลุ่ม
แม้ว่าจูอวิ๋นชางจะมีความทะเยอทะยานสูง เขาก็ไม่ใช่คนเขลา เขารู้และหวั่นใจว่าอวิ๋นขวงอาจจะมีเจตนาชั่วร้าย ยิ่งไปกว่านั้น เขาไม่เคยลืมเรื่องสงครามครั้งประวัติศาสตร์ที่เกิดขึ้นเมื่อพันปีก่อนเช่นกัน
อย่างไรก็ตาม ขุมกำลังมารร้ายให้คำมั่นว่าหากแผนการนี้ประสบความสำเร็จ จูอวิ๋นชางจะได้เป็นผู้กุมอำนาจของดินแดนอ้างว้างนี้แต่เพียงผู้เดียว
เมื่อได้ยินเช่นนั้น จูอวิ๋นชางผู้ซึ่งมีความทะเยอทะยานสูงเป็นทุนเดิมจะปฏิเสธสิ่งล่อตาล่อใจเช่นนั้นได้อย่างไร? แน่นอนว่าหลังจากนั้นเขายอมรับข้อเสนอของอวิ๋นขวงอย่างไม่ลังเล
จูตี๋ไม่เข้าใจเนื้อหาข้อมูลในการหารือของพวกเขาอย่างชัดเจนนักและรู้เพียงว่าอวิ๋นขวงมีวิธีการพิเศษในการซ่อนตัวจากการตรวจจับของค่ายกลเคลื่อนย้ายและสามารถเข้ามาในมิติพิเศษแห่งนี้ได้อย่างไม่มีปัญหา
ส่วนตัวเขาก็มีหน้าที่รับผิดชอบเพียงแค่พาอวิ๋นขวงเข้ามาที่นี่และปล่อยให้ผู้อาวุโสจากฝ่ายมารกำจัดฉินอวี้โม่ ซึ่งหน้าที่ของเขาก็ง่ายดายเพียงเท่านี้
“แค่นั้นรึ?”
หลังจากได้ฟังการอธิบายของจูตี๋และดูเหมือนว่าเขาจะไม่มีข้อมูลที่เป็นสาระสำคัญใดๆเลย ฉินอวี้โม่ก็ยิ้มบางๆและเอ่ยขึ้น
เมื่อเห็นสีหน้าและฟังน้ำเสียงของฉินอวี้โม่ สีหน้าของจูตี๋ก็เหยเกอย่างยิ่ง เขาไม่อาจคาดเดาได้เลยว่าสตรีตรงหน้าคิดสิ่งใดอยู่ในใจ
เขาบอกข้อมูลทุกอย่างที่รู้ไปหมดแล้วและหวังว่าสิ่งเหล่านั้นจะเพียงพอให้เขารอดชีวิตออกไปได้
“จริงสิ ข้าก็พอจะรู้เรื่องบางอย่างมาเช่นกัน”
จู่ๆจูฉีซึ่งหวาดกลัวมาตลอดก็นึกบางอย่างขึ้นมาได้และพยายามลุกขึ้นพร้อมกล่าวด้วยท่าทางหวั่นๆ
“ว่ามาสิ หากมันมีประโยชน์ต่อพวกเรา ข้าก็อาจไว้ชีวิตเจ้า”
อดีตนักฆ่าสาวในร่างคุณหนูยิ้มอย่างเยือกเย็น จูตี๋และจูฉีต่างก็รักตัวกลัวตายอย่างที่สุด นางมั่นใจว่าทั้งสองจะไม่ปิดบังสิ่งใดจากนาง
“ก่อนหน้านี้ข้าได้ยินมาว่าพวกขุมกำลังมารร้ายได้สมบัติบางอย่างที่เรียกว่า ‘บุปผาแห่งความมืด’ ไปครองและพวกเขาหาทางส่งมันกลับไปที่สำนักงานใหญ่ของฝ่ายมารในดินแดนเทพมายาได้แล้ว กล่าวกันว่าพวกเขาจะรอให้บุปผานั้นโตเต็มวัยและกอบกู้ทุกสิ่งทุกอย่างที่เคยเกิดขึ้นเมื่อพันปีก่อน”
แน่นอนว่าจูฉีไม่กล้าปิดบังและบอกฉินอวี้โม่ในสิ่งที่เขาได้ยินโดยบังเอิญขณะมองคนตรงหน้าด้วยแววตาหวาดหวั่น
เมื่อได้ยินเช่นนั้น ฉินอวี้โม่ก็ขมวดคิ้วเล็กน้อย นางเคยบอกเรื่องนี้ให้ฉีอวิ๋นเหล่ยทราบแล้วและเขาก็เข้าใจเช่นกัน
เขาเองก็ขมวดคิ้วเช่นกันและสบตากับฉินอวี้โม่โดยไม่พูดอะไร
“ฉินอวี้โม่ ได้โปรด! ได้โปรดไว้ชีวิตพวกข้าเถอะ พวกเราจะหลั่งเลือดสาบานว่าจะไม่หาเรื่องพวกเจ้าอีกต่อไปและจะเชื่อฟังคำสั่งทุกอย่าง ข้าจะเกลี้ยกล่อมให้บิดาของข้าบอกทุกข้อมูลทุกอย่างที่มีให้เจ้าได้ทราบ ขอเพียงเจ้าปล่อยพวกเราไป ไม่ว่าจะให้ทำสิ่งใด พวกเราก็ยินดี!”
จูตี๋คุกเข่าและเงยหน้ามองฉินอวี้โม่ด้วยแววตาหวาดหวั่นใจ เหงื่อเย็นผุดขึ้นมาทั่วทั้งหน้าผากของเขา
จูฉีเองก็คุกเข่าอยู่ข้างจูตี๋เช่นกัน แววตาของเขามองฉินอวี้โม่อย่างวิงวอน
เมื่อเผชิญกับสถานการณ์ชี้เป็นชี้ตาย พวกเขาไม่สนใจเกียรติศักดิ์ศรีและความทะนงตนใดๆอีก ตราบใดที่พวกเขารอดชีวิตไปได้ สิ่งเหล่านั้นก็ไม่ใช่สิ่งสำคัญ
เมื่อได้ยินคำพูดของทั้งสองและเห็นสีหน้าแววตาขี้ขลาดพวกเขา ฉินอวี้โม่ก็นึกรังเกียจขึ้นมาเล็กน้อย
คนไร้ศักดิ์ศรีเช่นนี้ ต่อให้สังหารพวกเขา มือของนางก็จะแปดเปื้อนไปเปล่าๆ
“ฮ่าๆๆ ไสหัวไปซะ พวกเจ้าไม่ต้องหลั่งเลือดสาบานอะไรทั้งนั้นและไม่ต้องยอมจำนนต่อพวกเราในอนาคต ทว่า…หากพวกเจ้ายอมไม่เปลี่ยนแปลงชีวิตของตัวเอง ข้าจะทำให้พวกเจ้าได้เผชิญกับชะตากรรมที่เลวร้ายยิ่งกว่าอวิ๋นขวงเสียอีก”
เมื่อสัมผัสได้ว่าฉินอวี้โม่เริ่มเปลี่ยนใจ หานโม่ฉือก็เอ่ยขึ้นอย่างเย็นชาและปล่อยกลุ่มคนเหล่านี้ไป
เมื่อได้ยินคำพูดของหานโม่ฉือ พวกเขาทั้งหมดก็หายวับไปต่อหน้าฉินอวี้โม่และคนอื่นๆอย่างรวดเร็ว
“โม่ฉือ?”
คุณหนูคนงามไม่คิดว่าหานโม่ฉือจะปล่อยพวกเขาไปง่ายๆเช่นนี้ นางมองบุรุษตรงหน้าด้วยความฉงนสงสัย
“ปล่อยพวกเขาไปก่อนเถอะ ตอนนี้เกิดเรื่องขึ้นข้างนอกนั่นและพวกเราอาจใช้ประโยชน์จากพวกเขาได้”
หานโม่ฉือยิ้มเล็กน้อยและกล่าวสั้นๆโดยไม่อธิบายมากนัก
“ข้างนอกเกิดเรื่องอะไรขึ้นรึ?”
ฉินอวี้โม่ขมวดคิ้วเล็กน้อยเมื่อได้ยินหานโม่ฉือกล่าวถึงเหตุการณ์ข้างนอก นั่นหมายความว่าจะต้องมีเรื่องเลวร้ายบางอย่างเกิดขึ้นอย่างแน่นอน
“ดูเหมือนว่าพวกขุมกำลังมารร้ายและขุมกำลังพญายมจะร่วมมือกันจู่โจมบรรดาขุมกำลังของดินแดนอ้างว้าง ตอนนี้แม้แต่เมืองเฟิงอวิ๋นก็ตกอยู่ในการต่อสู้อย่างเต็มรูปแบบ”
หานโม่ฉือได้ยินเรื่องนี้เพียงผ่านๆเท่านั้นและไม่ได้สนใจมากนัก
ก่อนหน้านี้เขารีบเข้ามาช่วยฉินอวี้โม่ด้วยความร้อนรนและไม่สนใจสิ่งอื่นรอบตัวมากนัก เขาเพียงได้ยินคร่าวๆในตอนที่ผ่านลานจัตุรัสข้างนอก กิเลนอัคคีเองก็ได้ยินเรื่องนี้มาก่อนและตอนนั้นเองที่เขาได้รู้เรื่องราวเล็กน้อย
“แล้วเราควรออกไปข้างนอกเพื่อช่วยพวกเขารึไม่?”
ฉินอวี้โม่พยักศีรษะรับรู้ทว่ามิได้กังวลใจนัก ข้างนอกมีทั้งหยินหึนและฉินเทียนซึ่งแกร่งกล้าสามารถอย่างยิ่ง นางเชื่อว่าจะไม่มีเรื่องร้ายเกิดขึ้น
“ยังไม่ใช่ตอนนี้ ผู้อาวุโสเหล่านั้นสามารถจัดการกันเองได้ ตอนนี้เจ้าอุตส่าห์มาถึงมิติพิเศษแห่งนี้ทั้งที หากไม่ได้เข้าไปในชั้นที่เจ็ดก็คงจะน่าเสียดายไม่น้อย”
เขาเพียงยิ้มบางๆและไม่มีความคิดที่จะออกไปช่วยเหลือคนข้างนอก ในความจริงเขาก็รู้สึกขุ่นเคืองใจเล็กน้อย เพราะก่อนหน้านี้ผู้อาวุโสเหล่านั้นเตรียมความพร้อมได้ไม่ดีพอซึ่งทำให้โม่เอ๋อร์ของเขาตกอยู่ในอันตราย
นอกจากนี้ เขาก็เชื่อว่าพวกเขาเหล่านั้นยังสามารถแก้ไขปัญหาข้างนอกได้ บัดนี้เขาจึงต้องการใช้เวลาอยู่กับโม่เอ๋อร์ของเขาเพียงเท่านั้น
“ถ้างั้นเราไปชั้นที่เจ็ดกันเถอะ”
ฉินอวี้โม่กล่าวพร้อมรอยยิ้ม ทว่าจู่ๆนางก็มองไปที่อสูรมายาคู่กายของบุรุษคนรักตรงหน้าด้วยแววตางุนงง
“ข้าจำได้ว่ามิติพิเศษแห่งนี้ปิดกั้นการเชื่อมโยงกับอสูรมายาไม่ใช่รึ? แล้วเหตุใดกิเลนของเจ้าจึงยืนอยู่ที่นี่โดยที่ไม่ได้รับผลกระทบใดๆเลยล่ะ?”
เมื่อได้ยินคำถามดังกล่าว กิเลนสง่างามก็ยิ้มและเอ่ยตอบ “นายหญิง ตอนนี้นายท่านทะลวงพลังถึงขอบเขตเซียนแล้วและวิธีการที่เราเข้ามาที่นี่ก็ต่างกับท่าน นายท่านเข้ามาที่นี่ผ่านทางห้วงมิติโดยตรงจึงเข้ามาถึงตัวท่านได้อย่างรวดเร็ว เพราะฉะนั้นแล้วพลังยับยั้งที่นี่จึงไม่ส่งผลต่อข้า”
คำตอบของกิเลนไขความสงสัยของฉินอวี้โม่ นางมองบุรุษคนรักด้วยความสงสัยใคร่รู้ยิ่งกว่าเดิม อยากรู้นักว่าตลอดช่วงเวลาที่ผ่านมานี้เกิดสิ่งใดขึ้นกับเขาบ้าง?
ในตอนที่ทั้งสองเดินทางจากดินแดนหวนหลิงมาถึงที่นี่ หานโม่ฉือเพิ่งจะบรรลุขอบเขตจ้าวพิภพเท่านั้น บัดนี้เวลาล่วงเลยมาเพียงไม่ถึงหนึ่งปีและพลังของเขาทะลวงไปถึงขอบเขตเซียนแล้ว หากไม่ใช่เพราะโอกาสและความเพียรพยายามอย่างแข็งขัน ฉินอวี้โม่ก็ไม่เชื่อว่าเขาจะทะลวงพลังได้อย่างง่ายดายและรวดเร็วถึงเพียงนี้
แน่นอนว่าหานโม่ฉือก็เข้าใจความสงสัยของฉินอวี้โม่ เขาจึงยิ้มบางๆออกมา
“ชั้นที่เจ็ดอันตรายเกินไป ท่านอยู่ที่ชั้นที่หกนี้เถอะ สหายของพวกเราก็น่าจะใกล้มาถึงกันแล้ว หลังจากนี้พวกท่านจะได้ออกไปด้วยกัน”
หลังจากกล่าวกับฉีอวิ๋นเหล่ย นางก็หันไปหาเต่ามังกร “เต่ามังกร เจ้าอยู่ที่นี่และปกป้องพี่อวิ๋นเหล่ยไว้”
เต่ามังกรพยักหน้าและไม่คัดค้านใดๆ
มันมีปัญญาไหวพริบพอสมควรและแน่นอนว่าไม่อยากเป็นหลอดไฟฟ้าเช่นกัน
* หลอดไฟในภาษาจีนเรียกว่า 电灯泡 สามารถสื่อความหมายอื่นได้อีก นั่นก็คือ ก.ข.ค. หรือ ก้างขวางคอ
“ถ้างั้นข้าก็จะอยู่ที่นี่เช่นกัน ในเมื่อมีนายท่านอยู่ นายหญิงก็คงจะไม่ต้องการการปกป้องจากข้า”
กิเลนกล่าวเช่นกันและมันตัดสินใจที่จะอยู่ที่นี่เพื่อไล่โจมตีอสูรมายาเล็กๆกับเต่ามังกร
เมื่อได้ยินเช่นนั้น หานโม่ฉือก็พยักศีรษะอย่างพึงพอใจ
เขาเอื้อมมือออกไปโอบเอวบางของฉินอวี้โม่ไว้และวาดมืออีกข้างออกไปบนอากาศก่อนรอยแยกปรากฏขึ้นมาตรงหน้าฉินอวี้โม่
“ไปชั้นที่เจ็ดกันเถอะ”
หานโม่ฉือยิ้มอย่างอบอุ่นและพาฉินอวี้โม่ผ่านเข้าไปในห้วงอวกาศดังกล่าวก่อนหายตัวไปต่อหน้าต่อตาฉีอวิ๋นเหล่ย กิเลนอัคคีและอสูรเจ้าถิ่นอย่างเต่ามังกร
“เหอะ สองคนนั่นเห็นคนรักดีกว่ามิตรสหายจริงๆ!”
ฉีอวิ๋นเหล่ยบ่นพึมพำกับเต่ามังกรและกิเลนอัคคี ทว่ามุมปากของเขาคลี่ยิ้มอย่างมีความสุข
“เจ้าหนู ตามข้ามา ข้าจะพาเจ้าไปหาของดีๆในชั้นที่หกนี้”
กิเลนอัคคีมองฉีอวิ๋นเหล่ยและยิ้มให้เขา แม้ว่าที่นี่เป็นเพียงชั้นที่หกซึ่งไม่ใช่อันดับสูงสุด ทว่ามันก็มีสมบัติดีๆอยู่ไม่น้อยเลยทีเดียว อีกอย่าง การหาอะไรทำก็ย่อมดีกว่าการอยู่เฉยๆอย่างน่าเบื่อหน่าย
เมื่อได้ยินคำว่า ‘ของดีๆ’ ดวงตาของฉีอวิ๋นเหล่ยก็เป็นประกายทันที เขาอยู่กับฉินอวี้โม่มานานและเมื่อได้ยินเรื่องของมีค่า การตอบสนองของเขาก็เป็นไปโดยอัตโนมัติ
จากนั้น หนึ่งมนุษย์และสองอสูรก็เดินตรงเข้าไปในส่วนลึกของชั้นที่หก
….
ในขณะเดียวกันนั้น ณ ลานจัตุรัสของเมืองเฟิงอวิ๋น การต่อสู้กำลังดำเนินไปอย่างดุเดือด
หยินหึนส่งคนออกไปช่วยผู้นำฉีและผู้นำซูแล้วในขณะที่เขารับผิดชอบดูแลสถานการณ์โดยรวมของเมืองเฟิงอวิ๋น
ฉินเทียนก็กำลังต่อสู้กับจูอวิ๋นชางด้วยความเดือดดาลและกลิ่นอายที่แผ่มาจากร่างของเขาก็น่าสะพรึงกลัวอย่างที่สุด
เมื่อครู่ตอนที่หานโม่ฉือปรากฏตัวและอันตรธานหายไปอย่างไร้ร่องรอยในชั่วพริบตา พวกเขาต่างก็ตะลึงงันไม่น้อย
อย่างไรก็ตาม เนื่องจากรู้ดีว่าหานโม่ฉือไปที่ใด ฉินเทียนและคนอื่นๆก็รู้สึกโล่งใจขึ้นมา พวกเขาเชื่อว่าบุรุษผู้แกร่งกล้าผู้นี้จะไปช่วยฉินอวี้โม่ได้ทันเวลาอย่างแน่นอน
หยินหึนและฉินเทียนต่างก็ตกตะลึงกับความแข็งแกร่งของหานโม่ฉือ แน่นอนว่าพวกเขาทราบถึงอายุของหานโม่ฉือดี ด้วยอายุเพียงเท่านี้แต่กลับทะลวงพลังถึงขอบเขตเซียนซึ่งเหนือชั้นกว่าพวกเขาทั้งสอง พรสวรรค์เช่นนี้นับว่าชัดเจนอย่างไร้ข้อกังขา
บัดนี้พวกเขาเข้าใจแล้วว่าเหตุใดฉินอวี้โม่จึงตกลงปลงใจกับหานโม่ฉือได้ ในยุทธภพนี้ มีเพียงหานโม่ฉือเท่านั้นที่จะคู่ควรกับฉินอวี้โม่ และก็มีเพียงฉินอวี้โม่ที่จะเหมาะสมกับหานโม่ฉือ
“พี่อวี้โม่จะไม่เป็นไรใช่ไหม?”
อีกฟากหนึ่ง ซูเสี่ยวจวิ้นและเสี่ยวเหยียนซึ่งไม่สามารถช่วยอะไรยืนอยู่ในจุดปลอดภัยและภาวนาอย่างเงียบๆ
“แน่นอน ไม่ต้องกังวลไป พี่หานโม่ฉือนั่นทรงพลังมากเลยล่ะ เขาจะช่วยพี่อวี้โม่และพี่อวิ๋นเหล่ยได้ทันเวลาอย่างแน่นอน”
เสี่ยวเหยียนพยักศีรษะเบาๆขณะกล่าวปลอบซูเสี่ยวจวิ้นซึ่งเป็นกังวลอย่างยิ่งและปลอบใจตัวเองให้วางใจไปพร้อมกัน
“เรียนผู้เข้าแข่งขันทุกคน บัดนี้ฉินอวี้โม่เข้าสู่ชั้นที่เจ็ดแล้ว และก็ยังมีบุคคลปริศนาอยู่อีกคน”
เสียงประกาศดังขึ้นในหูของทุกคน แม้ว่าพวกเขากำลังมุ่งมั่นกับการต่อสู้ สิ่งที่ได้ยินก็ยังทำให้สีหน้าของคนในลานจัตุรัสเปลี่ยนไปมาก
.