“ดูน่าสะพรึงกลัวจริงๆ นั่นมันคืออะไรกัน?!”
เมื่อสัมผัสถึงพลังมหาศาลในวังวนทมิฬ จอมยุทธ์ผู้แข็งแกร่งของดินแดนอ้างว้างก็มีสีหน้าบิดเบี้ยว เขารู้สึกถึงแรงดึงดูดแกร่งกล้าที่พยายามดึงเขาเข้าไปในวังวนทมิฬ
หากถูกดูดเข้าไปในวังวนทมิฬ ความตายก็แทบจะแน่นอน
“ฮ่าๆๆ พวกเจ้าคิดว่าขุมกำลังมารร้ายของพวกเราจะถูกรังแกได้ง่ายๆงั้นรึ?! เจ้าฆ่าผู้อาวุโสหลาน หากชีวิตของพวกเจ้าไม่จบลงที่นี่ เราจะแสดงความเคารพต่อวิญญาณของผู้อาวุโสหลาน ผู้อาวุโสอวิ๋นขวงรวมถึงศิษย์ผู้กล้าทั้งหลายได้อย่างไร?! “
ขณะมองหยินหึน ฉินอวี้โม่และคนอื่นๆ คนจากฝ่ายมารก็แผ่พลังมุ่งร้ายออกมาอย่างไม่ปิดบัง
“อ๊ากกก!”
ทันใดนั้น จอมยุทธ์คนหนึ่งของดินแดนอ้างว้างที่มีพลังอยู่ในระดับทั่วไปก็ส่งเสียงร้องออกมา เป็นเพราะเขาอยู่ใกล้กับวังวนทมิฬมากเกินไป เขาจึงถูกดูดเข้าไปอย่างกะทันหัน
และผู้ที่ถูกดึงดูดเข้าไปพร้อมกับเขาคือก็ศิษย์คนหนึ่งของฝ่ายมาร
ร่างของทั้งสองดิ้นรนอยู่ในวังวนดังกล่าวครู่หนึ่งก่อนกลายเป็นเถ้าถ่านล่องลอยและอันตรธานหายไปต่อหน้าทุกคน
“ช่างเป็นพลังที่รุนแรงยิ่งนัก!”
เมื่อเห็นว่าร่างของคนทั้งสองแหลกสลายจนไม่เหลือแม้แต่เศษเสี้ยว ใครคนหนึ่งก็อดถอนหายใจไม่ได้และรีบถอยออกไปให้ห่างจากวังวนนั้นอย่างรวดเร็ว
อย่างไรก็ตาม จู่ๆแขนข้างหนึ่งก็ปรากฏขึ้นจากวังวนทมิฬและคว้าหมับเข้าที่ร่างของคนผู้นั้นทันที
“อ๊ากกก!”
คนผู้นั้นยังไม่ทันได้ตอบโต้ใดๆ เขาก็ถูกดึงดูดเข้าไปในวังวนทมิฬและหายวับไปอย่างไร้ร่องรอยเช่นกัน
“อึก…”
ความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นอย่างกะทันหันนี้ทำให้ผู้คนที่มองดูอยู่ถึงกับกลืนน้ำลายไปตามๆกัน พวกเขาไม่อาจสรรหาคำพูดใดออกมาได้
วังวนทมิฬนี้ทรงพลังมากเกินไปจนแม้แต่พวกเขาที่จัดว่าเป็นยอดฝีมืออันดับต้นๆของดินแดนอ้างว้างก็ยังรู้สึกว่ายากเกินต้านทาน
ฉินอวี้โม่และคนอื่นๆขมวดคิ้วมุ่นเช่นกัน ทุกคนสัมผัสได้ว่าพลังจากวังวนทมิฬนี้ทำให้หวั่นใจได้ไม่น้อย
“ทุกคนอย่าขยับ! ดูเหมือนว่าวังวนทมิฬนี้จะสัมผัสได้ถึงการเคลื่อนไหวของพวกเราทุกคน ถ้าขยับตัวเมื่อไหร่ มือนั่นจะโผล่ออกมาและดึงเราเข้าไป”
คนอีกสามคนถูกดึงเข้าไปในวังวนโดยแขนที่ปรากฏออกมาอย่างกะทันหัน เมื่อไตร่ตรองดูครู่หนึ่ง หานโม่ฉือก็สังเกตเห็นถึงรูปแบบบางอย่างและเอ่ยเตือนทุกคนทันที
เมื่อได้ยินเช่นนั้น แม้ว่าทุกคนจะรู้สึกประหลาดใจ ทว่าพวกเขาก็เชื่อฟังและหยุดเคลื่อนไหวทันที ไม่มีผู้ใดกล้ากระทำสิ่งใดอย่าบุ่มบามไม่ยั้งคิด
และก็เป็นอย่างที่คาดไว้จริงๆ เมื่อไม่มีผู้ใดเคลื่อนไหว มือลึกลับในวังวนก็ไม่ปรากฏให้เห็นอีก
“เหอะ ถือว่าฉลาดไม่เบา ทว่า..คิดรึว่าพวกข้าจะปล่อยให้พวกเจ้ายืนอยู่เฉยๆได้?”
ผู้นำของฝ่ายมารแค่นเสียงเย็นชาและออกคำสั่งกับบรรดาศิษย์ของตนเอง “เริ่มการโจมตี อย่าปล่อยให้ผู้ใดอยู่เฉยได้ ผู้ใดที่ทำผลงานได้ยอดเยี่ยม เมื่อสิ้นสุดสงครามครานี้ พวกเจ้าจะได้รับรางวัลอย่างงาม!”
เมื่อได้ยินคำสั่งของเขา คนจากฝ่ายมารก็มองหน้ากันครู่หนึ่งก่อนที่พวกเขาจะเริ่มทำการโจมตีฝ่ายตรงข้ามในทันที
อย่างไรก็ตาม จู่ๆก็เกิดบางอย่างที่คาดไม่ถึง แม้ว่าพวกเขาจะทำการโจมตีฝ่ายดินแดนอ้างว้าง ก็เหมือนว่าวังวนทมิฬจะไม่ได้สัมผัสถึงการเคลื่อนไหวของพวกเขาและแขนลึกลับไม่โผล่ออกมา
ทว่าเมื่อจอมยุทธ์ฝ่ายดินแดนอ้างว้างถูกโจมตีจนต้องขยับตัว แขนขนาดใหญ่ในวังวนก็ปรากฏขึ้นอีกครั้งและยื่นออกมาเพื่อคว้าร่างของเขาเข้าไป
“ดูเหมือนว่าสาเหตุที่มือยักษ์นั่นไม่มีปฏิกิริยาตอบสนองต่อพวกเขา เป็นเพราะพวกเขาบ่มเพาะพลังแห่งความมืดมา!”
ฉินเทียนขมวดคิ้วเล็กน้อยและพบเหตุผลของสิ่งที่เกิดขึ้นได้ทันที
“หากยังเป็นเช่นนี้ต่อไป ฝ่ายเราจะต้องสูญเสียคนไปมากแน่ๆ!”
ซูเทียนหยาเองก็ขมวดคิ้วเช่นกัน สีหน้าของเขาเหยเกเล็กน้อยและพยายามไตร่ตรองหาวิธีตอบโต้อย่างรวดเร็ว
ฉินอวี้โม่คิดหาทางแก้ไขปัญหาสำหรับตอนนี้ได้แล้วและนางก็คิดว่าไม่มีทางใดที่จะเหมาะสมไปกว่านี้อีก
“ทุกคนรีบเข้าไปในคฤหาสน์เฟิงหัวเร็วเข้า หากพวกเรายังหาทางทำลายวังวนนี่ไม่ได้ ก็จะต้องมีคนตายมากขึ้นเรื่อยๆ!”
ฉินอวี้โม่เอ่ยขึ้นพร้อมกับคฤหาสน์เฟิงหัวที่ปรากฏกลางอากาศ
คฤหาสน์เฟิงหัวขับเคลื่อนด้วยพลังฟ้าดิน แรงดึงดูดของวังวนทมิฬจึงไม่ส่งผลต่อมัน
เมื่อได้ยินวาจาของฉินอวี้โม่ แน่นอนว่าทุกคนไม่กล้ารอช้าและรีบมุ่งหน้าตรงเข้าไปในคฤหาสน์หลังน้อยอย่างรวดเร็ว
“เหอะ รอดูข้าทำลายคฤหาสน์เฟิงหัวของเจ้าเถอะ!”
บุรุษที่เป็นผู้นำของฝ่ายมารแค่นเสียงอีกครั้งและก้อนสีดำขนาดใหญ่ก็ปรากฏในมือของเขาก่อนพุ่งตรงเข้าใส่คฤหาสน์เฟิงหัว
“หากข้ายังไม่อนุญาต เจ้าก็ฝันไปก่อนเถอะ!”
หานโม่ฉือเอ่ยเสียงเบาและก้อนน้ำแข็งปรากฏขึ้นในมือของเขาก่อนประจันหน้าเข้ากับก้อนสีดำทะมึน
ทว่าเมื่อเขาขยับเขยื้อน แขนขนาดใหญ่จากวังวนทมิฬก็โผล่ออกมาหมายจะคว้าร่างของเขา
“เหอะ หากคิดจะแตะต้องนายท่านของข้า เจ้าก็ต้องผ่านด่านข้าก่อน!”
จู่ๆกิเลนอัคคีของหานโม่ฉือก็ปรากฏตัวและกลุ่มเพลิงปะทุออกไปส่งผลให้แขนดังกล่าวดึงถอยกลับไปอย่างรวดเร็ว
“นายท่าน ข้ามาได้ทันเวลาพอดี!”
หลังจากทำให้แขนขนาดใหญ่ถอยกลับไปได้ กิเลนอัคคีก็ยิ้มและกล่าวกับผู้เป็นนาย
ก่อนหน้านี้ดูเหมือนว่าหานโม่ฉือจะสั่งให้มันไปจัดการอะไรบางอย่าง กิเลนสง่างามตัวนี้จึงไม่ได้ปรากฏให้เห็น บัดนี้เมื่อจัดการสิ่งต่างๆเสร็จสิ้น มันจึงรีบกลับมาอย่างรวดเร็ว
ไม่คิดเลยว่าทันทีที่มาถึง กิเลนจะได้เห็นแขนลึกลับที่โผล่ออกมาจากวังวนทมิฬ มันจึงไม่ลังเลที่จะใช้พลังเพื่อทำให้แขนนั่นถอยกลับไป
“วังวนทมิฬ ข้าไม่คิดเลยว่าฝ่ายมารจะมีวิชาที่ทรงพลังเช่นนี้!”
เมื่อเห็นวังวนตรงหน้า กิเลนอัคคีก็รู้ได้ทันทีก่อนกล่าวด้วยความประหลาดใจ “นายท่าน วังวนทมิฬนี้ทำลายได้ไม่ยากนัก ตรงจุดศูนย์กลางของมันน่าจะมีผลึกทมิฬอยู่ แค่เพียงทำลายผลึกทมิฬนั่น วังวนก็จะถูกทำลายไปเช่นกัน”
เมื่อได้ยินคำพูดของกิเลน จอมยุทธ์ฝ่ายมารทั้งสองก็ชะงักเล็กน้อยอย่างเห็นได้ชัด ดูเหมือนว่าสิ่งที่กิเลนพูดจะเป็นความจริง
“เจ้ากิเลนทึ่มเอ๋ย ช่างพูดจาไร้สาระจริงเชียว แค่เข้าไปใกล้วังวนทมิฬ เจ้าก็จะหายไปจากโลกนี้แล้ว แล้วเจ้าจะทำลายผลึกทมิฬได้อย่างไร?”
เสียงของหานอวี้ดังขึ้นและร่างของมันปรากฏกายตรงหน้าหานโม่ฉือ
“ท่านพ่อ”
มังกรน้อยโค้งคำนับให้กับหานโม่ฉือ
มันไม่เคยลืมเลือนว่าหานโม่ฉือคือ ‘บิดา’ ของมัน ยิ่งไปกว่านั้น บัดนี้หานโม่ฉือและฉินอวี้โม่แต่งงานกันอย่างเป็นทางการแล้ว การเอ่ยเช่นนี้ถือว่าสมเหตุสมผล
“มังกรทองห้าเล็บงั้นรึ?”
กิเลนอัคคีสัมผัสได้ถึงพลังบนร่างหานอวี้และถึงกับผงะไปเล็กน้อย มันไม่เคยพบหานอวี้มาก่อน เพราะเหตุนั้นมันจึงรู้สึกประหลาดใจพอสมควร
“เจ้าคืออสูรคู่กายของท่านพ่องั้นรึ?”
หานอวี้มองสำรวจกิเลนตรงหน้าอย่างพินิจพิจารณาก่อนพยักหน้าและกล่าวต่อ “ใช้ได้ พลังของเจ้าถือว่าดีทีเดียว พอจะคู่ควรกับสถานะอันสูงส่งของท่านพ่อ”
เมื่อได้ยินน้ำเสียงเชิงตรวจจับของหานอวี้ กิเลนอัคคีถึงกับพูดไม่ออกทันที
มันคือสิ่งมีชีวิตที่มีสายเลือดระดับสูงในเผ่าพันธุ์กิเลน—กิเลนอัคคี ในแง่ของศักยภาพในการพัฒนาและความบริสุทธิ์ของสายเลือดนั้น มันไม่ด้อยไปกว่าหานอวี้เลยสักนิด
อย่างไรก็ตาม มันก็รู้ว่าหานอวี้คืออสูรมายาของฉินอวี้โม่และยังอายุน้อยมาก มันจึงไม่ได้รู้สึกโกรธเคืองเพราะคำพูดของมังกรน้อยตัวนี้
ยิ่งไปกว่านั้น สิ่งที่หานอวี้พูดออกมาก็ถือว่ามีความจริงอยู่พอสมควร สำหรับวังวนทมิฬตรงหน้า การทำลายมันมิได้ง่ายเหมือนกับคำพูด
ในขณะที่พูดคุยกันอยู่นั้น นอกเหนือจากฉินอวี้โม่ หานโม่ฉือ ฉินเทียน หยินหึน ซูเทียนหยา ฉีเจิ้น ฉู่เหิงและเฟิงหรูเซียว ทุกคนจากดินแดนอ้างว้างต่างก็เข้าไปในคฤหาสน์เฟิงหัวแล้ว
คนที่เหลือเหล่านี้ล้วนเป็นจอมยุทธ์ผู้แกร่งกล้า ดังนั้นจึงไม่มีคนจากฝ่ายมารคนใดที่กล้าโจมตีพวกเขาในตอนนี้
“ท่านพ่อ พวกท่านทั้งหลายเข้าไปข้างในเถอะเจ้าค่ะ ส่วนเรื่องข้างนอกนี่ ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของข้าและโม่ฉือเอง”
ฉินอวี้โม่มองบิดาและจอมยุทธ์คนอื่นพร้อมกล่าว
แม้ว่าพวกเขาสามารถถอยเข้าไปหลบซ่อนในคฤหาสน์เฟิง มันก็ไม่ใช่วิถีชีวิตของพวกเขา ในสถานการณ์เช่นนี้ หากพวกเขาล่าถอยออกไป เกรงว่าฝ่ายมารจะได้เปรียบมากยิ่งขึ้นอีก
“ไม่ วังวนทมิฬนี้ดูน่าสะพรึงกลัวจริงๆ ทว่ามันก็ไม่ได้ทำให้พวกเรากลัว บัดนี้มีพวกฝ่ายมารที่เฝ้าดูสถานการณ์อยู่เป็นจำนวนมาก พวกเราจะอยู่ช่วยข้างนอกนี่”
ฉินเทียนส่ายศีรษะพร้อมกล่าวอย่างแน่วแน่ เขาไม่มีความคิดที่จะเข้าไปในคฤหาสน์เฟิงหัว
“ถูกต้อง ไม่ต้องห่วงพวกเราหรอก พวกเราจะระวังตัวเป็นอย่างดี”
หยินหึนและคนอื่นๆพยักศีรษะเช่นเดียวกัน แม้ว่าพวกเขาจะหวั่นใจกับวังวนทมิฬนี้อยู่เล็กน้อย พวกเขาก็มิได้หวาดกลัว
“เหอะ ฉินอวี้โม่ ต่อให้เจ้าจะรู้วิธีทำลายมัน ข้าก็อยากจะเห็นนักว่าเจ้าจะทำสำเร็จได้ยังไง”
ผู้นำของฝ่ายมารและผู้อาวุโสอีกคนแค่นเสียงและกล่าวอย่างเย็นชา เห็นได้ชัดว่าพวกเขาไม่เชื่อว่าฝ่ายของฉินอวี้โม่จะทำลายวังวนนี้ได้จริง
“ฮิๆๆ ถ้างั้นก็จับตาดูให้ดี”
ฉินอวี้โม่หัวเราะเบาๆก่อนที่ร่างของนางจะพุ่งออกไปและค่อยๆเข้าไปใกล้วังวนทมิฬ
แต่ทว่า… เหตุการณ์ประหลาดเกิดขึ้นอีกครา วังวนดังกล่าวดูจะไม่รู้สึกถึงตัวตนของฉินอวี้โม่และแขนยักษ์ใหญ่ก็ไม่ปรากฏให้เห็น
เมื่อฉินเทียนและคนอื่นๆเห็นสิ่งที่เกิดขึ้น พวกเขาก็มองหน้ากันและเข้าใจบางอย่างได้ทันที
กายเทพมายามีคุณสมบัติและพลังที่หลากหลาย เช่นนั้นแล้วอาจเป็นเพราะกายเทพมายานี้ที่ทำให้วังวนทมิฬไม่รู้สึกถึงตัวตนของฉินอวี้โม่
ขณะค่อยๆเข้าไปใกล้วังวนตรงหน้า ฉินอวี้โม่ก็รู้สึกได้ถึงแรงดึงดูดที่มหาศาล
หานโม่ฉือมองนางอย่างเป็นกังวลเช่นกันทว่าไม่คิดห้ามปราม
เขาเข้าใจดีว่าสตรีคนรักมีความดื้อรั้นและยืนกรานในสิ่งที่ต้องการทำ และสิ่งที่เขาทำได้ก็คือสนับสนุนฉินอวี้โม่อย่างเงียบๆและช่วยขัดขวางอุปสรรคขวากหนามที่อาจมาเยือน
ยิ่งไปกว่านั้น เนื่องจากรู้ถึงความมหัศจรรย์ของกายเทพมายา หานโม่ฉือจึงคาดหวังว่าฉินอวี้โม่จะทำลายวังวนนี้ได้เช่นกัน
“ทุกคนหยุดนางเดี๋ยวนี้!”
สีหน้าของยอดฝีมือขอบเขตเซียนทั้งสองของฝ่ายมารเปลี่ยนไปเล็กน้อย พวกเขาไตร่ตรองได้ถึงเรื่องนี้เช่นกันและเริ่มเป็นกังวลขึ้นมา
“ไปช่วยอวี้โม่ขัดขวางคนพวกนั้นกันเถอะ”
ฉินเทียนและคนอื่นๆมองหน้ากันก่อนที่หยินหึนจะเอ่ยขึ้นมา
ทุกคนพยักศีรษะอย่างพร้อมเพรียงกันและเข้าใจดีว่าต้องทำสิ่งใดต่อไป
“กิเลน เจ้ามีหน้าที่ในการขัดขวางมือยักษ์จากวังวนนั่น อย่าให้มันดึงใครเข้าไปได้”
หานโม่ฉือออกคำสั่งก่อนพุ่งตรงไปอยู่ข้างฉินอวี้โม่ เขาคว้ามือบางมาจับไว้และค่อยๆตรงเข้าไปในวังวนทมิฬเคียงข้างกัน
ครานี้วังวนมิได้โจมตีหานโม่ฉืออีก เป็นเพราะทันทีที่เขาจับมือกับฉินอวี้โม่ ทั้งสองได้ถูกครอบงำโดยพลังของกายเทพมายาที่วังวนทมิฬตรวจจับไม่ได้
หยินหึนก็เข้าปะทะกับผู้นำของฝ่ายมารเช่นกันในขณะที่หานอวี้และอสูรอื่นๆโจมตียอดฝีมือขอบเขตเซียนอีกหนึ่งคนอย่างดุดันเพื่อขัดขวางเขาไว้
ฉินเทียนและคนอื่นๆก็พยายามอย่างสุดความสามารถเพื่อต้านท้านการโจมตีจากสมาชิกคนอื่นๆของฝ่ายมาร
กิเลนอัคคีคอยสังเกตการเคลื่อนไหวของวังวนทมิฬ เมื่อใดที่แขนยักษ์ใหญ่ปรากฏออกมา มันจะขัดขวางไว้และทำให้มือนั่นต้องถอยหนีไปเช่นเดิม
ด้วยการร่วมมือกันอย่างรู้ใจตรงกันของทุกคน การต่อสู้ก็ติดอยู่ในสภาวะชะงักงันไปชั่วขณะ
บรรดาคนจากฝ่ายมารไม่สามารถหยุดฉินอวี้โม่และหานโม่ฉือไม่ให้เข้าใกล้วังวนทมิฬได้ ในขณะเดียวกัน ฉินเทียนและคนอื่นๆก็ทำได้เพียงแค่ขัดขวางพวกเขาอย่างสุดความสามารถโดยที่ไม่สามารถก่อให้เกิดความเสียหายรุนแรงใดๆต่อฝ่ายตรงข้ามได้เลย
กุญแจสำคัญในการต่อสู้ครานี้ก็คือร่างกายของฉินอวี้โม่