ทั้งสองใช้เวลาอยู่ในชั้นที่เจ็ดเป็นระยะหนึ่งและยังมีอีกหลายสิ่งหลายอย่างที่รอให้ทั้งสองไขปริศนา หานโม่ฉือพาฉินอวี้โม่ท่องไปทั่วมิติพิเศษชั้นที่เจ็ดโดยหวังว่าจะจับอสูรมายาเพื่อหาวัตถุดิบหายากต่างๆในชั้นนี้
อย่างไรก็ตาม หลังจากอยู่ที่นี่เป็นเวลานานพวกเขาก็ยังไม่พบสิ่งใดที่เป็นประโยชน์ ยิ่งไปกว่านั้น จิตของทั้งสองก็สามารถสำรวจพื้นที่รอบตัวได้เพียงระยะสั้นๆเท่านั้น
หลังจากไตร่ตรองทุกอย่าง ทั้งสองก็ตัดสินใจว่าจะไม่เสียเวลาอยู่ที่นี่อีกต่อไป แม้ว่าที่นี่ลึกลับและมีปริศนามากพอสมควร มันก็ดีกว่าหากว่าพวกเขาจะเข้ามาสำรวจมันหลังจากที่สะสางปัญหาข้างนอกก่อน
หานโม่ฉือไม่รอช้าและพาฉินอวี้โม่กลับไปยังชั้นที่หกอย่างรวดเร็วก่อนพบกับฉีอวิ๋นเหล่ยและคนอื่นๆ
บัดนี้เวลาผ่านมาหนึ่งวันแล้วและเหวินซื่อชู่ เฟิงอู๋ชางและฉินจ้านก็มาถึงชั้นที่หกแล้วเช่นกัน นอกเหนือจากนี้ก็ยังมีจอมยุทธ์อีกหลายคนที่บังเอิญมารวมตัวกันอยู่ในชั้นนี้
ด้วยการนำทางของกิเลนอัคคี คนทั้งกลุ่มก็ได้พบสิ่งของล้ำค่าในชั้นที่หกเป็นจำนวนมาก บัดนี้ทั้งคะแนนสะสมและอันดับของพวกเขาก็ถือว่าเลื่อนขึ้นมามากแล้ว
อย่างไรก็ตาม ฉินอวี้โม่เข้าไปถึงชั้นที่เจ็ดแล้วโดยที่คนเหล่านี้ยังไม่ได้เข้าไป เพราะฉะนั้นคะแนนสะสมของฉินอวี้โม่จึงสูงที่สุดและก็เป็นอันดับหนึ่งอย่างไม่ต้องสงสัย
เมื่อเฟิงอู๋ชาง เหวินซื่อชู่และฉินจ้านได้ฟังเรื่องราวที่เกิดขึ้นจากฉีอวิ๋นเหล่ย พวกเขาก็เดือดดาลกันไม่น้อย
ฉินจ้านเดือดดาลอย่างที่สุดและต้องการพบจูตี๋เพื่อสั่งสอนเขาให้รู้สำนึก
อย่างไรก็ตาม เมื่อรู้ว่าฉินอวี้โม่ปลอดภัยดีและได้ยินเรื่องของบุรุษผู้มาใหม่นามว่า ‘หานโม่ฉือ’ โทสะในใจของเขาก็ลดลงไปมาก
“ไปกันเถอะ ในเมื่อทุกคนได้รับการเก็บเกี่ยวมาพอสมควรแล้ว พวกเราก็ออกไปข้างนอกกันเถอะ ตอนนี้ทั้งเมืองเฟิงอวิ๋นน่าจะคึกคักทีเดียว เราน่าจะได้ร่วมสนุกเมื่อออกไป”
ฉินอวี้โม่ยิ้มอย่างคาดหวัง ทว่าจู่ๆนางก็นึกขึ้นได้ว่าป้ายหยกประจำตัวของตนเองน่าจะสลายหายไปพร้อมกับอวิ๋นขวงก่อนหน้านี้แล้วและฉีอวิ๋นเหล่ยก็ตกอยู่ในสถานการณ์เดียวกัน
ฉีอวิ๋นเหล่ยเองก็นึกถึงเรื่องนี้ได้เช่นกัน เขาเลิกคิ้วสูงและมองไปยังฉินอวี้โม่ด้วยความรู้สึกที่สับสนและจนปัญญา
“โม่ฉือ ช่วยพาพวกเราออกไปด้วย เมื่อครู่ป้ายหยกของเราทั้งสองถูกอวิ๋นขวงฉกชิงไปและมันน่าจะแหลกสลายไปหมดแล้ว”
มือของฉินอวี้โม่และหานโม่ฉือยังคงประสานเกาะติดกันและต่างฝ่ายต่างก็ไม่ต้องการปล่อยมือออกจากกัน ขณะนี้ฉินอวี้โม่เพียงบีบมืออีกฝ่ายเล็กน้อยและกล่าวด้วยน้ำเสียงออเซาะ
หานโม่ฉือเองก็ยิ้มและมองสตรีตรงหน้าด้วยความพึงพอใจทว่าก็ไม่ได้เอ่ยอะไรออกมา จากนั้นด้วยการวาดมือ รอยแยกในห้วงอวกาศก็ปรากฏตรงหน้าเขา
“ข้าไปก่อนล่ะ”
ฉีอวิ๋นเหล่ยไม่รอช้าและเดินตรงไปในรอยแยกห้วงมิติของหานโม่ฉือโดยตรง
หานโม่ฉือและฉินอวี้โม่ก็ยิ้มพร้อมสบตากันก่อนที่ทั้งคู่จะหายเข้าไปในรอยแยกห้วงมิตินั้นเช่นกัน
หลังจากนั้น เหวินซื่อชู่และคนอื่นๆก็หักป้ายหยกพร้อมกันก่อนที่แสงสว่างจ้าปรากฏขึ้นและพวกเขาก็หายไปจากมิติพิเศษดังกล่าวในชั่วพริบตา
….
เวลานี้ การต่อสู้ที่เมืองเฟิงอวิ๋นกำลังดุเดือดอย่างยิ่ง บุรุษลึกลับและหยินหึนยังคงไม่ลงมือโจมตีอีกฝ่าย
ในการต่อสู้ระหว่างฉินเทียนและจูวิ๋นชาง ฉินเทียนก็ค่อยๆได้เปรียบมากขึ้นทีละน้อย
แม้ว่าในช่วงไม่นานมานี้ พลังของจูอวิ๋นชางจะพัฒนาขึ้นมาก ทว่าเมื่อต้องเผชิญหน้ากับฉินเทียนผู้แกร่งกล้า เขาก็ยังเทียบชั้นไม่ได้เลย
พลังความแข็งแกร่งของฉินเทียนถือว่าอยู่ในอันดับต้นๆของดินแดนอ้างว้าง และประสบการณ์การต่อสู้ของเขาก็โชกโชนมากทีเดียว
“สหายจู ข้าจะช่วยท่านเอง”
ไห่ป้าหวังซึ่งอยู่ด้านข้างเห็นท่าไม่ดีจึงรีบก้าวออกมาข้างหน้าเพื่อช่วยจูอวิ๋นชางไว้
“ไห่ป้าหวัง มาสู้กับข้าหน่อยเถอะ!”
เฟิงจิงเทียนกล่าวขึ้นเบาๆและเข้ามายืนขวางตรงหน้าไห่ป้าหวัง
ก่อนหน้านี้เขายังไม่ได้เคลื่อนไหวออกมาและเพียงแค่มองดูจากด้านข้างเท่านั้น ทว่าตอนนี้เมื่อเห็นว่าไห่ป้าหวังต้องการจะเข้าไปช่วยจูอวิ๋นชาง แน่นอนว่าเขาไม่มีทางอยู่เฉยแน่
“เหอะ รนหาที่ตายซะแล้ว!”
ไห่ป้าหวังแค่นเสียงเย็นชา เนื่องจากเห็นว่าเฟิงจิงเทียนมีพลังเพียงขอบเขตจ้าวพิภพ เขาจึงแค่นเสียงอย่างดูหมิ่น
ในช่วงที่ผ่านมานี้ เขาเผชิญกับเรื่องอัปยศอดสูมามากเกินพอแล้ว
ในฐานะผู้นำขุมกำลังเมฆาทะยานซึ่งเคยเป็นหนึ่งในสิบขุมกำลังที่ทรงพลังที่สุดในดินแดนอ้างว้าง พลังของเขาไม่เพียงแต่จะแข็งแกร่งมากเท่านั้นทว่าก็มีหลายคนในดินแดนที่ต้องยอมหลีกทางให้เขา
หากไม่ใช่เพราะฉินเทียน เขาก็คงจะไม่ตกอยู่ในสภาพเช่นนี้
ต้องยอมรับเลยว่าโลกใบนี้มีคนบางประเภทที่มักจะหาเหตุผลให้ตัวเองและไม่ยอมรับความจริง พวกเขาเหล่านั้นมักรู้สึกว่าคนอื่นๆเป็นต้นเหตุที่นำไปสู่ความล้มเหลวและความผิดหวังของตนเอง ซึ่งท้ายที่สุดแล้วคนเหล่านั้นส่วนใหญ่จะไม่ได้พบกับจุดจบที่ดีนัก
เฟิงจิงเทียนเพียงยิ้มบางๆและไม่เอ่ยปาก จากนั้นร่างของเขาก็พุ่งตรงไปโจมตีไห่ป้าหวังอย่างรวดเร็ว
ทันทีที่ประจันหน้ากัน ผู้นำขุมกำลังเมฆาทะยานก็ต้องตกตะลึงไม่น้อย แม้ว่าภายนอกแล้วเฟิงจิงเทียนดูจะมีพลังเพียงขอบเขตจ้าวพิภพขั้นสูงสุดเท่านั้น ทว่าพลังการต่อสู้ของเขากลับดูไม่ต่างไปจากขอบเขตจ้าวสุริยะเลย
ยิ่งไปกว่านั้น วิธีการต่อสู้ของเฟิงจิงเทียนก็แปลกประหลาดอย่างยิ่งและกระบวนท่าของเขาดูชำนาญช่ำชองอย่างประหลาดจนไห่ป้าหวังตั้งตัวไม่ทันไปชั่วขณะ
อย่างไรก็ตาม ไห่ป้าหวังผู้นี้หาใช่คนอ่อนแอ ในเวลาเพียงชั่วขณะ เขาก็ปรับวิธีการเคลื่อนไหวของตนเองและต่อสู้กับเฟิงจิงเทียนได้อย่างสูสี
ฉู่เหิงและเฟิงอู๋เฉินก็กำลังต่อสู้กับคนอื่นๆจากฝ่ายมารและในตอนนี้ก็ยากที่จะบอกได้ว่าฝ่ายใดจะเป็นผู้ชนะ
“ท่านพ่อ…”
ระหว่างการปะทะอย่างดุเดือดนี้ จู่ๆแสงสีขาวก็สว่างวาบขึ้นมาก่อนที่จูตี๋ จูฉีและพวกพ้องจะออกมาจากมิติพิเศษและปรากฏตัวกลางลานจัตุรัสแห่งนี้
เมื่อเห็นสถานการณ์ในขณะนี้ แม้ว่าพอจะรู้มาก่อนล่วงหน้า พวกเขาก็ยังอดตกใจไม่ได้
“เหอะ เจ้าบัดซบจูตี๋! เจ้าแอบพาคนชั่วจากฝ่ายมารแฝงตัวเข้ามา!”
ทันทีที่เห็นหน้าผู้ที่ออกมา ดรุณีน้อยทั้งสองอย่างซูเสี่ยวจวิ้นและเสี่ยวเหยียนก็ระเบิดอารมณ์ฉุนเฉียวและกระโจนเข้าใส่คู่ต่อสู้ราวกับเสือร้ายทันที พวกเขาเป็นผู้ที่พาสมาชิกของฝ่ายมารเข้ามาสร้างความวุ่นวายทั้งหมดและพยายามสังหารฉินอวี้โม่
เมื่อเห็นเช่นนี้ฉุ่ยเยว่เองก็ไม่รอช้าและเข้าไปรวมกลุ่มกับซูเสี่ยวจวิ้นเพื่อล้อมรอบจูตี๋ไว้ทันที
เมื่อถูกล้อมรอบไว้ทุกทิศทาง สีหน้าของจูตี๋ก็บิดเบี้ยวเหยเกอย่างที่สุด
สิ่งที่เกิดขึ้นในมิติพิเศษก่อนหน้านี้ทำให้เขาไม่มีกำลังใจที่จะต่อสู้อีกแล้ว
“ทุกคน ข้าผิดไปแล้ว มันเป็นความผิดของข้าเอง ทว่าจอมยุทธ์อวี้โม่ก็ผ่านพ้นอันตรายไปได้แล้ว ตอนนี้นางปลอดภัยดี คนจากฝ่ายมารก็ถูกสังหารไปแล้ว แม้กระทั่งจิตวิญญาณก็ถูกแผดเผาจนกลายเป็นเถ้าถ่าน ทุกคนโปรดเห็นใจข้าเถอะ”
จูตี๋รีบถือโอกาสวิงวอนขอความเห็นใจและอธิบายสิงที่เกิดขึ้นข้างในทันที
หานโม่ฉือผู้นั้นน่าสะพรึงกลัวอย่างแท้จริง เมื่อนึกย้อนกลับไปเมื่อครู่ จูตี๋ก็ยังคงกังวลใจอย่างที่สุดและเขากำลังจะโน้มน้าวให้บิดาของตนเองเลิกทำสิ่งชั่วร้ายผิดพลาดไป
เมื่อได้ยินคำยืนยันว่าฉินอวี้โม่ไม่เป็นอะไรและคนจากฝ่ายมารที่สู้กับนางได้ตายไปแล้ว ทุกคนก็โล่งใจอย่างสิ้นเชิง
“คนจากขุมกำลังพญายมน่ารังเกียจจริงๆ พวกเจ้าร่วมมือกับพวกขุมกำลังมารร้ายซึ่งเป็นขุมกำลังที่คนทั้งดินแดนชิงชังและเป็นขุมกำลังที่พยายามสร้างความวุ่นวายให้กับดินแดนอ้างว้างของเรา!”
เสี่ยวเหยียนจ้องหน้าจูตี๋ตาเขม็งและกล่าวอย่างเกรี้ยวโกรธ
“ใช่ว่าพวกเราจะเชื่อมั่นในทางที่ผิด เราเพียงแต่ถูกล่อตาล่อใจด้วยผลประโยชน์เท่านั้น ไม่ต้องกังวล หลังจากนี้พวกเราจะไม่มีทางทำสิ่งใดชั่วร้ายอีกเลย”
น้ำเสียงของจูตี๋จริงใจอย่างที่สุด แม้ว่าขุมกำลังมารร้ายน่าสะพรึงกลัว ทว่าเมื่อเทียบกับฉินอวี้โม่และหานโม่ฉือนั้น เขาก็ยอมเป็นปฏิปักษ์กับฝ่ายมารเสียดีกว่า
“ท่านพ่อ พอเถอะ อย่าเดินไปในทางที่ผิดอีกเลย”
เขาตะโกนบอกบิดาของตนโดยตรง
เมื่อได้ยินคำพูดและท่าทางของบุตรชาย จูอวิ๋นชางก็เกิดความลังเลเล็กน้อย
ทว่าเป็นเพราะความลังเลนี้เองที่ทำให้ฉินเทียนได้โอกาสฟาดฝ่ามือเข้าใส่ร่างของเขาจนต้องกระเด็นปลิวออกไป
“อะไรนะ! ผู้อาวุโสอวิ๋นขวงถูกสังหารไปแล้วรึ?!”
จู่ๆบุรุษลึกลับจากฝ่ายมารที่ยืนนิ่งอยู่กับที่มาตลอดก็มีสีหน้าบิดเบี้ยวและอุทานออกมาทันทีที่ได้ยินคำพูดของจูตี๋
พลังของอวิ๋นขวงเหนือชั้นกว่าตัวเขาเสียอีกและบัดนี้แม้แต่จิตวิญญาณของอวิ๋นขวนก็ไม่หลงเหลือ ดูเหมือนว่าหานโม่ฉือผู้นั้นจะน่าสะพรึงกลัวอย่างแท้จริง
เมื่อคิดเช่นนี้ จู่ๆบุรุษผู้นั้นก็โบกมือเรียกบรรดาสมาชิกจากฝ่ายมารที่กำลังต่อสู้อยู่ทันที “เหอะ ขุนเขาตั้งตระหง่าน สายธารไม่หยุดไหล แล้วสักวันพวกเราจะกลับมา ครานี้เราจะปล่อยให้พวกเจ้าได้ใช้ชีวิตอยู่อย่างสงบสุขไปก่อนสักระยะ อีกไม่นานเราจะยึดครองอำนาจในดินแดนอ้างว้างแห่งนี้อย่างแน่นอน!”
ทันทีที่สิ้นเสียงดังกล่าว เหล่าคนจากฝ่ายมารก็ถอนกำลังกันออกไปนอกเมืองเฟิงอวิ๋นอย่างพร้อมเพรียงกันและรวดเร็วราวกับได้รับคำสั่งจากเบื้องบน
ฉินเทียนและคนอื่นๆก็ต้องการไล่ตามไป ทว่าจู่ๆเสียงของฉินอวี้โม่ก็ดังขึ้น
“ท่านพ่อ ปล่อยพวกเขาไปก่อนเถอะเจ้าค่ะ อีกไม่นานเราจะเดินทางไปที่ผืนทะเลไร้จุดจบและตามหาสาขาของฝ่ายมารให้พบ อีกไม่นานเกินรอ เราจะได้พบกับพวกเขาอีกครั้ง!”
“เหอะ ถ้าอย่างนั้นเราก็จะตั้งตารอพวกเจ้า!”
ผู้นำของกลุ่มฝ่ายมารแค่นเสียงเย็นชาก่อนหายตัวไปจากเมืองเฟิงอวิ๋นอย่างไร้ร่องรอย
ในขณะเดียวกันนั้น ร่างของฉินอวี้โม่ หานโม่ฉือและคนอื่นๆก็ปรากฏขึ้นเหนือลานจัตุรัสเมืองเฟิงอวิ๋น
“เสี่ยวโม่เอ๋อร์ เจ้าเป็นอะไรรึไม่?”
ฉินเทียนเลิกแยแสและละสายตาจากจูอวิ๋นชางพร้อมปรี่เข้าไปหาบุตรสาวทันที หลังจากสำรวจทั่งร่างและพบว่าฉินอวี้โม่ไม่เพียงแต่ปลอดภัยเท่านั้นทว่าพลังของนางยังเพิ่มขึ้นเล็กน้อย เขาก็รู้สึกโล่งใจขึ้นมา
เมื่อเห็นแววตาเป็นห่วงของบิดา นักฆ่าสาวในร่างคุณหนูก็อดยิ้มเจื่อนๆไม่ได้ อย่างไรก็ตาม ลึกๆแล้วนางกลับมีความสุขยิ่งนัก การมีบิดาคอยเป็นกังวลและเป็นห่วงเช่นนี้เป็นความรู้สึกที่แตกต่างไปอย่างสิ้นเชิง
“คารวะท่านพ่อตาขอรับ”
หานโม่ฉือยิ้มขณะยังจับมือฉินอวี้โม่ไว้ไม่ปล่อย
เขาโค้งคำนับให้กับฉินเทียนด้วยท่าทางนอบน้อมพร้อมใบหน้าที่ประดับด้วยรอยยิ้ม
เมื่อได้ยินวาจาของบุรุษผู้แกร่งกล้า ฉินเทียนก็เลื่อนสายตาไปที่เขาพร้อมพินิจพิจารณาครู่หนึ่งก่อนพยักศีรษะเบาๆ
“ฮ่าๆๆ เป็นบุรุษที่ยอดเยี่ยมจริงๆ ไม่แปลกใจเลยที่เจ้าจะเข้าตาเสี่ยวโม่เอ๋อร์ได้”
ฉินเทียนหัวเราะเบาๆ เขารู้สึกพึงพอใจในตัวว่าที่บุตรเขยตรงหน้าอย่างยิ่ง
ไม่ว่าจะเป็นพรสวรรค์ พลังความแข็งแกร่งหรือลักษณะเฉพาะตัว ไม่มีผู้ใดที่จะคู่ควรกับฉินอวี้โม่ ทว่าก็มีเพียงบุรุษผู้นี้เท่านั้นที่จะชนะใจนางได้
“หานโม่ฉือ ข้าได้ยินเสี่ยวโม่เอ๋อร์พูดถึงเจ้ามาก่อน เดิมทีข้าคิดว่าเจ้าจะไม่มาที่งานชุมนุมวายุเมฆานี้เสียแล้ว หากว่าเจ้าไม่มาจริงๆ ข้าก็คงจะไม่ยอมรับเจ้าเป็นบุตรเขย ทว่าในเมื่อเจ้ามาแล้วและยังเปิดตัวได้อย่างน่าทึ่งเช่นนี้ พ่อตาอย่างข้าก็ไม่มีสิ่งใดคัดค้าน เพียงแต่…”
เมื่อจู่ๆฉินเทียนก็หยุดไปกลางคัน ฉินอวี้โม่และหานโม่ฉือก็มองหน้ากันด้วยความหวั่นวิตกทันที ทั้งสองหวังเป็นอย่างยิ่งว่าจะได้รับความเห็นชอบและอนุญาตจากฉินเทียน
“ท่านพ่อบุญธรรม เพียงแต่อะไรรึขอรับ?”
ฉินจ้านซึ่งยืนอยู่ด้านข้างอดเอ่ยถามออกไปไม่ได้ หานโม่ฉือและฉินอวี้โม่เป็นดั่งคู่รักที่สวรรค์ลิขิตมา หากบิดาบุญธรรมของเขาไม่พอใจในตัวบุรุษผู้นี้ ฉินจ้านก็ไม่รู้เลยว่าจะมีผู้ใดที่จะเข้าตาเขาอีก
คนอื่นๆก็มีสีหน้าสงสัยใคร่รู้เช่นกัน ทุกคนลืมไปเลยว่าเพิ่งมีการต่อสู้อันดุเดือดเกินขึ้นเมื่อครู่
“เพียงแต่เจ้าเป็นบุคคลที่น่าตกใจเกินไป เสี่ยวโม่เอ๋อร์กล่าวไว้ก่อนหน้านี้ว่าอย่างมากเจ้าก็น่าจะทะลวงถึงขอบเขตจ้าวสุริยะ ทว่าบัดนี้กลับเหนือความคาดหมายและทะลวงพลังไปถึงขอบเขตเซียนซึ่งสามารถแยกห้วงมิติได้ด้วยมือเปล่า นี่ก็เป็นการทำให้คนเฒ่าคนแก่อย่างพวกเราที่ฝึกฝนมาอย่างยาวนานหลายปีต้องรู้สึกอับอายเล็กน้อย”
ฉินเทียนทอดถอนหายใจเบาๆ ทว่าใบหน้าไม่อาจซ่อนความทะนงลึกๆไว้เลย บุรุษผู้เก่งกล้าสามารถคนนี้คือว่าที่บุตรเขยของเขาเอง แน่นอนว่าเขาจะต้องภาคภูมิใจอย่างที่สุด
เมื่อได้ยินคำพูดของฉินเทียนและเห็นสีหน้าพึงพอใจของเขา ทุกคนก็แทบจะกลอกตาและถึงกับหมดคำพูดอย่างแท้จริงๆ
.