ในเวลานี้ บรรยากาศรอบๆหม่นอึมครึมด้วยกลุ่มก้อนเมฆดำทะมึนราวกับว่าสายฝนใกล้ที่จะสาดเทลงมา
ท่ามกลางผืนทะเลไร้จุดจบ คฤหาสน์หลังน้อยหลังหนึ่งกำลังเคลื่อนที่ตรงไปในทิศทางหนึ่งด้วยความเร็วสูง หากไม่ทราบอยู่ก่อน ผู้ที่พบเห็นคงคิดว่ามันเป็นสิ่งชั่วร้ายบางอย่าง
ซึ่งนี่คือคฤหาสน์เฟิงหัวของฉินอวี้โม่นั่นเอง
เพื่อให้การปฏิบัติการดำเนินไปได้สะดวกและเพื่อเพิ่มความเร็วในการเดินทาง นางจึงได้ใช้คฤหาสน์เฟิงหัวเป็นพาหนะเดินทางและอนุญาตให้คนทั้งสองร้อยคนเข้ามาข้างใน
อย่างไรก็ตาม ด้วยความที่มันเป็นคฤหาสน์อันดับหนึ่งในโลกแห่งการหลอมอุปกรณ์ในเวลานี้ แม้มีคนจำนวนมากเข้ามาพร้อมกัน มันก็ไม่ดูแออัดเลยสักนิดและยังดูกว้างขวางสบายอย่างมาก
ต้องกล่าวก่อนเลยว่าแม้แต่ยอดฝีมือผู้ทรงพลังของดินแดนอ้างว้างอย่างซูเทียนหยาและฉีเจิ้นก็ยังต้องถอนหายใจเมื่อเข้ามาในคฤหาสน์เฟิงหัวหลังนี้
คฤหาสน์เฟิงหัวของฉินอวี้โม่เป็นคฤหาสน์ที่น่าตกตะลึงจนแทบหยุดหายใจอย่างแท้จริง ไม่ว่าจะเป็นสถาปัตยกรรมหรือรูปแบบโครงสร้าง บรรดายอดฝีมือเหล่านี้ก็ไม่เคยพบเห็นความสมบูรณ์แบบเช่นนี้มาก่อนเลย
“เฮ้อ บางคราข้าก็คิดว่าเราคงแก่เกินไป ในอดีตเมื่อนานมาแล้ว เรายังเป็นยอดฝีมืออันดับต้นๆของดินแดนอ้างว้างและเชื่อว่าพรสวรรค์ของเราโดดเด่นเกรียงไกรเหนือผู้อื่น ทว่าบัดนี้เมื่อเทียบกับเสี่ยวอวี้โม่ เราเป็นเพียงดาวดวงเล็กที่ส่องแสงอ่อนๆก็ว่าได้”
ฉีเจิ้นกล่าวพร้อมทอดถอนหายใจทว่าน้ำเสียงของเขาไร้ซึ่งความริษยาใดๆ ในทางกลับกัน วาจาของเขาเปี่ยมไปด้วยความชื่นชม
“ใช่แล้วล่ะ การจดจ่อสมาธิกับสิ่งใดสิ่งหนึ่งโดยสมบูรณ์เป็นเรื่องยากอย่างยิ่ง ทักษะการหลอมอุปกรณ์ของเสี่ยวอวี้โม่ยอดเยี่ยมเหนือผู้ใดจริงๆ เป็นเรื่องยากมากที่จะบรรลุระดับนี้ได้”
ซูเทียนหยาเองก็ถอนหายใจเบาๆด้วยน้ำเสียงที่มีแต่ความชื่นชมอย่างเต็มเปี่ยมเช่นกัน
เขาเข้าใจดีว่าการฝึกยุทธ์มิใช่เรื่องง่าย ใช่ว่าพรสวรรค์อันโดดเด่นจะหมายถึงพลังความแข็งแกร่งที่ยอดเยี่ยมเสมอไป หากแต่ยังต้องใช้ความหมั่นเพียรอย่างมากควบคู่กัน
การที่ฉินอวี้โม่ฝึกฝนจนบรรลุถึงระดับปัจจุบันนี้ได้จะขาดความเพียรพยายามไม่ได้เลย
นางคงจะฝึกฝนมาอย่างหนักและทุ่มเทมากกว่าคนอื่นเพื่อบรรลุระดับความแข็งแกร่งที่ทรงพลังเช่นนี้โดยไม่ทำให้สภาพร่างกายและพรสวรรค์อันแกร่งกล้าต้องสูญเปล่า
“ข้าได้ยินมาว่าเสี่ยวอวี้โม่เป็นผู้ใช้ข่ายอาคมด้วย ไม่ทราบว่านี่เป็นเรื่องจริงรึไม่?”
ฉู่เหิงเอ่ยถามด้วยความสงสัย
“ฮ่าๆๆ เป็นเรื่องจริง เสี่ยวโม่เอ๋อร์มีความเข้าใจในศาสตร์นี้พอสมควร ทว่ายังไม่ถึงขั้นแกร่งกล้าเท่าใดนัก”
ฉินเทียนยิ้มและเอ่ยตอบอย่างไม่ปิดบัง
“ข้าจะตั้งหน้าตั้งตารอวันที่เสี่ยวอวี้โม่จะได้ก้าวขึ้นไปในจุดสูงสุดของทั้งดินแดน”
เฟิงหรูเซียวยิ้มพร้อมกับแววตาแห่งความคาดหวังที่ฉายชัด
เมื่อได้ยินเช่นนั้น ทุกคนก็ยิ้มออกมาและตั้งตารอวันนั้นเช่นกัน
อีกฟากหนึ่งของคฤหาสน์เฟิงหัว ฉินอวี้โม่อยู่ในห้องของฉู่เจี๋ยและมองดูเด็กหนุ่มที่ยังคงหลับใหลด้วยความรู้สึกหมดหนทางเล็กน้อย
“นี่พี่เสี่ยวเจี๋ยก็หมดสติไปนานแล้ว ไม่รู้ว่าเขาจะตื่นขึ้นมาเมื่อไหร่”
ซูเสี่ยวจวิ้นมองฉู่เจี๋ยซึ่งนอนอยู่บนเตียงและยกมือขึ้นแตะใบหน้าของเขาพร้อมทอดถอนหายใจอย่างอดไม่ได้
ในช่วงหลังมานี้ ใบหน้าของฉู่เจี๋ยชมพูระเรื่อมากขึ้น แม้ว่าเขายังไม่ได้รับประทานอาหารอย่างเป็นกิจจะลักษณะ เขาก็ดูมีน้ำมีนวลมากขึ้น ยิ่งไปกว่านั้นดูเหมือนว่าความสูงของเขาจะเพิ่มมากขึ้นเช่นกัน
“ข้าก็ไม่รู้เหมือนกัน ถึงอย่างไรข้าก็มั่นใจว่าตอนนี้สถานการณ์ของพี่เสี่ยวเจี๋ยดีขึ้นมาก ข้าเชื่อว่าเขาจะตื่นในไม่ช้า”
เสี่ยวเหยียนยิ้มและเขย่ามือฉู่เจี๋ยเบาๆ นางเชื่อว่าอีกไม่นานเขาจะลืมตาตื่นขึ้นมา
ฉินอวี้โม่และคนอื่นๆต่างก็ยิ้มออกมาเช่นกัน สถานการณ์ของฉู่เจี๋ยดีขึ้นเรื่อยๆตามลำดับและเขาจะฟื้นในไม่ช้าอย่างแน่นอน
ทว่าในขณะที่ทุกคนพูดคุยและหัวเราะกันอย่างสบายใจ จู่ๆฉินอวี้โม่ก็ขมวดคิ้วเล็กน้อยและหานโม่ฉือก็ขมวดคิ้วเช่นกัน ดูเหมือนว่าทั้งสองจะสัมผัสได้ถึงอะไรบางอย่าง
“พวกเจ้าพูดคุยอยู่ที่นี่กันไปก่อน เราจะออกไปตรวจดูสักหน่อย ดูเหมือนจะมีใครบางคนมุ่งหน้าตรงเข้ามาหาพวกเราอย่างรวดเร็ว”
เมื่อกล่าวกับซูเสี่ยวจวิ้นและคนอื่นๆ ฉินอวี้โม่และหานโม่ฉือก็ก้าวออกไปเคียงข้างกัน ทั้งสองรู้สึกได้ว่ามีใครบางคนมุ่งหน้าตรงเข้ามาในทิศทางนี้อย่างรวดเร็วโดยไม่อาจรู้ได้ว่าคือผู้ใด
ซูเสี่ยวจวิ้นและคนอื่นๆไม่ได้เอ่ยถามสิ่งใดและเชื่อฟังแต่โดยดี จากภายในคฤหาสน์เฟิงหัวของฉินอวี้โม่ ทุกคนมองเห็นสถานการณ์ข้างนอกได้อย่างชัดเจนทว่าไม่สามารถสัมผัสถึงสภาวะพลังหรือบรรยากาศภายนอกได้
เพราะเหตุนั้น หากมีใครมุ่งหน้าใกล้เข้ามา พวกเขาเหล่านี้จะไม่สามารถสัมผัสได้
“จอมยุทธ์ฉินอวี้โม่ จอมยุทธ์หานโม่ฉือ การที่เกิดเรื่องใหญ่โตเช่นนี้ เหตุใดถึงไม่เรียกข้ามาร่วมสนุกด้วยเล่า?”
น้ำเสียงแกร่งกล้าดังขึ้นและฉินอวี้โม่มองเห็นบุรุษผู้หนึ่งขี่อสูรบินและถือกระบี่เล่มใหญ่ตรงเข้ามาใต้คฤหาสน์เฟิงหัว
เมื่อเห็นบุรุษผู้นั้นชัดขึ้น ฉินอวี้โม่ก็รู้สึกถึงความคุ้นเคยไม่น้อย หลังจากพิจารณาดู ชื่อหนึ่งก็ผุดขึ้นในหัว
“ลั่วเสวี่ยเหินรึ?”
ฉินอวี้โม่แปลกใจไม่น้อยเมื่อเห็นผู้ที่ปรากฏขึ้นมาตรงหน้า
ลั่วเสวี่ยเหินไม่ได้อยู่ในหุบเขาหงส์ร่วงหรอกหรือ เขาตามมาพบพวกนางจนถึงที่นี่ได้อย่างไร?
“ฮ่าๆๆ ดูเหมือนว่าจอมยุทธ์อวี้โม่จะยังจำข้าได้”
เมื่อเห็นฉินอวี้โม่ ลั่วเสวี่ยเหินก็ยิ้มกว้างพร้อมเอ่ยทักทาย
ก่อนหน้านี้ในการต่อสู้ที่หุบเขาหงส์ร่วง เขาและฉินอวี้โม่ประทับใจในความสามารถของกันและกันมาก ทว่าหลังจากนั้น ฉินอวี้โม่ก็ต้องแยกไปดำเนินตามเส้นทางของตัวเองในขณะที่เขาอยู่ที่หุบเขาหงส์ร่วงเพื่อจัดการดูแลสิ่งต่างๆ
เมื่อไม่นานมานี้ ในที่สุดเขาก็จัดการทุกอย่างได้เสร็จสิ้นและมุ่งหน้าไปที่เมืองเฟิงอวิ๋นก่อนได้รู้ข่าวว่าฉินอวี้โม่และคนอื่นๆกำลังจะเดินทางไปที่ทะเลไร้จุดจบ
เรื่องที่น่าตื่นเต้นเช่นนี้ แน่นอนว่าเขาก็ต้องการที่จะร่วมสนุกเช่นกัน ดังนั้นเขาจึงสั่งให้อสูรมายาของเขาบินตามมาอย่างรวดเร็ว
ลั่วเสวี่ยเหินก็ถือว่าเป็นยอดฝีมือที่แข็งแกร่งพอสมควรและมีอสูรมายาที่ทรงพลัง เพราะเหตุนั้นจึงไม่ยากที่เขาจะเดินทางมาถึงที่นี่ได้โดยที่ไม่ได้รับอันตรายใดๆ
และหลังจากเดินทางมาเป็นระยะเวลาถึงสามวันสามคืน ในที่สุดลั่วเสวี่ยเหินก็ตามฉินอวี้โม่และคนอื่นๆได้ทัน
“เข้าไปข้างในคฤหาสน์ก่อนเถอะ”
ฉินอวี้โม่ยิ้มทักทายลั่วเสวี่ยเหินและผายมือเชื้อเชิญเขาเข้าไปในคฤหาสน์เฟิงหัว
อย่างไรก็ตาม ก่อนที่นางจะตามเข้าไปข้างใน จู่ๆแรงกดดันอันทรงพลังก็พุ่งเข้ามาหาฉินอวี้โม่อย่างรวดเร็วจนนางต้องขมวดคิ้วมุ่น
ร่างของหานโม่ฉือก็กะพริบและปรากฏขึ้นตรงหน้าฉินอวี้โม่อย่างรวดเร็ว เขาโบกมือเหวี่ยงพลังมายาตรงไปปะทะกับแรงกดดันดังกล่าว
“ใครกัน? โผล่หัวออกมาเดี๋ยวนี้”
ฉินอวี้โม่เอ่ยขึ้นเบาๆ ทว่าพลังวิญญาณของนางก็แผ่ออกไปสำรวจทั่วบริเวณรอบๆเพื่อหาว่าคนผู้นั้นอยู่ที่ใด
“เหอะ หนูสกปรก”
หานโม่ฉือแค่นเสียงเย็นชาขณะเหวี่ยงพลังออกไปในทิศทางหนึ่ง
ตู้ม!
ทันใดนั้นก็เกิดเสียงดังสนั่นและดูเหมือนว่าใครบางคนปะทะตอบโต้กับหานโม่ฉือ
“เหอะ เป็นจริงอย่างที่ได้ยินมา เจ้าหนุ่มนี่อยู่ในขอบเขตเซียน ไม่แปลกใจเลยที่เจ้าสังหารผู้อาวุโสอวิ๋นขวงได้”
น้ำเสียงลึกลับดังขึ้นในโสตประสาทของฉินอวี้โม่ก่อนที่นางจะเห็นบุรุษเสื้อคลุมสีดำคนหนึ่งที่ปรากฏขึ้นมาและถูกปกคลุมอยู่ภายในชั้นหมอกหนาสีดำทะมึน
“หึ พวกคนจากฝ่ายมารนี่ทำตัวลับๆล่อๆกันทุกคนเลยรึ?”
เมื่อฉินอวี้โม่เห็นบุรุษผู้นั้น นางก็เอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงเย็นชาและมุ่งร้าย
“ฮ่าๆๆ นั่นคือสิ่งที่แสดงให้เห็นถึงความแตกต่างระหว่างขุมกำลังมารร้ายของเราและขุมกำลังอื่นๆ”
บุรุษคนนั้นยิ้มบางๆราวกับไม่แยแสคำพูดของฉินอวี้โม่เมื่อครู่
“ด้วยพลังแห่งความมืด พลังกัดกร่อนรวมถึงนิสัยที่ต่ำช้าของพวกเจ้า คาดการณ์ได้ว่าพวกเจ้าฝ่ายมารคงจะไม่มีญาติสนิทมิตรสหายเลยสินะ”
ฉินอวี้โม่ยิ้มและกล่าวประชดประชัน
สาเหตุที่ขุมกำลังมารร้ายถูกเรียกด้วยชื่อนี้เป็นเพราะพวกเขาได้ก่อกรรมทำชั่วมามากเกินจนนับไม่ได้ หากไม่ใช่เพราะพวกเขาเริ่มจุดชนวนกระตุ้นสงครามก่อน สถานการณ์ทั้งหมดคงไม่ลงเอยเช่นนี้
“นั่นไม่ใช่ธุระกงการอะไรของเจ้า เทพมายาคนใหม่”
คนผู้นั้นกล่าวอย่างเย็นชาและเปิดเผยตัวตนของฉินอวี้โม่อย่างไม่อ้อมค้อม
“โอ้ เจ้าก็รู้งั้นรึ?”
ฉินอวี้โม่ยิ้มอย่างยียวน นางไม่แปลกใจเลยสักนิดที่คนจากฝ่ายมารรู้เรื่องนี้
“ไม่คิดเลยว่าหลังจากเวลาล่วงเลยมานับพันปี เทพมายาคนใหม่จะปรากฏขึ้นจริงๆตามการคาดการณ์ของท่านผู้นำ และดูเหมือนว่าเทพมายาคนใหม่จะไม่ธรรมดาเลย”
บุรุษผู้นั้นชำเลืองมองฉินอวี้โม่และกล่าวออกมาด้วยวาจาที่ฟังดูราวกับมีการคาดการณ์ถึงเรื่องนี้ไว้ก่อนแล้ว
ฉินอวี้โม่ยิ้มโดยไม่พูดอะไร ทว่าหัวใจของนางมีความสงสัยเกิดขึ้นมากมาย
ดูเหมือนว่ามีหลายคนทีเดียวที่รู้เรื่องนี้ก่อนแล้ว นางจำได้ว่าตอนที่เข้ามาจุติในร่างนี้ อดีตเทพมายาก็เคยบอกนางว่าทุกอย่างเกิดขึ้นตามที่โชคชะตาฟ้าลิขิตไว้
หากเป็นเช่นนั้น.. หรือว่าการที่นางเข้ามาอยู่ในร่างนี้จะไม่ใช่เรื่องบังเอิญ หากแต่เป็นโชคชะตาฟ้าลิขิตจริงๆ?
ฉินอวี้โม่รู้สึกอยู่เสมอว่ามีความลับบางอย่างซ่อนอยู่ในร่างของตนเอง ทว่านางก็ไม่สามารถค้นหาคำตอบได้ในช่วงเวลานี้
“การที่พวกเจ้าชาวดินแดนอ้างว้างกำลังมุ่งหน้าไปที่เกาะของพวกเราอย่างเปิดเผยเช่นนี้ นี่พวกเจ้าคิดจะทำสงครามกับเรางั้นรึ?”
บุรุษคนนั้นชำเลืองมองคฤหาสน์เฟิงหัวถัดจากคนทั้งสามและกล่าวขึ้นโดยไม่หวาดหวั่น
“เหอะ ขุมกำลังมารร้ายของพวกเจ้าบุกรุกโจมตีดินแดนอ้างว้างของเราซ้ำแล้วซ้ำเล่า หากปล่อยให้พวกเจ้าหลงระเริงล่ะก็ ไม่รู้ว่าพวกเจ้าจะทำสิ่งชั่วร้ายอีกมากเพียงใด สงครามครานี้จะเป็นสงครามที่พวกเราจะกวาดล้างพวกขุมกำลังชั่วร้ายให้หมดสิ้น”
ฉินอวี้โม่ยิ้มอย่างไร้ซึ่งความเกรงกลัวและไม่ปิดบังเจตนาแต่อย่างใด ถึงอย่างไรแล้วการต่อสู้ก็หลีกเลี่ยงไม่ได้ ฝ่ายมารพวกนี้จะต้องถูกกำจัดให้สิ้นซาก!
“ฮ่าๆๆ ถ้าเป็นเช่นนั้น ข้าก็ต้องบอกให้เจ้ารู้ก่อนว่าการกำจัดพวกเราฝ่ายมารไม่ใช่เรื่องง่าย”
เมื่อบุรุษคนนั้นได้ยินคำพูดของฉินอวี้โม่ เขาก็ยิ้มอย่างยียวนและปรบมือเบาๆ
จากนั้นฉินอวี้โม่ก็พบว่ามีกลุ่มคนจำนวนมากที่เข้ามาล้อมรอบทั้งคนสองและคฤหาสน์เฟิงหัวไว้
“หากเจ้าต้องการบุกรุกไปที่เกาะของเรา ลองเผชิญกับข่ายอาคมแห่งความมืดของเราก่อนเถอะ !”
บุรุษผู้นั้นยิ้มเยาะก่อนที่ร่างของเขาจะถอยไปอยู่ข้างหลังกลุ่มคนผู้มาใหม่
จากนั้นฉินอวี้โม่ก็สัมผัสได้ถึงสภาวะพลังมืดที่แผ่ไปทั่วบริเวณและทุกคนรู้สึกราวกับถูกดูดกลืนเข้าในความมืดทะมึนจนมองไม่เห็นสิ่งใด
ยิ่งไปกว่านั้น ความมืดมิดนี้ก็ประหลาดอย่างที่สุด ต่อให้มีไข่มุกราตรีก็ไม่สามารถส่องสว่างท่ามกลางความมืดมิดนี้ได้
* 夜明珠 ไข่มุกราตรี ไข่มุกมหัศจรรย์ที่ สามารถเปล่งแสงในยามค่ำคืนได้
อย่างไรก็ตาม ฉินอวี้โม่รู้สึกได้ถึงหานโม่ฉือที่ยังอยู่ข้างกาย มือของทั้งสองยังคงจับกันแน่นไม่แยกจากกัน
สำหรับลั่วเสวี่ยเหิน ฉินอวี้โม่ได้ส่งเขาเข้าไปในคฤหาสน์ก่อนแล้ว ทว่าเขาไม่ได้เกรงกลัวเช่นกันว่าจะมีผู้ใดลอบโจมตีเขา
“เกิดอะไรขึ้น? ทำไมจู่ๆบรรยากาศถึงได้มืดหม่นเช่นนี้ได้? แล้วเหตุใดเราจึงมองไม่เห็นอะไรเลย?”
ภายในคฤหาสน์เฟิงหัว ทุกคนที่กำลังพูดคุยกันอย่างสบายๆก็ถูกครอบงำโดยความมืดมิดเช่นกัน
ทุกคนอดที่จะตกตะลึงไม่ได้ บางคนยังไม่เข้าใจอย่างแน่ชัดนักในขณะที่สีหน้ากังวลปรากฏบนใบหน้าของบางคนอย่างชัดเจน
“ดูเหมือนว่ามันจะมาจากข่ายอาคมของพวกฝ่ายมาร พวกเราควรออกไปช่วยพวกเขารึไม่?”
ฉินเทียนเอ่ยขึ้นเบาๆ เขาเองก็สังเกตเห็นถึงความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นข้างนอกและแน่นอนว่าเขาคาดเดาได้ว่ามันคือข่ายอาคมของขุมกำลังมารร้าย
“ท่านพ่อ อยู่ในคฤหาสน์เถอะเจ้าค่ะ รอดูข้าทำลายข่ายอาคมนี้เถอะ”
ทันใดนั้น เสียงของฉินอวี้โม่ก็ดังขึ้นในหูของทุกคน น้ำเสียงของนางเปี่ยมด้วยความมั่นใจ ดูเหมือนว่าข่ายอาคมของฝ่ายมารนี้เป็นเพียงสิ่งเล็กๆน้อยๆสำหรับนาง
. .