ใต้ต้นไม้ใหญ่ ฉินอวี้โม่พร้อมอสูรมายาทั้งสองกำลังนั่งรวมอยู่กับอาอู่
“ท่านจอมยุทธ์ ขอบคุณมากที่ช่วยข้าในวันนี้ อย่างไรก็ตาม การที่หลิวจื้อฆ่าข้าไม่ได้และยังบังเอิญพบท่านเช่นนี้ เขาจะต้องกลับไปรายงานเรื่องนี้อย่างแน่นอน เมื่อถึงตอนนั้นชนเผ่าเพลิงคำรามจะต้องส่งยอดฝีมือออกมาแน่ ทางที่ดีท่านควรไปจากที่นี่ก่อน”
อาอู่หยิบโอสถขึ้นมาทานเพื่อฟื้นฟูพลังของตนเองก่อนยิ้มให้ฉินอวี้โม่
“เจ้าจะกลัวอะไรเล่า? มาหนึ่งก็ซัดกลับไปหนึ่ง มาสองก็ซัดกลับไปทั้งคู่”
หานอวี้กล่าวด้วยน้ำเสียงโอหังและแสดงอากัปกิริยาที่ไม่แยแสแม้แต่น้อย
เมื่อได้ยินคำพูดยโสโอหังและมั่นอกมั่นใจของหานอวี้ อาอู่ก็ชะงักไปเล็กน้อยก่อนถอนหายใจออกมาอย่างอดไม่ได้
“ก็จริงอย่างที่ว่า การที่หลิวจื้อผู้นั้นไม่สามารถต่อกรกับท่านได้เลย เห็นได้ชัดแล้วว่าพวกท่านทรงพลังอย่างยิ่ง ต่อให้ผู้นำชนเผ่าเพลิงคำรามออกมาด้วยตัวเอง มันก็อาจไม่ช่วยอะไร”
ผู้นำชนเผ่าเพลิงคำรามเป็นเพียงยอดฝีมือขอบเขตเซียนเท่านั้น
ถึงแม้เขาจะยังไม่เข้าใจฉินอวี้โม่และสหายทั้งสองอย่างแน่ชัด ในการต่อสู้เมื่อครู่ ความแข็งแกร่งและความทรงพลังของฉินอวี้โม่และทักษะการวางข่ายอาคมอันยอดเยี่ยมของมารยาก็ทำให้อาอู่เชื่อว่าคนเหล่านี้ไม่ธรรมดาเลย
เขารับรู้ได้โดยสัญชาตญาณว่าต่อให้ผู้นำชนเผ่าเพลิงคำรามมาด้วยตัวเองก็อาจไม่สามารถเอาชนะฉินอวี้โม่ได้
“เจ้ายังต้องจัดการอะไรอีกรึไม่? พวกเรามีบางอย่างที่ต้องการจะถาม”
มารยายิ้มพร้อมเอ่ยกับบุรุษหนุ่ม
“ไม่ หากท่านต้องการรู้สิ่งใด เชิญถามมาได้เลย ข้าจะตอบทุกอย่างที่ข้ารู้”
อาอู่พยักศีรษะขณะรอฉินอวี้โม่และอสูรมายาทั้งสองเอ่ยคำถามออกมา
“เจ้าเล่าสถานการณ์ปัจจุบันของโลกมายาให้พวกเราทราบได้รึไม่?”
ฉินอวี้โม่เอ่ยถามข้อสงสัยของตนเองออกไปตามตรงและรอฟังคำอธิบายของอาอู่
เมื่อได้ยินคำถามดังกล่าว อาอู่ก็ตกใจอย่างเห็นได้ชัด
“พวกเราเก็บตัวฝึกฝนอยู่ในภูเขาและป่าลึกมาเป็นระยะเวลานาน ตอนนี้พวกเราเพิ่งได้ออกมาและยังไม่รู้จักโลกมายาเท่าไหร่นัก เจ้าบอกได้รึไม่ว่าตอนนี้พวกเราอยู่ที่ใด? และชนเผ่าเพลิงคำรามเป็นขุมกำลังแบบใดกัน?”
มารยาเสริมด้วยคำอธิบายและเอ่ยสิ่งที่ต้องการรู้
เมื่อได้ยินคำอธิบายของมารยา บุรุษหนุ่มก็เข้าใจได้เล็กน้อย
ในโลกมายามีจอมยุทธ์จำนวนมากที่เก็บตัวฝึกฝนอยู่ในสถานที่ไร้ผู้คน โดยปกติแล้วพวกเขามักอยู่ในภูเขาลึกและไม่ค่อยออกมาบ่อยนัก อย่างไรก็ตาม พลังของจอมยุทธ์เหล่านั้นก็น่าสะพรึงกลัวอย่างยิ่ง อีกทั้งก็มีพวกเขาหลายคนที่เชี่ยวชาญด้านการใช้ข่ายอาคมและพวกเขาเป็นกลุ่มคนที่หลายขุมอำนาจต้องการสร้างมิตรไมตรีด้วย”
“ส่วนพิกัดที่เราอยู่ในตอนนี้ก็คือทางตะวันตกเฉียงเหนือของโลกมายา ป่าผืนนี้มีชื่อว่าป่าเพลิงมายา พื้นที่เขตนี้เป็นอาณาเขตของเมืองรองในโลกมายา—เมืองเพลิงมายา…”
แน่นอนว่าอาอู่อธิบายข้อมูลอย่างไม่ปิดบังและบอกทุกสิ่งที่ตนเองรู้
ฉินอวี้โม่สันนิษฐานไว้ถูกต้องตั้งแต่แรกว่าโลกมายาแห่งนี้ไม่เหมือนกับเมื่อหลายปีก่อนอีกต่อไป
โลกมายาในปัจจุบันมีเมืองหลักที่เป็นเมืองหลวงคือเมืองมายาซึ่งตั้งอยู่ตรงกลางโลกมายา และทั้งสี่มุมของโลกมายาก็มีเมืองรองสี่เมืองซึ่งเป็นสี่ขุมกำลังที่ใหญ่ที่สุดของโลกมายาอีกด้วย
เมืองรองทั้งสี่เหล่านี้คือเมืองทองมายาในทางตะวันออก เมืองวารีมายาในทางตะวันตกเฉียงใต้ เมืองไม้มายาในทางตะวันตกและเมืองเพลิงมายาซึ่งอยู่ในบริเวณที่พวกเขาอยู่ในตอนนี้
ในแต่ละเมืองเหล่านี้ก็แยกออกเป็นขุมกำลังขนาดเล็กจำนวนมากเช่นกันและเมืองเพลิงมายาก็ประกอบไปด้วยสามขุมกำลังใหญ่ๆ
โดยขุมกำลังที่ทรงพลังที่สุดคือชนเผ่าเพลิงคำราม นอกเหนือจากผู้นำชนเผ่าที่มีพลังอยู่ในขอบเขตเซียนขั้นสี่ก็ยังมียอดฝีมือในขอบเขตเซียนขั้นสองอีกหนึ่งคนและยอดฝีมือในขอบเขตเซียนครึ่งก้าวอีกหลายคน
ขุมกำลังที่สองคือชนเผ่าวิหคโบยบินซึ่งมียอดฝีมือในขอบเขตเซียนขั้นสามหนึ่งคนและขอบเขตเซียนครึ่งก้าวอีกหลายคน ทว่าความแข็งแกร่งของพวกเขาก็อ่อนแอกว่าชนเผ่าเพลิงคำรามอยู่เล็กน้อย
และขุมกำลังใหญ่สุดท้ายก็คือชนเผ่าเมฆาครามซึ่งมียอดฝีมือขอบเขตเซียนขั้นสามหนึ่งคนและยอดฝีมือขอบเขตเซียนครึ่งก้าวเพียงสามคน
ฉินอวี้โม่ก็ได้ทราบว่าเหนือกว่าขอบเขตจ้าวสุริยะนั้นยังมิใช่ขอบเขตเซียนโดยตรงทว่าเป็นขอบเขตเซียนครึ่งก้าวซึ่งเป็นขอบเขตกึ่งเซียนในตำนาน นอกจากนี้ขอบเขตเซียนก็แบ่งออกเป็นขั้นหนึ่งถึงขั้นเก้าโดยขั้นหนึ่งคือระดับที่อ่อนแอที่สุดและขั้นเก้าคือระดับที่แข็งแกร่งที่สุด
หลังจากฟังข้อมูลจากอาอู่ ฉินอวี้โม่ก็พยักศีรษะเบาๆ จุดมุ่งหมายสูงสุดของนางในการมาที่โลกมายาน่าจะเป็นเมืองหลวงใจกลางดินแดน—เมืองมายา
เพียงแต่อาอู่กล่าวไว้ว่ายอดฝีมือจำนวนมากในโลกมายาล้วนกระจุกรวมตัวกันอยู่ที่เมืองมายา ยิ่งไปกว่านั้น ในเมืองเพลิงมายาทางตะวันตกเฉียงเหนือเพียงอย่างเดียวก็มียอดฝีมือในขอบเขตเซียนหลายคนและยังมียอดฝีมือในขอบเขตเซียนครึ่งก้าวอีกกว่าหลายร้อยคน เพราะฉะนั้นนางจะทำอะไรอย่างบุ่มบ่ามไม่รอบคอบไม่ได้เด็ดขาด
และแม้ว่าโลกมายาแห่งนี้จะถูกสร้างขึ้นโดยเทพมายาคนก่อน ทว่าด้วยเวลาที่ล่วงเลยมานาน ไม่อาจทราบได้เลยว่าตอนนี้คนที่นี่มีทัศนคติต่อเทพมายาอย่างไร หากวู่วามทำสิ่งใดโดยไม่คิดให้รอบคอบ มันอาจเกิดปัญหาใหญ่ขึ้นมาได้ นางไม่ต้องการให้เกิดสถานการณ์เช่นนั้น
เมื่อคิดเช่นนี้ ฉินอวี้โม่ก็ตัดสินใจกับตัวเองว่าจะหาที่สงบๆเพื่อฝึกวิชาและจะไม่เดินทางไปที่เมืองมายาจนกว่าจะทะลวงพลังเข้าสู่ขอบเขตเซียน
“จะว่าไปแล้วก็ยังมีเจ้าเมืองของเมืองเพลิงมายาซึ่งมีนามว่าฉินส่าวชิง เขามีพลังอยู่ในขอบเขตเซียนขั้นหกและเป็นผู้ที่ทรงพลังที่สุดในหมู่พวกเรา อย่างไรก็ตาม เขามีทัศนคติที่เข้ากับคนได้ยากพอสมควร หากท่านบังเอิญพบเขาในอนาคต ท่านควรหลีกเลี่ยงเขาจะดีกว่า”
เมื่อนึกบางอย่างขึ้นมาได้อย่างกะทันหัน อาอู่ก็กล่าวออกไป
“ขอบใจมากที่เตือนล่วงหน้า”
ฉินอวี้โม่พยักศีรษะพร้อมกล่าวเบาๆเพื่อขอบคุณอีกฝ่ายที่เตือนนางด้วยความหวังดีเช่นนี้
“ท่านทั้งหลายช่วยชีวิตข้าไว้ ข้าต่างหากที่ต้องเป็นฝ่ายขอบคุณ”
อาอู่ยิ้มอย่างจริงใจและกล่าวต่อ “ไม่ทราบว่าจะให้ข้าเรียกท่านว่าอย่างไรรึ?”
“ฉินอวี้โม่ ส่วนทั้งสองนี้คืออสูรมายาของข้า..มารยาและหานอวี้”
ฉินอวี้โม่ยิ้มและกล่าวแนะนำอย่างสั้นๆ
“อสูรมายา?!”
เมื่อทราบว่ามารยาและหานอวี้เป็นเพียงอสูรมายาของฉินอวี้โม่ อาอู่ก็ตกตะลึงอย่างเห็นได้ชัด
เขาไม่คาดคิดเลยว่าหานอวี้และมารยาที่ทรงพลังอย่างที่สุดจะเป็นเพียงอสูรมายาในร่างมนุษย์เท่านั้น
ทว่าเมื่อพิจารณาชื่อแซ่ของฉินอวี้โม่อีกครั้ง อาอู่ก็ขมวดคิ้วเล็กน้อย
“ท่านมีแซ่ฉินอย่างนั้นรึ?”
เมื่อเห็นสีหน้าของอีกฝ่าย ฉินอวี้โม่ก็ประหลาดใจไม่น้อย
“ทำไมรึ?”
“ท่านจอมยุทธ์ ผู้ทรงพลังหลายคนในโลกมายาแห่งนี้ต่างก็ใช้แซ่ฉิน เจ้าเมืองของหลายเมืองก็ใช้แซ่ฉินเช่นกัน ยิ่งไปกว่านั้น การมีแซ่ฉินถือเป็นสิ่งที่สูงส่งอย่างมากในโลกมายาของเรา หากมีผู้ใดรู้ชื่อแซ่ของท่าน มันก็อาจนำปัญหาเข้ามาได้”
อาอู่กล่าวอธิบายในเรื่องที่เรียกได้ว่าทุกคนในโลกมายาทราบกันดี
จอมยุทธ์ส่วนใหญ่ที่มีแซ่ฉินมักจะมีพรสวรรค์และพลังวิญญาณที่แกร่งกล้ากว่าคนทั่วไปและสามารถฝึกฝนข่ายอาคมที่เป็นที่ยอมรับอย่างสูงในโลกมายาได้ อีกทั้งจอมยุทธ์เหล่านั้นล้วนเป็นผู้ที่โดดเด่นและแกร่งกล้าสามารถในโลกมายาซึ่งแต่ละคนมีสถานะที่สูงส่งอย่างยิ่ง
สำหรับสิ่งที่อาอู่ทราบในตอนนี้คือเจ้าเมืองรองทั้งสี่ล้วนมีแซ่ฉินและในเมืองมายาก็มีจอมยุทธ์ที่ทรงพลังหลายคนที่ใช้แซ่ฉินเช่นเดียวกัน
เมื่อได้ยินคำอธิบายของเด็กหนุ่ม ฉินอวี้โม่ก็พยักศีรษะเบาๆ ดูเหมือนว่าสาเหตุที่เป็นเช่นนี้เป็นเพราะว่าเทพมายาคนก่อนก็มีแซ่ฉินเช่นกัน
“ข้าจะระมัดระวังตัวไว้”
ฉินอวี้โม่กล่าวพร้อมรอยยิ้ม “ไม่ทราบว่าเจ้าเคยได้ยินเกี่ยวกับเทพมายารึไม่?”
ทันทีที่สิ้นเสียงคำว่า ‘เทพมายา’ ของฉินอวี้โม่ สีหน้าของอาอู่ก็เปลี่ยนไปทันที
“ท่านจอมยุทธ์ ในอนาคตต่อไปข้างหน้า อย่าเอ่ยคำนี้ให้ผู้ใดได้ยินเด็ดขาด หากมีคนรู้เข้า ท่านจะตกอยู่ในอันตรายและกลายเป็นเป้าหมายของใครหลายคนอย่างแน่นอน”
เมื่อเห็นสีหน้าจริงจังและวาจาเป็นกังวลของอาอู่ หัวใจของฉินอวี้โม่ก็หล่นวูบไปครู่หนึ่ง
เป็นจริงอย่างที่คิดไว้ไม่มีผิด ทัศนคติที่ชาวโลกมายามีต่อเทพมายาได้เปลี่ยนแปลงไปมากแล้ว…
แม้ว่านางต้องการถามให้เข้าใจอย่างชัดเจนยิ่งกว่านี้ ฉินอวี้โม่ก็รู้ว่าตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่เหมาะสม ยิ่งไปกว่านั้น หากเซ้าซี้ถามไปมันอาจจะทำให้อาอู่สงสัยในตัวนางได้ เพราะเหตุนั้นนางจึงไม่เอ่ยถามอะไรต่อไป
“อาอู่ อาอู่ เจ้าอยู่ไหน?”
ทันใดนั้น เสียงตะโกนก็ดังขึ้นอย่างชัดเจน
เมื่ออาอู่ได้ยินเสียงตะโกนนี้ รอยยิ้มเล็กๆก็ปรากฏบนใบหน้าของเขาทันทีและเขาดูมีความสุขอย่างเห็นได้ชัด
“พี่ซูน่า ข้าอยู่นี่”
อาอู่ตะโกนตอบออกไปด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนอย่างยิ่ง
เพียงครู่เดียว กลุ่มคนหลายร้อยคนก็มารวมตัวกันตรงหน้าอาอู่แล้ว
ผู้ที่เป็นผู้นำคนกลุ่มนี้คือสตรีที่มีผมสีทองสว่างและดวงตาสีน้ำเงินน่าค้นหา ด้วยรูปร่างที่สมบูรณ์แบบของนางและด้วยรูปลักษณ์งดงามไร้ที่ติ มันจึงทำให้นางดูน่าหลงใหลอย่างยิ่ง
เมื่ออาอู่เดินออกไป สตรีนางนั้นก็ปรี่เข้ามาและกอดเขาแน่นทันที
“เจ้าเด็กน้อยเอ๋ย เจ้าไม่เป็นอะไรใช่รึไม่?”
น้ำเสียงของซูน่าแสดงถึงความเป็นห่วงอย่างชัดเจนและลมหายใจของนางก็ผันผวนไม่เป็นจังหวะซึ่งอาจเป็นเพราะความกังวลที่มากเกินไปและการปรี่เข้ามาอย่างเร็วเมื่อครู่นี้
“พี่ซูน่า ท่านจอมยุทธ์ผู้นี้ช่วยข้าไว้”
อาอู่ปล่อยให้ซูน่ากอดตนเองครู่หนึ่งก่อนผละออก จากนั้นเขาก็ชี้ไปที่ฉินอวี้โม่และอสูรทั้งสองพร้อมเอ่ยแนะนำ
“นี่คือท่านจอมยุทธ์อวี้โม่ นางเป็นผู้ที่จัดการกับหลิวจื้อและช่วยชีวิตข้าไว้”
ซูน่ามองฉินอวี้โม่อย่างตั้งอกตั้งใจก่อนยิ้มบางๆและกล่าว “ขอบคุณท่านมากที่ช่วยชีวิตเสี่ยวอู่ไว้”
ต้องกล่าวเลยว่าซูน่ารู้สึกอึดอัดใจเล็กน้อยในตอนที่เห็นรูปลักษณ์ของฉินอวี้โม่ในแวบแรก
นางมั่นใจมาเสมอว่าตนเองงดงามไร้ที่ติ อย่างไรก็ตาม เมื่อยืนเคียงข้างกับฉินอวี้โม่ นางกลับรู้สึกอับอายในรูปลักษณ์ของตนเองขึ้นมา
ฉินอวี้โม่แต่งกายด้วยอาภรณ์แบบบุรุษและมัดผมขึ้นสูงดูทะมัดทะแมง เพียงแต่ร่างบางและรูปโฉมที่สมบูรณ์แบบไร้ที่ติของนางไม่สามารถซ่อนอยู่ภายใต้อาภรณ์บุรุษได้เลย
นี่เป็นครั้งแรกที่ซูน่าได้พบสตรีที่งดงามสะเทือนทั้งใต้หล้าเช่นนี้!
ฉินอวี้โม่ยิ้มบางๆเช่นกันและนางมองเห็นการเปลี่ยนแปลงในแววตาของซูน่าเมื่อครู่
ต้องกล่าวเลยว่าซูน่าเป็นสตรีที่ตรงไปตรงมาอย่างยิ่ง แม้ว่าแววตาของนางจะดูอึดอัดใจไปชั่วขณะ ทว่าบัดนี้แววตาของนางก็มีเพียงความเคารพและความซาบซึ้งใจ นางรู้สึกขอบคุณฉินอวี้โม่อย่างใจจริง
“ท่านจอมยุทธ์อวี้โม่ นี่คือลูกพี่ลูกน้องของข้า ‘พี่ซูน่า’ และเป็นบุตรสาวของผู้นำชนเผ่าเมฆาคราม”
อาอู่แนะนำให้ฉินอวี้โม่รู้จักอีกฝ่ายและยังคงแสดงท่าทีเคารพต่อฉินอวี้โม่เช่นเดิม
“ท่านจอมยุทธ์อวี้โม่ กลับไปที่ชนเผ่าเมฆาครามกับพวกเราก่อนเถอะ ท่านช่วยชีวิตอาอู่ไว้ พวกเราควรขอบคุณท่านอย่างสมเกียรติ”
ซูน่าไม่รอช้าและเอ่ยเชื้อเชิญฉินอวี้โม่
ฉินอวี้โม่ช่วยชีวิตอาอู่ไว้และถือเป็นผู้มีพระคุณของทั้งสอง ซูน่าไม่สนใจตัวตนที่แท้จริงของฉินอวี้โม่ นางเพียงต้องการเชิญผู้มีพระคุณไปที่ชนเผ่าเมฆาครามเพื่อแสดงความขอบคุณอย่างจริงใจก็เท่านั้น
ฉินอวี้โม่ลังเลเล็กน้อยเมื่อได้ยินคำเชิญดังกล่าว อย่างไรก็ตาม ตอนนี้นางก็ไม่ได้มีที่ไปและการไปที่ชนเผ่าเมฆาครามสักพักก็คงจะไม่เป็นปัญหา
“ท่านจอมยุทธ์อวี้โม่ โปรดกลับไปกับพวกเราเถิด ข้ารู้ว่าท่านยังไม่มีที่ใดที่ต้องไป กลับไปที่ชนเผ่าสักพักและให้ข้าได้ตอบแทนท่านก่อนเถอะ ถึงอย่างไร ท่านก็สามารถหาข้อมูลเกี่ยวกับโลกมายาในที่นั่นได้เช่นกัน”
อาอู่ยิ้มและเอ่ยคำเชิญออกไป เขาเองก็ต้องการทำเช่นนี้อยู่แล้ว ทว่าเขาไม่กล้าเอ่ยเชื้อเชิญหากปราศจากคำอนุญาตของชนเผ่าเมฆาคราม
บัดนี้เมื่อซูน่าเป็นคนริเริ่มเอ่ยปากชวนก่อน เขาก็ไม่ลังเลอีกต่อไป
“ถ้างั้นข้าก็ขอรบกวนด้วย”
ฉินอวี้โม่ยิ้มบางๆและตกปากรับคำอย่างรวดเร็ว