“อวี้โม่ ข้าจะช่วยเจ้าเอง”
หานโม่ฉือขวางกรงเล็บของเทาเที่ยไว้ได้ทัน ทว่าสีหน้าของเขาบิดเบี้ยวเล็กน้อย
พลังของเทาเที่ยตัวนี้แกร่งกล้าเกินไปจนแม้แต่หานโม่ฉือซึ่งมีพลังอยู่ในขอบเขตเซียนก็ไม่มั่นใจว่าจะจัดการกับมันได้หรือไม่
“โม่ฉือ พื้นที่มืดนี้แปลกประหลาดยิ่งนัก ข้าโจมตีเทาเที่ยตัวนี้และผลึกทมิฬไม่ได้เลย”
ฉินอวี้โม่จับมือหานโม่ฉือและถอยออกไปอย่างรวดเร็วพร้อมบอกเล่าสิ่งที่ค้นพบให้เขาได้ทราบ
หานโม่ฉือพยักศีรษะเบาๆ เมื่อครู่เขาเองก็ค้นพบความประหลาดจากข้างนอกเช่นกัน ทุกสิ่งทุกอย่างในพื้นที่มืดนี้ราวกับเป็นอมตะและไม่มีวันตาย การโจมตีของจอมยุทธ์ทั้งสองทำอะไรพวกมันไม่ได้เลยสักนิด
“วี๊ดดดดดด!”
ผลึกทมิฬปรากฏกายอีกคราโดยครานี้มันปรากฏเหนือหัวของเทาเที่ย มันส่งเสียงประหลาดตรงมาที่ฉินอวี้โม่และหานโม่ฉือโดยที่ทั้งสองก็ไม่อาจทราบได้ว่ามันกำลังพยายามสื่อสารสิ่งใด
ทั้งสองสบตากันและพยักศีรษะอย่างเข้าใจกันโดยไม่ต้องเอ่ย
ทั้งสองไม่ใช้กระบวนท่าธรรมดาเพื่อโจมตีอย่างไร้ประโยชน์อีกต่อไป หากแต่ยืนหันหลังชนกันพร้อมหลับตาลง
จากนั้นพลังมหาศาลก็เอ่อล้นมาจากร่างของฉินอวี้โม่และหานโม่ฉือก่อนที่จะแผ่ออกไปเป็นวงกว้าง
ภายในพริบตา ทั้งสองก็คิดวิธีการตอบโต้ขึ้นมาได้ ทั้งสองเชื่อว่าเทาเที่ยตัวนี้อยู่ในรูปของจิตวิญญาณ การจัดการกับมันจึงต้องใช้พลังวิญญาณ ซึ่งพลังธรรมดาทั่วไปไม่สามารถที่จะโจมตีมันได้
จากนั้นพลังวิญญาณของฉินอวี้โม่และหานโม่ฉือก็พุ่งออกไปโจมตีเทาเที่ยโดยตรงจนมันส่งเสียงร้องดังสนั่นออกมา
แน่นอนว่าเทาเที่ยต้องการโจมตีตอบโต้จอมยุทธ์ทั้งสอง ทว่าด้วยพลังวิญญาณที่ผสานกันอย่างแกร่งกล้า มันจึงไม่มีทางตอบโต้ได้เลย
เมื่อเห็นว่าเทาเที่ยเริ่มเสียเปรียบ ผลึกทมิฬซึ่งเห็นเหตุการณ์ทั้งหมดก็เริ่มกังวลอย่างเห็นได้ชัด
มันจึงไม่ลังเลและพุ่งตรงเข้าใส่ฉินอวี้โม่และหานโม่ฉือโดยตรงราวกับต้องการทำลายการโจมตีของคนทั้งสอง
เพียงแต่ก่อนที่มันจะเข้าใกล้ได้ วงล้อมเพลิงก็ปรากฏขึ้นรอบตัวเพื่อปกป้องคนทั้งสองไว้อย่างสมบูรณ์
ผลึกทมิฬมีท่าทีหวาดหวั่นต่อเพลิงเหล่านั้นอย่างเห็นได้ชัดและถึงกับชะงักจนไม่กล้าเข้าใกล้ไปช่วงหนึ่ง
ฉินอวี้โม่และหานโม่ฉือสามารถสร้างแรงกดดันจนเทาเที่ยถอยไปได้ พลังวิญญาณที่รวมกันของทั้งสองทรงพลังอย่างยิ่ง ทว่าหากเป็นเพียงคนใดคนหนึ่ง พลังที่แผ่ออกมาก็อาจไม่เพียงพอที่จะเป็นคู่ต่อสู้ของเทาเที่ย อย่างไรก็ตาม ด้วยพลังวิญญาณแรงกล้าที่ทั้งสองผสานรวมกัน เทาเที่ยก็ไร้ซึ่งพลังในการโต้ตอบ
“อ๊ากกกก!”
เมื่อสิ้นเสียงร้องโหยหวนยาว ฉินอวี้โม่และหานโม่ฉือก็ค่อยๆลืมตาด้วยท่าทางที่เหนื่อยล้าพอสมควร
ใบหน้าของฉินอวี้โม่ดูซีดเซียวเล็กน้อย ก่อนหน้านี้นางติดพันอยู่กับผลึกทมิฬและเมื่อครู่ก็ต้องใช้พลังอย่างมากเพื่อกำจัดเทาเที่ย แน่นอนว่าพลังของนางสูญเสียไปไม่น้อย
หานโม่ฉือมีสภาพที่ดีกว่านางเล็กน้อย เนื่องจากระดับพลังของเขาแข็งแกร่งกว่าฉินอวี้โม่มาก แม้ว่าการโจมตีเมื่อครู่ทำให้เขาสูญเสียพลังงานไปพอสมควร มันก็ไม่ถือว่ามากเกินไปสำหรับเขา
ทั้งสองสบตากันและยิ้มออกมาอย่างรู้กันเมื่อเทาเที่ยที่แข็งแกร่งตรงหน้ากลายเป็นเถ้าถ่านและอันตรธานหายไป
เดิมทีเทาเที่ยเป็นอสูรที่ก่อตัวมาจากพลังวิญญาณ บัดนี้เมื่อถูกโจมตีโดยพลังวิญญาณที่ทรงพลังกว่า มันจึงสลายหายไปในอากาศอย่างรวดเร็ว
“วี๊ดดดด! วี๊ดดดด!”
เมื่อเทาเที่ยสลายไป ผลึกทมิฬก็ส่งเสียงประหลาดออกมาอีกครา ทว่าครานี้เสียงของมันฟังดูกระตือรือร้นยิ่งขึ้นกว่าเดิม
“เหอะ ดูสิว่าเจ้าจะหนีไปได้อีกรึไม่”
ฉินอวี้โม่แค่นเสียงเย็นชาก่อนที่พลังมายาจะก่อตัวกลายเป็นตาข่ายพลังที่พุ่งตรงไปที่ผลึกทมิฬ
ทว่าเมื่อผลึกทมิฬเห็นตาข่ายพลังนั้น ร่างของมันก็อันตรธานหายไปต่อหน้าต่อตาฉินอวี้โม่
เพียงแต่บัดนี้ฉินอวี้โม่แสดงสีหน้าแววตาที่มั่นใจอย่างเต็มเปี่ยม
“กลับมานี่”
หานโม่ฉือเอ่ยขึ้นเบาๆและตาข่ายขนาดใหญ่ปรากฏขึ้นเพื่อจับผลึกทมิฬที่หายวับไปและดึงกลับเข้ามาหาตนเองและฉินอวี้โม่
“วี๊ดดดดด!”
การที่ถูกจับได้อย่างกะทันหันทำให้ผลึกทมิฬตกใจอย่างมาก เมื่อเข้าใกล้คนทั้งสอง มันก็ส่งเสียงแหลมประหลาดออกมาอีกครั้ง
“อวี้โม่ ใช้เพลิงจักรพรรดิเผาละลายมันซะ”
หานโม่ฉือกล่าวพร้อมรอยยิ้ม เพลิงจักรพรรดิของฉินอวี้โม่สามารถเผาผลึกทมิฬให้ละลายได้ทว่ามันต้องใช้เวลาพอสมควร
ฉินอวี้โม่พยักศีรษะก่อนที่เพลิงปรากฏขึ้นในมือและกำลังจะแผดเผาผลึกทมิฬ
ทว่าในเวลานี้ก็เกิดการเปลี่ยนแปลงที่ผิดปกติขึ้นอย่างกะทันหัน ผลึกทมิฬดูราวกับได้รับคำสั่งจากบางสิ่งบางอย่าง จู่ๆมันก็กลายเป็นหินและขยายใหญ่ขึ้นอย่างรวดเร็ว
“ไม่นะ มันกำลังจะระเบิดตัวเอง!”
สีหน้าของฉินอวี้โม่เปลี่ยนไปเล็กน้อย เพลิงของนางแผดเผาไปที่ผลึกทมิฬทว่ากลับไม่เกิดปฏิกิริยาใดๆ
สีหน้าของหานโม่ฉือก็ไม่สู้ดีนักเช่นกัน เขาหันไปสบตาสตรีคนรักด้วยแววตาแน่วแน่ราวกับได้ตัดสินใจบางอย่าง
“อวี้โม่ เจ้าออกไปก่อนเถอะ”
ขณะกล่าวกับฉินอวี้โม่ พลังแกร่งกล้าในมือของหานโม่ฉือก็ปะทุออกมาและห่อหุ้มรอบผลึกทมิฬ
ฉินอวี้โม่เข้าใจดีว่าหานโม่ฉือหมายถึงอะไร นางจึงส่ายศีรษะทันที “เจ้าเคยกล่าวว่าเราจะอยู่และตายไปด้วยกัน”
หากผลึกทมิฬนี้ระเบิดออก พลังของมันจะมหาศาลจนเหนือจินตนาการเป็นแน่ เมื่อถึงตอนนั้น ทั้งดินแดนอ้างว้างอาจจะได้รับผลกระทบจากพลังแห่งความมืด ยิ่งไปกว่านั้น มันก็มีหมอกกร่อนวิญญาณอยู่เช่นกัน หากผู้ใดบังเอิญไปสัมผัสเข้า มันก็อาจจะอันตรายจนถึงแก่ชีวิต
หานโม่ฉือและฉินอวี้โม่มิใช่วีรบุรุษผู้กอบกู้โลกที่จะต้องช่วยทุกคนไว้ ทว่าทั้งสองมีญาติพี่น้องและมิตรสหายในดินแดนอ้างว้าง แน่นอนว่าทั้งสองไม่อาจทนเห็นสิ่งนั้นเกิดขึ้นได้
เพราะเหตุนั้น ทั้งสองจึงเข้าใจกันโดยไม่ต้องใช้คำพูดว่าจะต้องบรรเทาพลังที่เกิดจากการระเบิดของผลึกทมิฬและบรรเทาความเสียหายต่อดินแดนอ้างว้างให้อยู่ในระดับต่ำที่สุด
“ไม่ต้องห่วง ข้าไม่ตายหรอก เจ้าออกไปก่อนเถอะ รีบพาท่านพ่อตาและคนอื่นๆไปจากที่นี่ เชื่อใจข้า”
แม้ว่าเขาเคยกล่าวไว้ว่าจะ ‘อยู่และตายไปด้วยกัน’ ทว่าเมื่อเผชิญกับสถานการณ์เช่นนี้ เขาก็ยังต้องการให้สตรีคนรักหลบหนีออกไปจากที่นี่ก่อน
ยิ่งไปกว่านั้น แม้ว่ายังไม่มั่นใจนัก เขาก็เชื่อว่ายังมีแสงแห่งความหวังท่ามกลางวิกฤตนี้อยู่ หานโม่ฉือเชื่อมั่นในตัวเองและเชื่อว่าจะหลบหนีจากสถานการณ์นี้ได้
เมื่อได้ยินวาจาของหานโม่ฉือ ฉินอวี้โม่ก็ลังเลใจทว่าก็พยักศีรษะในที่สุด
นางเชื่อมั่นในตัวหานโม่ฉือและเชื่อว่าจะไม่มีเรื่องร้ายใดเกิดขึ้น
“อวี้โม่ หากข้าหายตัวไป มันไม่ได้หมายความว่าข้าตาย หากเจ้าไม่พบข้า..จงไปที่ดินแดนเทพมายา.. เชื่อข้าเถอะ เราจะได้พบกันอย่างพร้อมหน้าพร้อมตาที่นั่น”
หานโม่ฉือกล่าวกับฉินอวี้โม่อย่างมั่นใจ หากว่าเกิดสิ่งใดขึ้นกับเขา เขาหวังว่าฉินอวี้โม่จะมีศรัทธาและยึดมั่นกับคำพูดนี้
“ข้าจะเชื่อเจ้า”
ฉินอวี้โม่พยักศีรษะตอบรับแม้ว่าแววตาเริ่มแสดงความตึงเครียดออกมา
นางจะไม่เข้าใจความคิดของหานโม่ฉือได้อย่างไร? ทว่าถึงแม้เป็นเช่นนั้น นางก็ไม่ได้เอ่ยอะไรออกไป
ยิ่งไปกว่านั้น นางเชื่อว่าจะไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้นกับหานโม่ฉือ ไม่ว่าเป็นอุปสรรคขวากหนามใด ทั้งสองก็ฝ่าฟันมาแล้วทุกสิ่งทุกอย่าง ครานี้ต่อให้เกิดวิกฤตอันตรายเพียงใด นางก็เชื่อว่านางและเขาจะฝ่าฟันมันไปได้เช่นกัน
หลังจากกล่าวจบ ฉินอวี้โม่ก็ไม่รอช้าและหันหลังพุ่งตัวออกไปอย่างรวดเร็วก่อนปรากฏกายอีกครั้งเหนือเกาะไร้จุดจบ
“ท่านพ่อ ทุกคน เข้าไปในคฤหาสน์เฟิงหัวก่อนเถอะ เราจะออกไปจากทะเลไร้จุดจบนี้ก่อน”
ฉินอวี้โม่กล่าวกับทุกคนที่ยังคงติดพันกับการต่อสู้เพื่อให้พวกเขาเข้าสู่คฤหาสน์เฟิงหัว
แม้ว่าฉินเทียนและคนอื่นๆจะประหลาดใจไม่น้อย พวกเขาก็ไม่ลังเลและรีบปฏิบัติตามอย่างรวดเร็ว ภายในชั่วพริบตา ทุกคนก็กลับเข้าไปในคฤหาสน์เฟิงหัว
อสูรมายาทั้งหมดของนางก็กลับเข้าในคฤหาสน์เฟิงหัวและมิติเชื่อมอสูรเช่นกันในขณะที่กิเลนอัคคีพุ่งตรงไปที่พื้นที่มืดเพื่อตามหาหานโม่ฉือ
“โม่ฉือล่ะ?”
เมื่อไม่เห็นบุรุษคนรักของฉินอวี้โม่ ฉินเทียนและคนอื่นๆก็เอ่ยถามด้วยความสงสัย
“อย่าเพิ่งถามอะไรเลยเจ้าค่ะ เราต้องรีบไปจากที่นี่กันก่อน”
ฉินอวี้โม่ยังไม่ต้องการอธิบายสิ่งใดในตอนนี้ นางขับเคลื่อนคฤหาสน์เฟิงหัวออกไปอย่างรวดเร็ว ทว่าสายตาของนางยังคงจับจ้องไปในทิศทางของวังวนทมิฬด้วยความคำนึงหาและภาวนาอยู่ในใจ
ตู้ม!
ทันใดนั้นก็เกิดเสียงระเบิดดังสนั่นอย่างชัดเจนและพลังมหาศาลกระแทกเข้ากับคฤหาสน์เฟิงหัวส่งผลให้คฤหาสน์ที่ไม่เคยประสบพบเจอกับแรงสั่นสะเทือนถูกกระแทกไปอย่างหนักและกระเด็นออกไปทันที
บรรดาผู้คนในคฤหาสน์เฟิงหัวล้มกลิ้งและหมุนตัวอยู่ภายในนั้น หลายคนก็ถึงขั้นหมดสติไปโดยตรง
ความวุ่นวายที่เกิดขึ้นนี้ดำเนินต่อไปเป็นเวลาถึงหนึ่งก้านธูปก่อนสงบลง ในเวลานี้ภายในคฤหาสน์เฟิงหัวก็เต็มไปด้วยความยุ่งเหยิง
ฉินเทียนและคนอื่นๆฟื้นสติขึ้นอย่างรวดเร็วจากสถานการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างกะทันหันเมื่อครู่ ทุกคนต่างก็ประหลาดใจไม่น้อย หลังจากมองสำรวจไปรอบๆ ฉินเทียนก็อดขมวดคิ้วไม่ได้เมื่อเห็นว่าฉินอวี้โม่หายไป
“นายหญิงอยู่ข้างนอก”
เสียงของมารยาดังขึ้นในหูของทุกคน น้ำเสียงของมันฟังดูทุ้มต่ำ ราวกับกำลังรู้สึกหดหู่อยู่
ทุกคนได้ยินเสียงนั้นและเดินออกไปทันทีก่อนพบว่ารอบตัวเกิดการเปลี่ยนแปลงที่เรียกได้ว่าสะท้านฟ้าสะท้านสวรรค์
พวกเขาควรจะอยู่เหนือทะเลไร้จุดจบ ทว่าเมื่อก้าวออกไป ทุกคนกลับพบว่าบัดนี้ตนเองอยู่บนพื้นโคลนที่ไร้ซึ่งน้ำทะเล
และไม่ไกลจากทะเลไร้จุดจบ กลุ่มเมฆมืดดำและบรรยากาศมัวหมองก่อนหน้านี้กลับกลายเป็นความสว่างชัดเจน
บรรยากาศมืดหม่นโดยรอบหายสาบสูญไปอย่างสิ้นเชิงราวกับมันไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน
บัดนี้ฉินอวี้โม่ยืนนิ่งอยู่กับที่โดยไม่อาจรู้ได้ว่านางกำลังคิดสิ่งใด เมื่อฉินเทียนและคนอื่นๆออกมา นางก็ไม่ได้มีปฏิกิริยาตอบสนองใดๆ
ฉินเทียนและคนอื่นๆรู้สึกได้ว่ามีบางอย่างผิดปกติ และหลังจากสบตากันด้วยความฉงนสงสัย ฉินเทียนก็เดินตรงเข้าไปข้างๆบุตรสาว
“เสี่ยวโม่เอ๋อร์ นี่เราอยู่ที่ใดรึ?”
เมื่อเดินมาหยุดข้างบุตรสาว ฉินเทียนก็สัมผัสได้ถึงบรรยากาศความเศร้าโศกที่แผ่รอบตัวนาง ใบหน้าของนางซีดเซียวและลมหายใจก็ติดขัด ด้วยปัจจัยทั้งหมด จู่ๆฉินเทียนก็เกิดลางสังหรณ์อันเลวร้ายบางอย่างขึ้นมา
“ทะเลไร้จุดจบ”
เมื่อได้ยินคำถามของบิดา ฉินอวี้โม่ก็มีสติกลับคืนมา นางหันไปมองฉินเทียนพร้อมเอ่ยตอบเบาๆ แม้ว่านางดูนิ่งใจเย็นทว่ามันนางกลับแตกต่างไปฉินอวี้โม่คนเดิม
คำตอบของฉินอวี้โม่ทำให้ฉินเทียนและคนอื่นๆถึงกับชะงักไปทันที ทะเลไร้จุดจบอะไรกัน? นี่มันดินแดนรกร้างว่างเปล่าชัดๆ!
“โม่ฉือล่ะ?”
ด้วยลางสังหรณ์ที่เลวร้ายบางอย่าง ฉินเทียนจึงไม่กล้าเอ่ยถามให้มากความ อย่างไรก็ตาม บางสิ่งบางอย่างก็ต้องได้รับการยืนยันจากฉินอวี้โม่ เขาจึงต้องถามออกไป
“เขาน่าจะอยู่ที่ดินแดนเทพมายา”
ฉินอวี้โม่ยิ้มพร้อมเอ่ยตอบ ทว่ารอยยิ้มของนางกลับดูเยือกเย็นและหม่นหมอง
ท้องทะเลไร้จุดจบถูกดูดกลืนเข้าไปโดยการระเบิดของผลึกทมิฬและเกาะไร้จุดจบก็หายสาบสูญไปเช่นกัน ก่อนหน้านี้หานโม่ฉืออยู่บนเกาะไร้จุดจบ โอกาสในการรอดชีวิตของเขาเป็นสิ่งที่ไม่อาจล่วงรู้ได้
อย่างไรก็ตาม ฉินอวี้โม่ไม่ยังลืมวาจาของหานโม่ฉือเมื่อครู่ เขากล่าวไว้ว่าหากตามหาเขาไม่พบก็จงไปที่ดินแดนเทพมายาซึ่งทั้งสองจะได้พบกันอย่างแน่นอน
ฉินอวี้โม่เชื่อมั่นในตัวของหานโม่ฉือและความรู้สึกของตนเอง
หานโม่ฉือจะต้องไม่ตาย เขาจะต้องไม่เป็นอะไร
เมื่อเห็นสีหน้าแววตาและได้ยินคำพูดของบุตรสาว ฉินเทียนไม่อาจอยู่เฉยและเดินเข้ามาจับแขนของนางไว้
“เสี่ยวโม่เอ๋อร์ หากต้องการร้องไห้ก็จงร้องออกมาเถอะ การที่เจ้ามีพ่ออยู่ เจ้าไม่ต้องกลัวสิ่งใด เชื่อมั่นในตัวโม่ฉือเถอะ เขาจะต้องไม่เป็นอะไร”
เขาได้ยืนยันข้อสงสัยของตนเองแล้ว ตอนนี้เขาจึงเอ่ยวาจาออกไปเพื่อปลอบประโลมทั้งบุตรสาวและตนเอง