ภายในคฤหาสน์เฟิงหัวบัดนี้มีเพียงสหายรู้ใจไม่กี่คนของฉินอวี้โม่ รวมถึงอสูรมายาของนางและของหานโม่ฉือ
ฉินเทียนผู้เป็นบิดาไม่ได้เข้ามาในคฤหาสน์นี้ทว่ากำลังรับแขกอยู่ข้างนอก
ต้องกล่าวเลยว่าฉินอวี้โม่ตกตะลึงไม่น้อยเมื่อเข้ามาภายในคฤหาสน์ของตน
นี่ยังคงเป็นคฤหาสน์หลังน้อยหลังเดิมของนางทว่าได้รับการปรับเปลี่ยนเป็นโฉมใหม่ภายในเวลาเพียงสามวัน
สิ่งของเครื่องใช้และของตกแต่งต่างๆถูกแทนที่ด้วยชิ้นใหม่ อีกทั้งยังมีโคมไฟสีแดงขนาดใหญ่แขวนประดับไว้ที่ประตูพร้อมด้วยอักษรคำว่า ‘สี่’ (喜)ใหญ่ชัดเจนซึ่งเสริมบรรยากาศให้ดูอบอุ่นอย่างมาก
**‘สี่’ (喜) แปลว่า ยินดี ดีใจ มีความสุข
ทันทีที่ฉินอวี้โม่และหานโม่ฉือมาถึง เสียงประทัดจีนก็ดังขึ้นสร้างความครึกครื้นให้กับบรรยากาศรอบๆ
“ขอแสดงความยินดี นายหญิง”
อสูรมายาของฉินอวี้โม่ทั้งหมดก้าวออกมาแสดงความยินดีและมีความสุขเต็มเปี่ยมรวมถึงหยิบของขวัญที่เตรียมไว้ออกมา
“นายหญิง ข้าขอให้ท่านมีบุตรไวๆ ยิ่งมีหลายคนก็ยิ่งดี พวกเราที่อยู่ว่างๆและเบื่อหน่ายจะได้มีอะไรทำ”
มารยายิ้มและกล่าวกับผู้เป็นนายอย่างติดตลก
“ใช่ ใช่แล้ว ด้วยพรสวรรค์ของนายหญิงและนายท่าน คงจะให้กำเนิดทายาทที่เหนือธรรมชาติออกมาเป็นแน่ ข้าว่าท่านทั้งสองควรรีบหาโอกาสผลิตทายาท ดินแดนนี้จะได้มียอดฝีมือที่เก่งกาจราวกับสัตว์ประหลาดเพิ่มขึ้นอีก”
เสี่ยวเฮยยิ้มและกล่าวเย้าหยอกเช่นกัน
ในบรรดาอสูรมายาทั้งหมด มันเป็นอสูรที่ติดตามฉินอวี้โม่มานานที่สุด เมื่อเห็นนายหญิงมีความสุข แน่นอนว่ามันก็มีความสุขมากเช่นกัน
“น่าเสียดายจริงๆที่พี่ซิวยังอยู่ในช่วงเก็บตัวและเจ้าเด็กน้อยหานอวี้ก็ยังวิวัฒนาการไม่เสร็จสมบูรณ์ หากทั้งสองได้เห็นภาพความสุขในตอนนี้ คงจะต้องรู้สึกเสียใจแน่ๆที่ไม่ได้มาอยู่ที่นี่ด้วย”
มังกรอัสนีกล่าวพร้อมรอยยิ้ม
คราสุดท้ายที่สื่อสารกัน ซิวกล่าวไว้ว่าหานอวี้น่าจะวิวัฒนาการเสร็จสิ้นนานแล้ว ทว่าไม่ทราบเช่นกันว่าเพราะเหตุใด ระหว่างช่วงที่ผ่านมา มันไม่แสดงอาการหรือมีสัญญาณใดบ่งบอกว่าจะออกจากช่วงเก็บตัว
อย่างไรก็ตาม ฉินอวี้โม่สัมผัสได้ว่าไม่มีสิ่งใดผิดปกติ มิฉะนั้นนางคงจะเป็นกังวลอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
“มังกรอัสนี อย่าพูดแบบนี้ในงานมงคลเลย ข้าเชื่อว่าหากพี่ซิวและหานอวี้รู้ ทั้งสองจะต้องยินดีกับนายหญิงอย่างแน่นอน”
หงส์แดงกล่าวพร้อมรอยยิ้ม “ใกล้ได้เวลาแล้ว ส่งตัวเจ้าสาวเข้าเรือนหอก่อนเถอะ”
อสูรมายาทั้งหลายพยักหน้าอย่างมีความสุขก่อนแยกบ่าวสาวออกจากกัน
กิเลนอัคคีหันไปมองหานโม่ฉือด้วยสีหน้าที่ทำอะไรไม่ถูกก่อนที่จะตามอสูรมายาของฉินอวี้โม่ออกไปและส่งฉินอวี้โม่ไปที่ห้องเจ้าสาวที่จัดเตรียมไว้
“เฮ้ พี่หานโม่ฉือ พี่อวี้โม่เป็นสหายที่ดีที่สุดของเรา หากต้องการที่จะค้างคืนกับนางในห้องเจ้าสาวล่ะก็ พวกเราจะไม่ปล่อยให้ท่านผ่านไปง่ายๆ”
ซูเสี่ยวจวิ้น เสี่ยวเหยียน ฉีอวิ๋นเหล่ยและคนอื่นๆยืนตรงหน้าหานโม่ฉือพร้อมรอยยิ้มและกล่าวด้วยน้ำเสียงที่เจือด้วยเจตนาเชิงข่มขู่เล็กน้อย
“ใช่แล้ว ถ้าอยากได้นายหญิงของพวกเราไปครอง ท่านก็ต้องผ่านบททดสอบของเราก่อน”
กระต่ายหูยาวเอ่ยพร้อมรอยยิ้มเช่นกันราวกับจะได้รับชมเรื่องสนุกๆในไม่ช้า
“เสี่ยวจวิ้น ทางนี้พร้อมแล้ว”
เมื่อผ่านไปครู่หนึ่ง เสียงของเสี่ยวเหยียนก็ดังมาจากไกลๆเพื่อบ่งบอกว่าเตรียมการพร้อมแล้ว
“จอมยุทธ์หานโม่ฉือ เพื่อพิสูจน์ว่าท่านและพี่อวี้โม่รักกันจริง เราต้องทดสอบว่าท่านทั้งสองมีความรู้และความเข้าใจกันในระดับใด”
ซูเสี่ยวจวิ้นยิ้มและกล่าวต่อ “ต่อไปเราจะถามคำถามสักหน่อย หากคำตอบของท่านทั้งสองเหมือนกัน พวกเราจะให้ท่านเข้าไปข้างในห้องเจ้าสาวได้ แต่ถ้าตอบผิดแม้เพียงข้อเดียวล่ะก็ ฮิๆๆ อย่าแม้แต่จะคิดเลย”
เมื่อได้ยินคำพูดของซูเสี่ยวจวิ้น หานโม่ฉือก็ยกยิ้มมุมปากเล็กน้อย
ดรุณีน้อยเหล่านี้มีพิธีรีตองมากมายจริงจนเขารู้สึกประหม่าขึ้นมา ครานี้เกรงว่าเขาจะต้องพยายามอย่างเต็มที่และไม่กังวลมากเกินไป
ด้วยพลังความแข็งแกร่งของหานโม่ฉือ เขาสามารถตรงเข้าไปในห้องเจ้าสาวได้โดยไม่มีใครตรวจจับได้ อย่างไรก็ตาม วันนี้เป็นวันสำคัญและคนเหล่านี้ทั้งหมดเป็นสหายที่ดีของฉินอวี้โม่ หากทุกคนต้องการหาความสนุกเพลิดเพลินให้กับตนเอง เขาก็จะไม่ขัดข้อง
“ถามมา”
หานโม่ฉือพยักศีรษะและส่งสัญญาณให้ซูเสี่ยวจวิ้นเริ่มต้น
ภายในห้อง เสี่ยวเหยียนบอกเงื่อนไขเดียวกันให้ฉินอวี้โม่ได้ทราบ แน่นอนว่านางพยักศีรษะเช่นกันและให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี
สำหรับนาง วันนี้เป็นวันแห่งความผ่อนคลายที่เกิดได้ยาก และหลังจากงานแต่งงาน คาดการณ์ว่านางจะต้องเดินทางไปที่ท้องทะเลไร้จุดจบ
“คำถามแรก พี่อวี้โม่ ใครเป็นฝ่ายที่ชอบอีกฝ่ายก่อนกัน?”
“ใครชอบอีกฝ่ายก่อนกัน พี่หานโม่ฉือ?”
เมื่อได้ยินคำถามดังกล่าว ทั้งฉินอวี้โม่และหานโม่ฉือถึงกับชะงักไปเล็กน้อย
ทั้งสองไม่เคยคิดเรื่องนี้มาก่อน ในตอนนั้นฉินอวี้โม่และหานโม่ฉือมีความสัมพันธ์ในสถานการณ์ที่ละเอียดอ่อนและมีความรู้สึกดีต่ออีกฝ่ายอยู่ในใจ ในภายหลังระหว่างที่ได้ใช้เวลาอยู่ร่วมกันมากขึ้น ทั้งสองก็ตกหลุมรักกัน ส่วนเรื่องที่ว่าใครเป็นฝ่ายหลงรักก่อนกันนั้น ทั้งสองยังไม่เคยพูดถึงมันมาก่อน
อย่างไรก็ตาม ฉินอวี้โม่ยิ้มพร้อมเอ่ยตอบเสียงฉะฉาน “แน่นอนว่าต้องเป็นหานโม่ฉือที่มาชอบข้าก่อน”
“ข้าชอบโม่เอ๋อร์ก่อน”
ในขณะเดียวกันนั้น คำตอบของหานโม่ฉือก็ดังมาจากข้างนอก
เมื่อทั้งสองตอบคำถามแทบจะพร้อมกัน ซูเสี่ยวจวิ้นและคนอื่นๆต่างก็ยิ้มและพยักศีรษะด้วยความพอใจ
ฉินอวี้โม่ยิ้มบางๆเช่นกัน นางคิดไว้แล้วว่าหานโม่ฉือจะต้องตอบเช่นนี้ ถึงอย่างไรแล้วในความคิดของหานโม่ฉือ ฉินอวี้โม่ก็ถือเป็นช้างเท้าหน้าอยู่เสมอ
ยิ่งไปกว่านั้น ในตอนแรกเริ่ม เขาก็ประทับใจฉินอวี้โม่อย่างมากจริงๆ
“เอาล่ะ คำถามที่สอง ท่านและพี่อวี้โม่จุมพิตกันครั้งแรกเมื่อใด?”
พวงแก้มของซูเสี่ยวจวิ้นชมพูระเรื่อขึ้นเล็กน้อย แม้ว่านางคิดคำถามนี้ขึ้นมาเอง นางก็เป็นเพียงดรุณีน้อยที่ยังเยาว์วัยนัก เมื่อเอ่ยถามออกไปอย่างโจ่งแจ้ง นางจึงอดหน้าแดงน้อยๆไม่ได้
“เมื่อสามปีก่อน ภายในถ้ำแห่งหนึ่ง”
หานโม่ฉือไม่รอช้าและเอ่ยตอบออกไปตามตรง สำหรับเขา ความทรงจำในครานั้นยังคงแจ่มชัดและไม่อาจลืมเลือนได้
และเป็นเพราะเหตุการณ์นั้นที่เป็นจุดเริ่มต้นนำพาให้ทั้งสองร่วมฝ่าฟันกันมาจนถึงทุกวันนี้
ซูเสี่ยวจวิ้นรู้สึกแปลกใจไม่น้อยเมื่อได้ยินว่ามันนานมาแล้วและยังเกิดขึ้นในถ้ำเช่นกัน
ทว่านางไม่เอ่ยถามสิ่งใดให้มากความ
“คำถามที่สาม ท่านทั้งสองอยากมีลูกกี่คน?”
นางเชื่อว่าฉินอวี้โม่และหานโม่ฉือคงจะไม่เคยหารือถึงเรื่องนี้มาก่อน
“สองคน ถ้าจะให้ดีก็เป็นชายหนึ่งคนและหญิงหนึ่งคน”
ฉินอวี้โม่และหานโม่ฉือตอบอย่างพร้อมเพรียงกัน
เมื่อได้ยินคำตอบที่ตรงกันของทั้งสองฝ่าย ทุกคนก็อึ้งจนพูดไม่ออก
ฉินอวี้โม่ยิ้มบางๆอย่างมีความสุข นางและบุรุษคนรักยังไม่ได้หารือเรื่องนี้อย่างแน่ชัด ทว่าทั้งสองก็เข้าใจและรู้ใจตรงกัน
“เอาล่ะ มาถึงคำถามสุดท้าย”
ซูเสี่ยวจวิ้นยิ้มก่อนเอ่ยถาม
“หากท่านทั้งสองตกอยู่ในอันตรายและมีเพียงคนเดียวที่จะรอดออกไปได้ ท่านจะเลือกให้ใครรอดออกไป?”
คำถามนี้เป็นสิ่งที่ทุกคนอยากรู้ยิ่งนัก ถึงอย่างไรแล้วทั้งสองก็มีลักษณะนิสัยที่ต่างกันและมีความคิดความอ่านต่างจากคนทั่วไป ทุกคนอยากรู้ว่าฉินอวี้โม่และหานโม่ฉือจะคิดเหมือนกันหรือไม่หากเผชิญสถานการณ์เช่นนี้
“ฮ่าๆๆ แน่นอนว่าต้องอยู่และตายไปด้วยกัน อย่างไรก็ตาม…ข้าไม่มีทางปล่อยให้สถานการณ์เช่นนั้นเกิดขึ้น”
หานโม่ฉือยิ้มและกล่าวด้วยน้ำเสียงที่ฟังดูน่าเกรงขามและมั่นใจ
เขาไม่มีทางปล่อยให้สถานการณ์เช่นนั้นเกิดขึ้น ตราบใดที่มีเขาอยู่ เขาไม่มีทางปล่อยให้ตนเองและสตรีคนรักต้องตกอยู่ในอันตราย
ฉินอวี้โม่ก็ตอบเพียงอยู่และตายไปด้วยกันทว่าไม่มีประโยคใดเสริมอีก
อย่างไรก็ตาม เมื่อได้ยินประโยคท้ายของหานโม่ฉือ นางก็รู้สึกถึงความสงบและความมั่นคงในหัวใจทันที มันเป็นความรู้สึกที่เด่นชัดว่ามีคนหนึ่งที่ไม่ว่าเมื่อใด เขาก็จะเป็นที่พักพิงจากลมพายุฝนให้กับนางได้เสมอ
‘อยู่และตายไปด้วยกัน’ ประโยคเพียงสั้นๆนี้ทำให้ซูเสี่ยวจวิ้นและคนอื่นๆชะงักค้างไป
นี่คือความรักที่แท้จริงในแบบของคนทั้งสอง ฉินอวี้โม่และหานโม่ฉือมีความเข้าใจตรงกันโดยไม่ต้องเอ่ยสิ่งใด
คนอื่นๆโดยรอบคิดว่าหานโม่ฉือจะกล่าวว่าเขาจะให้ฉินอวี้โม่หนีไปและนางก็จะกล่าวว่าให้หานโม่ฉือมีชีวิตต่อไป
อย่างไรก็ตาม คำตอบที่ได้รับนั้นเหนือความคาดหมายของทุกคนอย่างแท้จริง
การอยู่และตายไปด้วยกันฟังดูเหมือนง่ายดาย ทว่ามันเป็นเรื่องยากมากที่จะทำเช่นนั้นได้
บัดนี้หานโม่ฉือก็เพิกเฉยต่อทุกคนและเดินตรงไปที่ห้องเจ้าสาวก่อนผลักประตูเปิดออกและเดินเข้าไป
อสูรมายาทั้งหมดก็ถอยกลับไปและหายไปจากคฤหาสน์เฟิงหัวโดยไม่ลืมที่จะพาซูเสี่ยวจวิ้นและคนอื่นๆไปด้วย
“โม่ฉือ หากเราเผชิญอันตราย เจ้าไม่อยากให้ข้ามีชีวิตต่อไปรึ?”
ฉินอวี้โม่จับมือบุรุษคนรักพร้อมนั่งลงข้างเตียงและเอ่ยถามด้วยความสงสัยใคร่รู้
เป็นคำที่กล่าวกันมาเสมอว่าคนที่รักกันอย่างลึกซึ้งจะเลือกให้คนรักของตนเองมีชีวิตอยู่ต่อไปหากต้องตกอยู่ในสถานการณ์เลวร้าย อย่างไรก็ตาม หานโม่ฉือไม่ลังเลที่จะกล่าวว่าเขาเลือกที่จะอยู่และตายไปด้วยกัน เพราะเหตุนั้นฉินอวี้โม่จึงอยากรู้ยิ่งนักว่าอีกฝ่ายคิดอะไรอยู่
“เด็กโง่เอ๋ย ข้าจะปล่อยให้เจ้าต้องอยู่ลำพังและทุกข์ทรมานกับความเศร้าและความโดดเดี่ยวที่เจ็บปวดยิ่งกว่าความตายได้อย่างไร ยิ่งไปกว่านั้น ตราบใดที่ข้ายังอยู่ สถานการณ์เช่นนั้นไม่มีทางเกิดขึ้นแน่ ไม่ว่าผู้ใดก็ไม่อาจขวางกั้นความสุขของเราทั้งสองได้”
หานโม่ฉือยิ้มอย่างอบอุ่นและปิดปากฉินอวี้โม่ไว้ด้วยริมฝีปากอุ่นของตนเอง
ฉินอวี้โม่ก็กำลังครุ่นคิดถึงคำตอบของบุรุษตรงหน้าและเต็มไปด้วยอารมณ์ที่พรั่งพรู
เมื่อผู้ใดรักกันอย่างแท้จริง หากเปรียบเทียบกับผู้ที่ตายจากไป ผู้ที่มีชีวิตอยู่คือผู้ที่เจ็บปวดมากที่สุด ในเมื่อไม่ได้อยู่ใช้ชีวิตด้วยกัน การตายไปพร้อมกันก็ดีที่สุดและมันย่อมดีกว่าการปล่อยให้คนรักต้องทุกข์ทรมานกับความเจ็บปวดเพียงลำพัง
……
เช้าตรู่วันต่อมา ฉินอวี้โม่ก็ตื่นขึ้นมาและหันไปเห็นหานโม่ฉือซึ่งนอนอยู่ข้างกายด้วยใบหน้าที่ดูอ่อนโยน
“โม่ฉือ เจ้าดูต่างไปจากเดิมมาก”
ฉินอวี้โม่ยื่นมือออกไปแตะใบหน้าหล่อเหลาของคนรักอย่างแผ่วเบาและกล่าวพร้อมรอยยิ้มบางๆ
ในตอนที่ได้พบหานโม่ฉือเป็นครั้งแรก ฉินอวี้โม่รู้สึกว่า ‘มนุษย์น้ำแข็ง’ ผู้นี้เย็นชาดุจดั่งน้ำแข็งและปล่อยไอความเย็นที่ไร้ที่สิ้นสุดออกมาอยู่ตลอดเวลา
ทว่าหานโม่ฉือในตอนนี้ดูเหมือนเป็นภูเขาไฟอบอุ่นและมีชีวิตชีวา ยิ่งไปกว่านั้น เมื่อสื่อสารกับคนอื่นๆเขาก็ดูผ่อนคลายกว่าเดิมมาก
“เจ้าเองก็ต่างไปจากเดิมเช่นกัน”
หานโม่ฉือยื่นมือออกไปปัดเส้นผมออกจากหน้าผากของฉินอวี้โม่อย่างแผ่วเบาและยกยิ้มมุมปากพร้อมดึงร่างบางเข้ามาสวมกอด
ในตอนแรก อดีตนักฆ่าสาวผู้นี้ทั้งเย็นชาและเข้าถึงยากกว่าตอนนี้มาก นับว่าเป็นเรื่องยากอย่างยิ่งที่นางจะเปิดใจอย่างแท้จริง
ฉินอวี้โม่ในตอนนี้มีมนุษยสัมพันธ์ที่ดีขึ้นมากและนางไม่เย็นชาเหมือนก่อนอีกต่อไป นางได้เรียนรู้ที่จะยอมรับความเอื้อเฟื้อจากคนอื่นๆและมีความอดทนอดกลั้นที่มากกว่าเมื่อก่อน
ฉินอวี้โม่ยิ้มบางๆขณะเอนพิงแขนแข็งแกร่งของคนรักโดยไม่เอ่ยปากพูดอะไร
หลังจากเรื่องราวมากมายที่เผชิญ มันจะไม่มีความเปลี่ยนแปลงได้อย่างไร ในชีวิตก่อน นางเป็นนักฆ่าสาวมือพระกาฬที่ไร้ที่ยึดมั่นทางอารมณ์ใดๆ ทว่าในชีวิตนี้ นางเป็นคนที่แตกต่างไปจากเดิมอย่างสิ้นเชิง
อย่างไรก็ตาม เมื่อเปรียบเทียบกัน ฉินอวี้โม่รู้สึกชอบตัวเองในตอนนี้มากกว่า ราวกับว่านางถูกเติมเต็มจนสมบูรณ์
นักฆ่าสาวในชีวิตก่อนเปรียบดั่งเครื่องจักรสังหารที่ไร้ชีวิตจิตใจและไม่มีความรู้สึกใดมากไปกว่าชีวิตและความตาย
“พี่อวี้โม่ พี่เขยโม่ฉือ ท่านทั้งสองตื่นรึยัง? ท่านผู้นำหยินหึนอยากให้พวกท่านไปพบที่ขุมกำลังเอกพิภพ เขาบอกว่ามีเรื่องบางอย่างจะหารือด้วย”
ฉินอวี้โม่และหานโม่ฉือกำลังจะพักต่อ ทว่าเมื่อทั้งสองได้ยินเสียงของเสี่ยวเหยียนที่ดังขึ้นจากนอกประตู ทั้งสองก็ส่ายศีรษะอย่างปลงตก จากนั้นหานโม่ฉือก็ลุกขึ้นก่อนเพื่อช่วยเตรียมน้ำอุ่นให้กับฉินอวี้โม่
.