ภายในห้องโถงของขุมกำลังเอกพิภพ บรรดาผู้นำจากขุมกำลังอันดับต้นๆของดินแดนอ้างว้างต่างก็นั่งลงตามๆกัน ขณะนี้บรรยากาศดูตึงเครียดพอสมควร
เมื่อเห็นว่าฉินอวี้โม่และหานโม่ฉือมาสายกว่าคนอื่นๆ ทุกคนก็ยิ้มกว้างโดยไม่ได้เอ่ยพูดอะไร
ในคืนแรกของการแต่งงาน ไม่ใช่เรื่องแปลกที่ทั้งสองจะตื่นสายกว่าปกติ มันถือเป็นธรรมชาติของมนุษย์โลก
“นั่งลงก่อนเถอะ เหลือแค่พวกเจ้าทั้งสองแล้ว”
ฉินเทียนยิ้มพร้อมผายมือให้ทั้งสองนั่งลง
ฉินอวี้โม่และหานโม่ฉือมองตามไปและพบว่าเก้าอี้ตัวนั้นกว้างมากพอที่จะให้ทั้งสองนั่งเคียงข้างกันได้โดยไม่เบียดเสียด
“สองตำแหน่งนั้นจัดไว้สำหรับท่านทั้งสอง บัดนี้โม่ฉือเป็นยอดฝีมืออันดับหนึ่งของดินแดนอ้างว้างในแง่ของพลังความแข็งแกร่ง ส่วนในแง่ของสถานะ ฉินอวี้โม่ก็คือนายหญิงของข้า การนั่งในตำแหน่งนั้นถือว่าเหมาะสมแล้ว”
หยินหึนยิ้มและกล่าวต่อ “อวี้โม่ ข้าได้อธิบายให้ทุกคนทราบเรื่องตัวตนของท่านแล้ว ด้วยสงครามที่กำลังใกล้เข้ามา เรื่องนี้ไม่ควรเก็บเป็นความลับอีกต่อไป ยิ่งไปกว่านั้น จูตี๋และพวกในมิติพิเศษก่อนหน้านี้ก็คงจะรู้เรื่องนี้แล้ว การบอกให้ทุกคนทราบก็จะช่วยให้พวกเขาเข้าใจได้ง่ายขึ้น”
ฉินอวี้โม่ยิ้มพร้อมพยักศีรษะ นางเองก็คิดที่จะบอกความจริงกับทุกคนว่านางคือเทพมายาคนใหม่ บัดนี้เมื่อหยินหึนบอกทุกคนแล้ว นางก็ไม่ต้องอธิบายอีกต่อไป
“ฮ่าๆๆ ไม่คิดเลยว่าอวี้โม่จะเป็นเทพมายาคนใหม่ซึ่งสืบทอดกายเทพมายามา ไม่แปลกใจเลยที่นางจะมีพรสวรรค์ผิดมนุษย์เช่นนี้”
เฟิงจิงเทียนยิ้มและเอ่ยขึ้นก่อนใคร
“ฮ่าๆๆ ข้าก็ไม่คิดเลยว่ากายเทพมายาในตำนานที่หายสาบสูญไปกว่าพันปีจะปรากฏขึ้นมาอีกครั้ง อีกทั้งยังเป็นคนใกล้ตัวพวกเรานี้เอง”
บิดาของฉีอวิ๋นเหล่ย—ฉีเจิ้นเป็นคนกล้าหาญอย่างยิ่ง ทั้งดินแดนอ้างว้างแห่งนี้ เขามีความสัมพันธ์ที่ดีกับฉินเทียนมากที่สุด ถึงอย่างไรแล้วทั้งสองก็มาจากดินแดนหวนหลิงเช่นเดียวกันและมีลักษณะนิสัยส่วนตัวที่ค่อนข้างคล้ายคลึงกัน ดังนั้นทั้งสองจึงมีความเข้าใจในกันและกันพอสมควร
แรกเริ่มเดิมที เขาคิดที่จะสานความสัมพันธ์กับฉินเทียนให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้นโดยการให้บุตรของพวกเขาทั้งสองแต่งงานกัน อย่างไรก็ตาม แม้ว่าความคิดนี้จะล้มเหลว พวกเขาทั้งสองก็ยังคงเป็นมิตรสหายที่ดีต่อกัน
“เอาล่ะ หารือเรื่องธุระสำคัญกันเถอะ”
ซูเทียนหยายิ้มพร้อมกล่าวเพื่อเรียกความสนใจของทุกคนให้กลับเข้าสู่หัวข้อประเด็นหลัก
ฉินอวี้โม่และหานโม่ฉือไม่รอช้าและนั่งลงบนเก้าอี้ตำแหน่งหลัก
“อวี้โม่ โม่ฉือ สาเหตุที่ข้าเรียกมาในวันนี้ก็เพื่อหารือเรื่องขุมกำลังมารร้าย”
หยินหึนยิ้มพร้อมยื่นแผนที่ฉบับหนึ่งให้กับฉินอวี้โม่
“นี่คือสาขาต่างๆของฝ่ายมารในดินแดนอ้างว้างของเรา เราได้รับข้อมูลนี้มาจากจูอวิ๋นชางก่อนหน้านี้และได้ส่งคนออกไปสืบข่าวเพื่อยืนยันแล้ว มันน่าจะไม่มีข้อผิดพลาด”
หยินหึนอธิบายอย่างคร่าวๆ “อย่างไรก็ตาม คนจากฝ่ายมารในพื้นที่เหล่านี้ได้ถอนกำลังออกไปทั้งหมด หากข้าเดาไม่ผิด พวกเขาน่าจะถอนกำลังไปยังเกาะตรงกลางทะเลไร้จุดจบ”
ทันทีที่จบงานชุมนุมวายุเมฆาในตอนนั้น ผู้นำขุมกำลังเอกพิภพก็ส่งคนออกไปสืบหาเบาะแสเรื่องนี้ทันที ฝ่ายมารเป็นภัยร้ายต่อคนมากมายในดินแดนอ้างว้าง เพราะฉะนั้นพวกเขาจึงจะปล่อยผ่านไปไม่ได้เด็ดขาด
ในขณะเดียวกันนั้น เมื่อได้รับคำเกลี้ยกล่อมจากจูตี๋ผู้หวาดกลัวอย่างที่สุด จูอวิ๋นชางจึงบอกทุกอย่างที่ทราบอย่างไม่ปิดบัง
แรกเริ่มเดิมที คนจากขุมกำลังมารร้ายริเริ่มเข้ามาหาเขาโดยกล่าวว่าสามารถช่วยให้เขากุมอำนาจทั้งดินแดนอ้างว้างได้ และเงื่อนไขของพวกเขาก็เรียบง่ายพอสมควร นั่นคือจูอวิ๋นชางเพียงต้องเชื่อฟังและปฏิบัติตามความต้องการของพวกเขา รวมถึงเข้าร่วมกับขุมกำลังมารร้าย
ในเวลานั้น จูอวิ๋นชางไม่ได้คิดไตร่ตรองสิ่งใดมากนัก การเป็นผู้กุมอำนาจทั้งหมดในดินแดนอ้างว้างถือเป็นความฝันของเขาและแน่นอนว่าเขาตอบตกลงอย่างไม่รีรอ
และเพื่อแสดงให้เห็นถึงความจริงใจ คนจากฝ่ายมารจึงมอบประโยชน์หลายอย่างให้กับเขาซึ่งทำให้ความแข็งแกร่งของจูอวิ๋นชางและจูตี๋พัฒนาขึ้นมาอย่างกะทันหัน
ด้วยลักษณะนิสัยเดิมของจูอวิ๋นชาง เขาไม่มีทางปฏิเสธข้อเสนอนี้และเลือกที่จะเข้าร่วมกับขุมกำลังมารร้าย
อย่างไรก็ตาม แม้ว่าแข็งแกร่งมากขึ้นแล้ว จูตี๋ก็ยังตกตะลึงกับพลังอันน่าสะพรึงกลัวของหานโม่ฉือภายในมิติพิเศษก่อนหน้านี้
ยิ่งไปกว่านั้น เมื่อคนของขุมกำลังพญายมหลายคนรู้ถึงการกระทำของจูอวิ๋นชาง พวกเขาก็รู้สึกไม่เห็นด้วย ตลอดช่วงสองถึงสามวันที่ผ่านมานี้ หลายคนก็เก็บสัมภาระและถอนตัวออกจากขุมกำลังพญายมโดยย้ายไปที่อื่นอย่างไม่รีรอ
จูอวิ๋นชางเองก็ไม่ต้องการปล่อยให้ขุมกำลังที่ตนเองสร้างขึ้นมากับมือต้องล่มสลายไปและเขาก็ไม่ได้เชื่อมั่นในขุมกำลังมารร้ายอีกต่อไป ดังนั้นในท้ายที่สุดเขาจึงตัดสินใจที่จะบอกข้อมูลทุกอย่างที่รู้เพื่อที่จะกำจัดฝ่ายมารออกไปจากดินแดน
แม้ว่าขุมกำลังพญายมเคยทำเรื่องไม่ดีมาแล้วมากมาย พลังความแข็งแกร่งของพวกเขาก็ไม่ได้อ่อนแอ หยินหึนและคนอื่นๆไม่ต้องการเสียเวลากับคนเหล่านั้นจึงได้ตัดสินใจปล่อยพวกเขากลับไป
อย่างไรก็ตาม หยินหึนและคนอื่นๆรู้สึกได้ว่าหลังจากเหตุการณ์นี้ ขุมกำลังพญายมจะไม่มีการเคลื่อนไหวอื่นอีก ทว่าพวกเขาก็ยังไม่ลืมที่จะส่งคนไปจับตาดูจูอวิ๋นชางอย่างใกล้ชิด หากมีการก่อความวุ่นวายใดๆขึ้นอีก ขุมกำลังพญายมจะต้องถูกจัดการอย่างเหมาะสม
ฉินอวี้โม่และหานโม่ฉือพยักศีรษะเบาๆ ทั้งสองไม่มีความคิดเห็นใดสำหรับเรื่องนี้
สำหรับการจัดการกับคนของขุมกำลังพญายม ทั้งสองเชื่อว่าหยินหึนจะตัดสินใจได้อย่างเหมาะสมที่สุด ฉินอวี้โม่และหานโม่ฉือเพียงต้องฟังแผนการของหยินหึนเท่านั้น
“ข้าได้ยินมาจากจูอวิ๋นชางว่าถึงแม้ฝ่ายมารจะรวมตัวอยู่ในเกาะแห่งนั้น พวกเขาก็เป็นเพียงกลุ่มกองกำลังที่ถูกส่งมาในดินแดนอ้างว้างเท่านั้น มิใช่สำนักงานใหญ่ อย่างไรก็ตาม พลังของพวกเขาถือว่าไม่ธรรมดาเช่นกัน อย่างน้อยฝ่ายพวกเขาก็มียอดฝีมือขอบเขตจ้าวสุริยะขั้นสูงสุดอยู่สิบคนและอาจมีแม้กระทั่งยอดฝีมือในขอบเขตเซียน เพราะฉะนั้นถ้าเราจะไปที่นั่น เราต้องเตรียมความพร้อมเป็นอย่างดี”
หยินหึนกวาดสายตามองทุกคนพร้อมรอยยิ้มบางๆ “ข้าคิดว่าผู้นำเฟิงอู๋เฉินควรอยู่ที่ดินแดนอ้างว้างเพื่อป้องกันในกรณีที่เกิดเหตุไม่คาดคิดขึ้นที่นี่ เราทุกคนที่เหลือจะบุกไปโจมตีเกาะแห่งนั้นด้วยกัน ถึงเวลาแล้วที่พวกเราจะต้องกำจัดคนของฝ่ายมารไปให้สิ้นซาก”
หยินหึนและคนอื่นๆไม่อาจมองข้ามพลังของฝ่ายมารได้เลย พวกเขาต่างก็ฝึกฝนพลังกัดกร่อนและพลังแห่งมืดได้อย่างชำนาญ ในการต่อสู้ในระดับเดียวกันนั้น สิ่งเหล่านี้จะทำให้พวกเขาได้เปรียบมากกว่าอย่างไม่ต้องสงสัย
ภายในดินแดนอ้างว้างแห่งนี้ แม้ว่าพลังของทุกคนถือว่าไม่อ่อนแอ ทว่าก็มียอดฝีมือผู้แข็งแกร่งที่ทะลวงพลังไปถึงขอบเขตจ้าวสุริยะขั้นสูงสุดเพียงไม่กี่คนเท่านั้น
ในบรรดาทุกคนในห้องโถงนี้ ฉีเจิ้น ซูเทียนหยา ฉินเทียน เฟิงอู๋เฉิน ฉู่เหิง เฟิงหรูเซียวและหยินหึนล้วนมีพลังอยู่ในขอบเขตจ้าวสุริยะขั้นสูงสุด
สำหรับคนอื่นๆ ยอดฝีมือที่แข็งแกร่งที่สุดก็อยู่ในขอบเขตจ้าวสุริยะขั้นกลางเพียงเท่านั้นซึ่งยังห่างชั้นจากขั้นสูงสุดอีกมาก
อย่างไรก็ตาม นั่นยังไม่รวมยอดฝีมือผู้ทรงพลังราวกับสัตว์ประหลาดอย่างฉินอวี้โม่และหานโม่ฉือ พลังของหานโม่ฉืออยู่ขอบเขตเซียน ส่วนฉินอวี้โม่ก็ไม่ต้องพูดถึงเพราะว่านางก็มีไพ่ตายที่หลากหลายเช่นกัน แม้แต่ยอดฝีมือในขอบเขตจ้าวสุริยะขั้นสูงสุดก็ไม่สามารถเอาชนะนางได้ง่ายๆ
“ไม่มีปัญหา ทว่าเราจะนำคนไปมากแค่ไหน?”
ซูเทียนหยาพยักศีรษะก่อนเอ่ยถามสิ่งที่สงสัย
“ข้าคิดว่าเราไม่ควรพาคนไปมากเกินไป แค่เลือกกลุ่มยอดฝีมือสักร้อยคนก็พอ ถึงอย่างไรแล้วเกาะแห่งนั้นก็เป็นเพียงเกาะเล็กๆ การพาคนไปเยอะเกินไปจะกลายเป็นภาระเปล่าๆ เมื่อถึงตอนนั้น หากอีกฝ่ายทรงพลังมาก ยิ่งเราพาคนไปมากเพียงใด การบาดเจ็บล้มตายก็จะมีมากขึ้นเพียงนั้น”
ฉินเทียนยิ้มและกล่าวข้อเสนอของตนเอง
“ท่านพ่อพูดถูกเจ้าค่ะ ก่อนหน้านี้ข้าได้ไปที่ทะเลไร้จุดจบกับโม่ฉือมาก่อนและเราได้ทำการสำรวจอย่างคร่าวๆแล้ว เกาะแห่งนั้นมีขนาดเล็กจริงๆและมันซับซ้อนพอสมควร ยิ่งมีคนมากเท่าไหร่ มันก็จะยุ่งยากมากขึ้นเท่านั้น”
ฉินอวี้โม่กล่าวต่อ “ยิ่งไปกว่านั้น หากเกิดเหตุการณ์ที่ไม่คาดฝันขึ้นมาโดยที่พวกขุมกำลังมารร้ายฉวยจังหวะที่เราออกไปที่เกาะแห่งนั้นเพื่อโจมตีดินแดนอ้างว้าง เราก็จะวางใจได้กับการที่มีคนคอยคุ้มกันอยู่ที่นี่เป็นจำนวนมาก”
เมื่อได้ยินวาจาของนาง ทุกคนก็พยักหน้าอย่างเห็นพ้องต้องกัน ทุกคนเชื่อว่ามันสมเหตุสมผล
“ถ้าอย่างนั้นแล้ว นอกเหนือจากทุกคนที่นี่ เราจะเลือกคนฝีมือดีจากแต่ละขุมกำลังและเราจะพาคนรุ่นเยาว์ที่มากพรสวรรค์เพื่อให้พวกเขาได้สั่งสมประสบการณ์เช่นกัน ทว่าจำนวนหนึ่งร้อยคนดูจะน้อยเกินไปสักหน่อย ข้าคิดว่าสองร้อยคนเป็นจำนวนที่กำลังพอดี”
หยินหึนยิ้มพร้อมประกาศการตัดสินใจสุดท้าย
ทุกคนพยักศีรษะเห็นด้วย
“ถ้างั้นทุกคนกลับไปเตรียมความพร้อมก่อนเถอะ เราจะออกเดินทางกันในอีกห้าวัน ครานี้เราจะต้องกำจัดฝ่ายมารไปจากดินแดนอ้างว้างของเราให้ได้ มิฉะนั้นผลที่ตามมาจะเป็นหายนะอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้”
ทุกคนพยักศีรษะก่อนลุกขึ้นและแยกย้ายกันกลับไป
ภายในพริบตา ทั้งห้องโถงก็เหลือเพียงไม่กี่คนเท่านั้น
“อวี้โม่ นี่คือรางวัลจากงานชุมนุมวายุเมฆาของท่าน”
หยินหึนยิ้มกว้างขณะยื่นคัมภีร์วิชามนตราซึ่งเป็นรางวัลใหญ่ของงานให้กับฉินอวี้โม่
ฉินอวี้โม่รับมันมาพร้อมรอยยิ้มก่อนเปิดออกอย่างระมัดระวัง
เมื่อเห็นชื่อที่ระบุบนคัมภีร์ ฉินอวี้โม่ก็ชะงักไปเล็กน้อยและอดโพล่งออกมาไม่ได้
“เพลิงสมาธิ… นี่คือวิชาที่เป็นเอกลักษณ์ประจำตัวของเด็กแดงไม่ใช่รึ?!”
* 红孩儿 (หงไหเอ๋อร์) — เด็กแดง เป็นตัวละครจากนวนิยายคลาสสิกของจีนเรื่องไซอิ๋ว เนื่องจากบำเพ็ญพรตมากว่าสามร้อยปี จึงมีพละกำลังวิเศษ บิดาจึงให้ไปคอยรักษาภูเขาเพลิงไว้ เด็กแดงจึงมี “เพลิงสมาธิ” ซึ่งทำให้เขาสามารถปล่อยกระแสไฟจากดวงตา รูจมูก และปาก ซึ่งเป็นไฟที่มิอาจดับด้วยน้ำได้
ฉินอวี้โม่มีท่าทีสงสัยใคร่รู้อย่างยิ่งจนอดพึมพำกับตัวเองไม่ได้
“เด็กแดงคือใครรึ?”
หานโม่ฉือซึ่งนั่งอยู่ถัดจากนางได้ยินเสียงพึมพำ เขาจึงเอ่ยถามพร้อมรอยยิ้ม
“เอ่อ.. เจ้าไม่รู้จักหรอก เป็นตัวละครในตำราน่ะ”
ฉินอวี้โม่ก็ตกใจเล็กน้อยและทำได้เพียงตอบกลับไปเช่นนี้
เมื่อได้ยินคำตอบของนาง หานโม่ฉือเพียงยิ้มบางๆและไม่ถามอะไรเพิ่มเติม
“อวี้โม่ หลังจากนี้จะไม่มีอะไรให้ท่านต้องจัดการแล้ว ในห้าวันนี้ หากมีเวลาว่างก็จงศึกษาคัมภีร์ที่ได้รับไป วิชามนตรานี้เป็นเพียงเศษเสี้ยวหนึ่งเท่านั้นและเงื่อนไขข้อกำหนดสำหรับการฝึกมันก็สูงมาก ทว่าเมื่อใดที่ฝึกได้สำเร็จ พลังของมันจะน่าอัศจรรย์มาก”
หยินหึนยิ้มพร้อมกล่าว ในอีกหลายวันข้างหน้านี้ไม่มีอะไรที่ต้องให้นางจัดการ นางและหานโม่ฉือสามารถใช้เวลาอยู่ด้วยกันลำพังอย่างไร้กังวล
“เจ้าค่ะ ขอบคุณเหลือเกินที่ท่านทำงานอย่างหนัก ท่านลุงหยิน”
ฉินอวี้โม่พยักศีรษะและยิ้มให้หยินหึน แม้ว่านางเป็นนายหญิงน้อยของเขา หยินหึนก็รู้นิสัยนางดีและไม่เคยบังคับหรือกดดันให้นางจัดการสิ่งใด เพราะฉะนั้นจึงเรียกได้ว่านางเป็นนายหญิงเพียงในนามเท่านั้น
ในอีกไม่กี่วันข้างหน้า ฉินอวี้โม่และหานโม่ฉือจะได้ผ่อนคลาย ทว่าหยินหึนกำลังจะต้องเหนื่อยล้า
“ฮ่าๆๆ ไม่ใช่งานหนักหรอก เพียงแค่ข้าได้พบนายหญิงน้อยหลังจากที่ผ่านระยะเวลามาเนิ่นนาน ข้าก็รู้สึกสบายใจแล้ว”
หยินหึนยิ้มอย่างจริงใจโดยไม่สนใจเรื่องงานหนักยุ่งยาก เขาหมั่นเพียรพยายามมาตลอดเวลานับพันปีและต้องเผชิญความหดหู่เศร้าใจตลอดช่วงนั้น
บัดนี้เมื่อได้พบเทพมายาคนใหม่ หยินหึนทั้งปลื้มปีติและมีความสุขอย่างล้นเปี่ยม ความทรมานใจที่ผ่านมาไม่สำคัญเลยสักนิด
“ท่านพ่อบุญธรรม ครานี้ท่านจะไปที่เกาะนั่นรึไม่เจ้าคะ?”
ฉุ่ยเยว่เดินเข้ามาหาหยินหึนและยื่นถ้วยชาให้กับเขาพร้อมเอ่ยถาม
“แน่นอน ข้าจะไป ข้าไม่ได้ทำอะไรแบบนี้มานานหลายปี ครานี้ได้เวลายืดเส้นยืดสายแล้ว”
หยินหึนกล่าวพร้อมรอยยิ้มกว้าง แน่นอนว่าเขาไม่อยากพลาดโอกาสนี้
“ทว่าร่างกายของท่าน…”
ก่อนที่ฉุ่ยเยว่จะกล่าวได้จบ หยินหึนก็กล่าวแทรกขัดจังหวะนางไว้ทันที
“ไม่ต้องห่วง ข้าสบายดี”
ฉินอวี้โม่หันไปสบตากับหานโม่ฉือก่อนชำเลืองมองอากัปกิริยาลังเลของฉุ่ยเยว่ด้วยความสงสัย หรือว่าร่างกายของหยินหึนจะไม่แข็งแรงอย่างที่เห็นภายนอก? ทั้งสองยังปิดบังเรื่องใดจากนางอย่างนั้นหรือ?
.