“ฮ่าๆๆ ข้ารู้อยู่แล้วว่าเจ้าหนุ่มหานโม่ฉือจะต้องช่วยเสี่ยวโม่เอ๋อร์ได้อย่างแน่นอน!”
ฉินเทียนหัวเราะด้วยความพึงพอใจและรู้สึกโล่งใจอย่างที่สุด ขณะนี้การโจมตีของเขาต่อจูอวิ๋นชางก็ดุเดือดมากขึ้นเรื่อยๆ
แม้ว่าฉินอวี้โม่จะปลอดภัยหายห่วงแล้ว เรื่องทั้งหมดนี้ก็เกิดขึ้นเพราะจูอวิ๋นชาง ไม่ว่าอย่างไรเขาก็จะต้องสั่งสอนบุรุษใจคดผู้นี้ให้รู้สำนึก
“บัดซบ! สุดท้ายก็ยังฆ่าเจ้าสตรียโสโอหังนั่นไม่ได้!”
อย่างไรก็ตาม จูอวิ๋นชางสบถอย่างแรงด้วยวาจาชั่วร้ายและคิดว่าอวิ๋นขวงแห่งขุมกำลังมารร้ายช่างไร้ประโยชน์เสียจริง
“จูอวิ๋นชาง ไม่รู้ว่าเจ้ายังจำสิ่งที่ข้าลั่นวาจาไว้ตอนไปเยือนขุมกำลังพญายมครั้งล่าสุดได้รึไม่ เจ้าพยายามหาเรื่องลูกสาวข้าซ้ำแล้วซ้ำแล้วและไม่ยอมรามือง่ายๆ วันนี้ข้าจะทำให้เจ้าไม่มีทางสร้างปัญหาให้กับบุตรสาวของข้าได้อีก!”
สภาวะพลังของฉินเทียนแข็งแกร่งขึ้นในทันทีพร้อมกับมีกระบี่ยาวเล่มงามดูสง่าที่ปรากฏขึ้นในมือของเขาและฟาดฟันตรงไปที่จูอวิ๋นชาง
“เหอะ คิดว่าข้ากลัวเจ้างั้นรึ!”
ผู้นำขุมกำลังพญายมแค่นเสียงเย็นชาและร่างของเขาแผ่พลังดำมืดแปลกประหลาดไม่ต่างจากจูตี๋ออกมา
“พลังแห่งความมืดงั้นรึ.. จูอวิ๋นชาง เจ้าสมคบคิดกับฝ่ายมารจริงๆ!”
หยินหึนสัมผัสได้ถึงความประหลาดในสภาวะพลังดำมืดได้ทันทีและนึกถึงบางอย่างขึ้นมา เขามองจูอวิ๋นชางและแผ่สภาวะพลังมุ่งร้ายออกไปอย่างไม่ปิดบัง
ความสัมพันธ์ระหว่างพวกเขาจอมยุทธ์และขุมกำลังมารร้ายนั้นชัดเจนอยู่แล้ว จูอวิ๋นชางผู้นี้ริอาจร่วมมือกับฝ่ายมารและยังได้เรียนรู้พลังแห่งความมืดจากคนชั่วร้ายเหล่านั้นซึ่งถือเป็นสิ่งที่ขัดต่อหลักศีลธรรมของจอมยุทธ์
“เหอะ แล้วอย่างไร? ผู้ที่รู้ทันสถานการณ์ย่อมเหนือกว่าใคร วันหนึ่งขุมกำลังมารร้ายจะกลับมาผงาดอีกครั้ง และเมื่อถึงตอนนั้นข้าที่อยู่ฝ่ายเดียวกับพวกเขาก็จะได้รับผลประโยชน์ดีๆมามากมายอย่างคาดไม่ถึง!”
จูอวิ๋นชางแค่นเสียงอย่างไม่แยแส เขามองว่าตนเองไม่ได้ทำสิ่งใดผิดไป
“ถ้างั้นข้าจะส่งเจ้าไปลงนรกอเวจีก่อนที่วันนั้นจะมาถึง!”
ฉินเทียนตะโกนกร้าวและใช้กระบี่ในมือโจมตีอีกฝ่ายอย่างไม่รีรอ
“เยี่ยมไปเลย ข้ารู้อยู่แล้วว่าพี่อวี้โม่และคนอื่นๆจะต้องไม่เป็นอะไร”
อีกฟากหนึ่ง ซูเสี่ยวจวิ้นกระโดดโลดเต้นด้วยความดีใจอย่างที่สุด เดิมทีนางทั้งเป็นห่วงและกังวลเกี่ยวกับสถานการณ์ข้างในมิติพิเศษ ทว่าเมื่อได้ยินเสียงประกาศเมื่อครู่ นางก็รู้สึกโล่งใจขึ้นมา
“นางคือผู้ที่โชคชะตาฟ้าลิขิตให้เป็นผู้เกรียงไกรในดินแดนอ้างว้างหรือแม้แต่ดินแดนเทพมายาเอง นางถูกลิขิตให้สร้างผลงานอันยิ่งใหญ่ในดินแดนนี้ นางจะตายง่ายๆได้ยังไงเล่า”
ฉุ่ยเยว่ยิ้มกว้างเช่นกัน นางเชื่อมาเสมอว่าสตรีผู้มีพรสวรรค์น่าตกตะลึงอย่างฉินอวี้โม่จะทำให้ทั้งดินแดนสั่นสะเทือนอย่างไร้ผู้ต้านทาน
หยินหึนเองก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอกเช่นกันก่อนหันไปมองบุรุษคนหนึ่งผู้สวมเสื้อคลุมสีดำและเผยให้เห็นเพียงดวงตาสีแดงก่ำ
บุรุษผู้นี้คือคนที่จูอวิ๋นชางเรียกเข้ามาช่วย หากหยินหึนเดาไม่ผิด เขาน่าจะเป็นคนจากฝ่ายมาร
เขาทำให้หยินหึนรู้สึกถึงแรงกดดันไม่น้อยและมีพลังความแข็งแกร่งที่ไม่ธรรมดาเลยเช่นกัน
เขายังไม่ได้ลงมือจู่โจมและหยินหึนก็ไม่คิดที่จะเริ่มก่อนเช่นกัน หากทั้งสองประจันหน้ากัน มันจะต้องยืดเยื้อเป็นเวลานานอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ผู้นำขุมกำลังเอกพิภพยังมีหลายสิ่งหลายอย่างที่ต้องจัดการและสถานการณ์ที่นี่ก็ยังคงโกลาหลวุ่นวาย เพราะฉะนั้นเขาจึงไม่อยากสู้กับบุรุษตรงหน้า
บุรุษชุดดำเองก็ไม่คิดที่จะเริ่มเปิดฉากการต่อสู้เช่นกัน เขาเพียงยืนนิ่งและจ้องมองหยินหึนอย่างไม่ขยับเขยื้อน
อย่างไรก็ตาม หลายคนที่มากับเขาก็กำลังต่อสู้กับคนอื่นๆอย่างดุเดือด
…
โลกภายนอกกำลังตกอยู่ท่ามกลางการต่อสู้อันดุเดือด ทว่าบรรยากาศภายในมิติพิเศษกลับอบอุ่นและมีแต่ความสบายใจ
หานโม่ฉือพาฉินอวี้โม่ตรงมาที่มิติชั้นที่เจ็ดโดยตรง ในเวลานี้ทั้งสองมีอารมณ์ที่ดีอย่างมาก
สิ่งที่คุณหนูคนงามต้องตกตะลึงคือชั้นที่เจ็ดแห่งนี้งดงามราวภาพความฝันท่ามกลางหมู่เมฆ ยิ่งไปกว่านั้น สภาวะพลังที่นี่ก็ทำให้นางรู้สึกสบายอย่างที่สุด
“โม่เอ๋อร์ ข้าขอโทษที่ข้าไม่ได้อยู่กับเจ้าตลอดช่วงที่ผ่านมาจนทำให้เจ้าต้องเผชิญกับปัญหามากมายเหลือเกิน”
ระหว่างทางมาที่นี่ ด้วยการถามของหานโม่ฉือ ฉินอวี้โม่ก็ได้เล่าเรื่องทุกอย่างที่เกิดขึ้นตลอดช่วงที่พลัดพรากจากกันให้บุรุษคนรักได้ทราบ
หานโม่ฉืออดรู้สึกผิดไม่ได้ เขาไม่คิดเลยว่าจะเกิดเรื่องขึ้นมากมายถึงเพียงนี้ อีกทั้งเขาก็ไม่เคยรับรู้เลยว่าโม่เอ๋อร์ของเขาตกเป็นที่สนใจจนฮือฮากันไปทั่วดินแดนอย่างต่อเนื่องตลอดเวลาที่ผ่านมา
หากเขาทราบเรื่องงานชุมนุมช่างหลอมประจำปีและงานเลี้ยงตระกูลเฟิง คุณชายใหญ่แห่งตระกูลหานคงจะไม่เข้าสู่สภาวะเก็บตัวทว่าจะออกไปตามหานางอย่างแน่นอน
เพียงแต่ว่าหากไม่ใช่เพราะการเก็บตัวตลอดช่วงนี้ หานโม่ฉือก็คงจะไม่พัฒนาจนมีพลังแกร่งกล้าอย่างในตอนนี้
“โม่ฉือ พูดอะไรโง่ๆน่ะ จงจำไว้ว่าอย่าขอโทษข้าอีก”
ฉินอวี้โม่ยิ้มพร้อมคว้ามือบุรุษตรงหน้ามาจับไว้ นางสบตากับเขาและเอ่ยอย่างแผ่วเบา “ข้าอยากได้ยินคำว่า ‘ข้ารักเจ้า’ มากกว่าคำว่าข้าขอโทษ”
เมื่อได้ยินวาจาของคนรัก หานโม่ฉือก็อดหัวเราะเบาๆไม่ได้และใบหน้าหล่อเหลาของเขาดูอ่อนโยนลง บัดนี้หานโม่ฉือผู้หล่อเหลามีใบหน้าที่ชวนมองและน่าดึงดูดใจมากยิ่งขึ้น
ฉินอวี้โม่ก็มองเห็นสีหน้าของหานโม่ฉือและอดกลืนน้ำลายเบาๆไม่ได้ หน้าตาและท่าทางแบบนี้ทำให้นางอยากทำอะไรเขาสักอย่างจริงๆ!
อย่างไรก็ตาม ก่อนที่จะขยับเขยื้อนหรือทำสิ่งใด ริมฝีปากของนางก็ถูกปิดด้วยริมฝีปากบางทว่าอบอุ่น
หลังจากจุมพิตอย่างโหยหา ทั้งสองก็ผละออกจากกัน
ใบหน้าของหานโม่ฉือบัดนี้ประดับด้วยรอยยิ้มและกลิ่นอายที่แผ่มาจากร่างทำให้เขาดูเหมือนบุรุษหนุ่มผู้อบอุ่นและสดใสดั่งแสงอาทิตย์
พวงแก้มนวลของฉินอวี้โม่ก็ชมพูระเรื่ออย่างเห็นได้ชัดและใบหน้างามแต่งแต้มด้วยรอยยิ้มกว้าง บรรยากาศแห่งความสุขแผ่อบอวลรอบตัวคนทั้งสอง
“โม่เอ๋อร์ ข้าอยากจะหาที่เงียบสงบ เปี่ยมไปด้วยความสุขและไม่มีเรื่องวุ่นวายเพื่ออยู่กับเจ้าไปตลอดกาล”
ขณะสวมกอดสตรีร่างบางในอ้อมแขนอย่างอ่อนโยน หานโม่ฉือก็กล่าวพร้อมถอนหายใจเบาๆ
“ข้าก็อยากเช่นกัน เพียงแต่ยังมีเรื่องอีกมากรอให้เราจัดการ ทว่าสักวันหนึ่ง เมื่อเราสะสางปัญหาทั้งหมดนั่นได้ ข้าก็ยินดีที่จะใช้ชีวิตร่วมกับเจ้าไปตลอด”
ฉินอวี้โม่ยิ้มกว้างพร้อมอิงซบลงแนบแผงอกกว้างด้วยความรู้สึกอบอุ่นและมั่นคง
ความรู้สึกเช่นนี้จะเกิดขึ้นได้เฉพาะเมื่อนางอยู่กับหานโม่ฉือผู้นี้เท่านั้น ภาพที่หายากของอดีตนักฆ่าสาวที่ดูเหมือนเป็นเพียงเด็กสาวบอบบางคนหนึ่งจะเห็นได้ก็ต่อเมื่อนางอยู่ต่อหน้าบุรุษคนรักเท่านั้น
“เมื่อถึงตอนนั้น เราจะมีลูกกันและไปท่องเที่ยวชมทิวทัศน์ที่งดงามด้วยกัน”
หานโม่ฉือยิ้มอย่างอบอุ่นก่อนหาที่ประคองฉินอวี้โม่นั่งลง
“อืม…ข้าอยากได้ลูกชายและลูกสาว เด็กผู้ชายจะเป็นแบบเจ้า ส่วนเด็กผู้หญิงก็จะเป็นแบบข้า”
ฉินอวี้โม่ยิ้มอย่างมีความสุขราวกับกำลังจินตนาการถึงภาพนั้นในหัว เมื่อนึกภาพหานโม่ฉือที่อุ้มเด็กน้อยและร้องเพลงกล่อม นางก็อดหัวเราะเบาๆไม่ได้
หานโม่ฉือเองก็หัวเราะเบาๆเช่นกัน เขาหวังเป็นอย่างยิ่งว่าวันนั้นจะมาถึงในอีกไม่นาน
“โม่ฉือ ก่อนหน้านี้เจ้าไปอยู่ที่ไหนมารึ?”
ฉินอวี้โม่หันไปสบตาบุรุษข้างกายและเอ่ยถาม
การที่พลังของหานโม่ฉือเพิ่มขึ้นอย่างทวีคูณจนทะลวงถึงขอบเขตเซียนภายในเวลาเพียงสั้นๆนี้ช่างเป็นเรื่องที่น่าสะพรึงกลัวมากเกินไป การพัฒนาเช่นนี้ไม่มีทางเกิดขึ้นได้ง่ายๆ
“ข้าเก็บตัวบ่มเพาะอยู่ในชั้นใต้ดินของเมืองเฟิงอวิ๋น อย่างไรก็ตาม สำหรับเจ้ามันอาจไม่นานนัก ทว่าสำหรับข้า มันเป็นเวลากว่าหลายร้อยปี”
หานโม่ฉือยิ้มพร้อมเอ่ยตอบ เขาไม่มีความคิดที่จะปิดบังสิ่งใดจากนาง เขาไม่อาจลืมความรู้สึกที่เกิดขึ้นเมื่อนึกถึงสถานการณ์ในช่วงที่ผ่านมา จากนั้นเขาก็เล่าทุกอย่างให้กับนาง
อันที่จริง นับตั้งแต่มาถึงเมืองเฟิงอวิ๋นแห่งนี้ หานโม่ฉือก็เข้าสู่ช่วงเก็บตัวบ่มเพาะทันที เขาสั่งให้กิเลนอัคคีปลุกเขาเมื่อเริ่มงานชุมนุมวายุเมฆา เพียงแต่ไม่มีใครคาดคิดว่าหานโม่ฉือจะเข้าสู่สภาวะนั้นโดยบังเอิญ
สภาวะนั้นเรียกว่า ‘สังสารวัฏ’
ในช่วงนั้น หานโม่ฉือจะดูเหมือนตั้งสมาธิเก็บตัว ทว่าจิตของเขาหลุดล่องลอยไปสู่ที่อื่นแล้ว
เขาได้เห็นหลายสิ่งหลายอย่างและเผชิญกับเรื่องท้าทายมามากมายตลอดช่วงเวลานั้น
การเข้าสู่สมาธิระดับนั้นเป็นโอกาสที่ยิ่งใหญ่ ทว่ามันก็มาพร้อมกับความเสี่ยงอย่างมากเช่นกัน
หากจอมยุทธ์ผู้ใดเข้าสู่สภาวะสมาธิระดับนั้นได้ พลังของคนผู้นั้นจะพัฒนาขึ้นมาอย่างก้าวกระโดดแน่นอนและความเข้าใจต่อวรยุทธ์ก็จะต่างไปจากเดิมอย่างสิ้นเชิง
อย่างไรก็ตาม หากจิตของคนผู้นั้นตกเข้าไปในห้วงลึกของภวังค์สังสารวัฏและไม่สามารถออกมาได้ คนผู้นั้นก็จะไม่สามารถออกมาได้อีกและจะกลายเป็นเหมือนคนตายที่ยังมีลมหายใจ
หานโม่ฉือประสบกับทั้งสิ่งที่ดีและสิ่งที่ไม่ดีในขอบเขตสมาธิดังกล่าว จิตของเขาท่องไปที่ทุกหนแห่งไม่ว่าจะเป็นทะเลเพลิงที่ร้อนระอุหรือภูเขาน้ำแข็งที่เยือกเย็น อีกทั้งเขาก็ได้ประจันหน้ากับอสูรที่ทรงพลังเป็นจำนวนมากและถูกไล่ล่าโดยคู่ต่อสู้มากมายเช่นกัน…
ทั้งหมดนี้คือบททดสอบครั้งใหญ่สำหรับเขา
อย่างไรก็ตาม หานโม่ฉือมีศรัทธาในหัวใจ เขาคิดคำนึงโหยหาฉินอวี้โม่อย่างเต็มหัวใจ เพราะฉะนั้นเขาจึงจะปล่อยให้ตัวเองติดอยู่ในสภาวะนั้นตลอดไปไม่ได้
เขากังวลและเป็นห่วงฉินอวี้โม่อยู่เสมอ ไม่ว่าเขาจะเผชิญความยากลำบากและความล้มเหลวใดๆ ตราบใดที่นึกถึงสตรีคนรักที่ยังรอเขาอยู่ข้างนอกนั่น เขาก็สามารถข้ามผ่านอุปสรรคทุกอย่างได้อย่างมั่นคง
ก่อนหน้านี้เมื่อรู้ว่าฉินอวี้โม่ตกอยู่ท่ามกลางภยันตรายอย่างที่สุดเพราะอวิ๋นขวง เขาก็รีบตื่นจากสภาวะนั้นทันที
หลังจากที่ตื่นขึ้นมา เขาก็ไม่มีเวลาที่จะสำรวจความเปลี่ยนแปลงและพลังของตนเองด้วยซ้ำ
โชคดีเหลือเกินที่เขามาถึงที่นี่ได้ทันเวลาและฉินอวี้โม่ยังไม่ได้รับอันตรายใดๆ ไม่อย่างนั้นเขาก็คงจะรู้สึกผิดไปชั่วชีวิต
หลังจากที่ได้ฟังเรื่องราวของหานโม่ฉือ ฉินอวี้โม่ก็รู้สึกกังวลใจ
ยังมีรายละเอียดอีกมากมายที่หานโม่ฉือไม่ได้บอกนาง เขาเพียงบอกอย่างคร่าวๆเท่านั้น
อย่างไรก็ตาม ฉินอวี้โม่จะไม่เข้าใจได้อย่างไร?
จิตของหานโม่ฉือฝ่าฟันเรื่องราวมากมายอย่างยาวนานถึงหลายร้อยปี
นางจะไม่เข้าใจความทรมานและเจ็บปวดเช่นนั้นได้อย่างไร
หากเป็นในอดีต หานโม่ฉืออาจจะดึงจิตของตนเองกลับมาไม่ได้ ทว่าในช่วงเวลาหลังๆมานี้ทั้งสองต่างก็มีความรักใคร่ต่อกันอย่างสุดหัวใจและเป็นความรู้สึกที่สามารถช่วยให้พวกเขาฝ่าฟันอุปสรรคทุกอย่าง หากว่าเป็นฉินอวี้โม่ที่เข้าสู่ขอบเขตสมาธิล้ำลึกนั้น นางก็คงจะสามารถยืนหยัดได้และดึงสติกลับคืนมาได้เช่นกัน
อย่างไรก็ตาม ในเมื่อเป็นเช่นนี้ มันก็ถือว่าสมเหตุสมผลแล้วที่หานโม่ฉือสามารถทะลวงพลังครั้งใหญ่ได้
ถึงอย่างไร มันก็เทียบเท่าได้กับว่าเขาฝึกฝนมายาวนานกว่าหลายร้อยปี
“โม่ฉือ ขอบใจมาก”
ฉินอวี้โม่ยิ้มและเอนตัวซบอ้อมแขนอบอุ่นของอีกฝ่าย นางโชคดียิ่งนักที่ได้พบกับบุรุษผู้นี้
“โม่เอ๋อร์ ข้าก็ขอบใจเจ้าเหมือนกัน”
หานโม่ฉือยิ้มตอบเช่นเดียวกับและสบตานางอย่างลึกซึ้ง
เขาเองก็รู้สึกว่าตนเองโชคดีเหลือเกินที่ได้พบนาง
หากไม่ใช่เพราะฉินอวี้โม่ เขาคงไม่เข้าใจว่าการรักใครสักคนนั้นเป็นอย่างไรและคงไม่มีทางได้พบกับความสุขที่แท้จริงเช่นนี้
“โม่ฉือ หากได้พบกับบิดาของข้าแล้ว เราแต่งงานกันเถอะ”
จู่ๆฉินอวี้โม่ก็ใบหน้าแดงเรื่อและกล่าวออกมา
หากต้องรอจนกระทั่งพบกับมารดาของนาง เกรงว่าคงไม่มีใครรู้เลยว่าต้องใช้เวลาอีกนานเพียงใด
บัดนี้ฝ่ายมารเริ่มมีการเคลื่อนไหวแล้ว ในไม่ช้านักฆ่าสาวในร่างคุณหนูคนงามก็จะต้องเดินทางไปยังถิ่นที่อยู่ของชนเผ่ามายาเพื่อปลดผนึกที่สองในร่างกาย เมื่อถึงตอนนั้น ไม่มีทางรู้ได้ว่านางและหานโม่ฉือจะได้อยู่ด้วยกันอีกหรือไม่และจะต้องแยกจากกันนานเพียงใด
ฉินอวี้โม่จะมีอายุครบยี่สิบปีในอีกไม่นานและนางหวังว่าจะได้เข้าร่วมพิธีแต่งงานยกน้ำชากับบุรุษคนรักก่อน
เมื่อได้ยินความต้องการของฉินอวี้โม่ หัวใจของหานโม่ฉือก็อ่อนไหวเล็กน้อย แม่นางจอมกล้าผู้นี้..เขาจะไม่รู้ได้อย่างไรว่านางคิดสิ่งใดอยู่
อย่างไรก็ตาม หานโม่ฉือก็พยักศีรษะและกล่าว “ตกลง เราจะแต่งงานกัน”