ฉินส่าวชิง—เจ้าเมืองเพลิงมายาดูหล่อเหลาและเหมือนสุภาพบุรุษเรียบง่าย อย่างไรก็ตาม จากคำบอกเล่าของผู้คนในชนเผ่าเมฆาครามตลอดหลายวันที่ผ่านมา เขาเป็นคนหน้าซื่อใจคด ยิ่งไปกว่านั้น เขาถือว่าตนเองสูงส่งและไม่ปฏิบัติต่อคนอื่นเหมือนมนุษย์ด้วยกัน เพราะเหตุนั้นหลายคนจึงไม่ชอบหน้าฉินส่าวชิงผู้นี้สักเท่าไหร่นัก
“ฮ่าๆๆ ข้าไม่ค่อยเข้าใจนักว่าผู้นำซูหมายถึงอะไร ท่านจะบอกว่าคนที่ท่านไม่ชอบหน้าคือเลี่ยหยางงั้นรึ?”
แน่นอนว่าเจ้าเมืองฉินเข้าใจความหมายของซูวั่งชวนดี เพียงแต่เขาเสแสร้งทำเป็นไม่รับรู้เท่านั้น เลี่ยหยางเป็นคนเชิญชวนเขามาที่ชนเผ่าเมฆาครามแห่งนี้ ยิ่งไปกว่านั้น คำพูดของซูวั่งชวนเมื่อครู่นี้เห็นได้ชัดว่าไม่ได้ไว้หน้าเขาเลยสักนิด ซึ่งนี่ก็ทำให้แววตาของฉินส่าวชิงฉายแววความคลุมเครือไม่ชัดเจนออกมา
ภายในเขตพื้นที่ที่เขากุมอำนาจอยู่ ชนเผ่าเพลิงคำรามเป็นขุมกำลังที่ว่าง่ายที่สุดและแน่นอนว่าเป็นกลุ่มที่ฉินส่าวชิงโปรดปรานเป็นที่สุด
ส่วนชนเผ่าวิหคโบยบินมักจะเก็บตัวไม่สุงสิงหรือฝักใฝ่ฝ่ายใดและพวกเขาแทบไม่เคยคัดค้านการตัดสินใจของฉินส่าวชิง
ทว่าขุมกำลังที่เจ้าเมืองฉินรู้สึกไม่ชอบใจมากที่สุดคือชนเผ่าเมฆาครามนี่เอง
แม้ว่าความแข็งแกร่งของชนเผ่าแห่งนี้จะรั้งท้าย ทว่าพวกเขากลับเป็นกลุ่มคนที่แสดงความเห็นต่อต้านเขามากที่สุดและคัดค้านคำสั่งของเขาบ่อยที่สุด
เมื่อใดก็ตามที่คำสั่งของเขาทำให้คนจากชนเผ่าเมฆาครามไม่พอใจ พวกเขาก็จะแข็งข้อและไม่ปฏิบัติตามคำสั่งนั่น เพิกเฉยไปโดยปริยาย
แม้ว่าเขาจะไม่พอใจชนเผ่านี้นัก พวกเขาก็ถือว่ามีพลังพอสมควรและฉินส่าวชิงไม่กล้ากระทำการสิ่งใดบุ่มบ่ามไม่ยั้งคิดจนกว่าจะมั่นใจว่าจะประสบความสำเร็จจริงๆ
อย่างไรก็ตาม เขาก็พยายามตัดกำลังให้ชนเผ่าเมฆาครามอ่อนแอลงเรื่อยๆและต้องการฟูมฟักขุมกำลังใหม่ขึ้นมาแทนที่พวกเขา
ทว่าขุมกำลังอื่นๆในอาณาบริเวณนี้ก็ยังไม่สามารถต่อกรชนเผ่าเมฆาครามได้ ดังนั้นตลอดเวลาที่ผ่านมานี้ฉินส่าวชิงจึงยังไม่ได้บรรลุในสิ่งที่คาดหวังไว้
“ฮ่าๆๆ เหตุใดเจ้าเมืองฉินจะต้องถามในสิ่งที่รู้อยู่แล้วด้วยเล่า? บางสิ่งบางอย่างก็ไม่จำเป็นที่จะต้องเอ่ยออกไป”
ซูวั่งชวนยิ้มอย่างไม่ปิดบัง
เขาไม่ชอบหน้าเจ้าเมืองฉินเลยสักนิด แน่นอนว่าเขาก็ไม่คิดที่จะไว้หน้าเช่นกัน
ยิ่งไปกว่านั้น ซูวั่งชวนคาดเดาสาเหตุที่ฉินส่าวชิงและเลี่ยหยางมาที่นี่ได้ทันที และเมื่อทราบถึงเจตนาของพวกเขา ซูวั่งชวนจึงไม่ต้องการรักษามารยาทอีกต่อไป
“ผู้นำซู ข้าไม่อยากรู้หรอกว่าท่านและผู้นำเลี่ยหยางมีความขัดแย้งอย่างไรกัน วันนี้ที่ข้ามาถึงที่นี่มิใช่เพื่องานชุมนุมของชนเผ่า ทว่าเพื่อมาตามหาคน หวังว่าทุกคนจะให้ความร่วมมือแต่โดยดี มิฉะนั้นอย่าหาข้าว่าไม่เตือนเป็นการล่วงหน้า”
เมื่อฉินส่าวชิงเห็นว่าซูวั่งชวนไม่ไว้หน้าเขาแม้แต่น้อย สีหน้าของเขาก็บูดบึ้งยิ่งกว่าเดิม เขาไม่เอ่ยเรื่องอื่นอีกต่อไปและพูดตรงเข้าประเด็นพร้อมบอกจุดประสงค์ในการมาที่นี่
เมื่อได้ยินวาจาของฉินส่าวชิง ซูวั่งชวนก็ขยับเข้าไปใกล้ฉินอวี้โม่อย่างช้าๆในขณะที่ซูชิงเข้ามาอยู่ข้างซูวั่งชวนโดยขวางข้างหน้าฉินอวี้โม่ไว้
“ฮ่าๆๆ โปรดพูดมาเถอะ ท่านเจ้าเมืองมาถึงที่นี่เพื่อมาตามหาผู้ใดงั้นรึ?”
ซูวั่งชวนกล่าวขึ้นเบาๆโดยเตรียมพร้อมที่จะต่อสู้แล้ว
ฉินอวี้โม่คือผู้ที่ช่วยชีวิตของอาอู่ไว้ ไม่ว่าอย่างไรเขาก็ไม่มีทางปล่อยให้ฉินส่าวชิงหรือใครหน้าไหนจับตัวนางไปได้
ส่วนอาอู่ก็คือหลานชายของเขาและเขาไม่มีทางยอมให้เลี่ยหยางและพวกพาตัวเขากลับไปเช่นกัน
“ผู้นำซูจะต้องถามด้วยรึ? เมื่อไม่นานมานี้มีคนแปลกหน้ามาที่ชนเผ่าของท่าน ว่ากันว่ามีผู้ใช้ข่ายอาคมอยู่ด้วย อย่างที่ท่านก็ทราบดี สถานการณ์ของโลกมายาในตอนนี้ตึงเครียดพอสมควร เมื่อมีคนแปลกหน้าปรากฏตัวขึ้นมา เราก็จะต้องนำตัวพวกเขากลับไปและทำการสอบสวนอย่างละเอียด เพราะฉะนั้นจงส่งตัวผู้ใช้ข่ายอาคมและคนลึกลับนั่นมาเดี่๋ยวนี้”
ฉินส่าวชิงยิ้มขณะสายตาของเขาบรรจบลงที่ข้างหลังซูวั่งชวน
เมื่อเห็นใบหน้าของฉินอวี้โม่ชัดๆเป็นครั้งแรก เขาก็ถึงกับชะงักไปเล็กน้อย แม้ว่าได้ยินจากคำบอกเล่ามาก่อนแล้วว่าฉินอวี้โม่เป็นสตรีผู้งดงามอย่างยิ่ง เจ้าเมืองฉินก็ไม่คาดคิดว่านางจะงดงามถึงขั้นนี้
นี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้พานพบโฉมนารีที่งดงามเหนือมนุษย์เช่นนี้ แม้แต่หลานสาวของเจ้าเมืองมายาที่ว่างดงามนักก็เทียบกับสตรีตรงหน้าเขาไม่ได้
เมื่อสัมผัสได้ถึงแววตาตะลึงของฉินส่าวชิง ฉินอวี้โม่ก็ไม่ซ่อนตัวอยู่ข้างหลังอีกต่อไป
เมื่อครู่เลี่ยหยางและเลี่ยซานก็จ้องมองนางอย่างไม่ละสายตาอยู่พักใหญ่และขณะนี้เจ้าเมืองฉินก็มองนางอีกจนทำให้นางรู้สึกอึดอัดขึ้นมา
ยิ่งไปกว่านั้น จุดประสงค์ในการมาเยือนของพวกเขาเหล่านี้ก็คือตัวนางเอง และนักฆ่าสาวไม่อาจทนซ่อนตัวอยู่ข้างหลังได้
“พวกท่านกำลังตามหาข้างั้นรึ?”
เมื่อก้าวอ้อมหลังซูวั่งชวนและผ่านไปหยุดยืนข้างหน้าหน้าเขา ฉินอวี้โม่ก็เอ่ยขึ้นเบาๆ
นางต้องยอมรับเลยว่าการกระทำของซูวั่งชวนและซูชิงที่เข้ามาขวางข้างหน้านางไว้อย่างรวดเร็วนั้นทำให้นางรู้สึกประทับใจและชื่นชมพวกเขามากยิ่งขึ้น
หากว่าซูวั่งชวนและซูชิงผลักนางออกไปโดยตรง นางก็คงจะไม่สบอารมณ์นักและความรู้สึกดีๆที่มีต่อพวกเขาก็คงจะสลายหายไปอย่างสิ้นเชิง
“เจ้าคือจอมยุทธ์ลึกลับที่จู่ๆก็โผล่ออกมาอย่างไม่มีที่มาสินะ?”
เมื่อฉินอวี้โม่เดินออกมาฉินส่าวชิงก็เรียกสติกลับมาอย่างรวดเร็ว หลังจากปรับสีหน้าให้เป็นปกติ เขาก็เอ่ยขึ้นเบาๆ
“ฮ่าๆๆ พวกท่านแห่กันมาถึงที่นี่เพราะต้องการตามหาใครบางคน ทว่าท่านกลับไม่รู้รึว่าข้าคือคนที่ท่านตามหา?”
ฉินอวี้โม่ยิ้มยียวนอย่างไร้ซึ่งความหวั่นเกรงใดๆ
ก่อนเดินทางมาที่ชนเผ่าเมฆาคราม นางคาดการณ์ไว้แล้วว่าวันนี้จะต้องมาถึง เพราะเหตุนั้นนางจึงเตรียมความพร้อมบางอย่างไว้เป็นการล่วงหน้าแล้ว
ฉินส่าวชิงผู้นี้เป็นยอดฝีมือขอบเขตเซียนขั้นหก และนางก็ต้องการพิสูจน์ให้รู้ว่าความแตกต่างระหว่างนางและตัวเขาจะมากมายเพียงใด
ยิ่งไปกว่านั้น หากการต่อสู้เกิดขึ้นจริงๆ ต่อให้นางจะสู้เขาไม่ได้ นางก็ยังมีคฤหาสน์เฟิงหัวเป็นที่หลบซ่อนจากภัยอันตราย
ฉินส่าวชิงขมวดคิ้วเล็กน้อยเมื่อฉินอวี้โม่เอ่ยอย่างไม่สะทกสะท้าน
ทัศนคติและอากัปกิริยาของนางทำให้เขาไม่พอใจนัก ปกติแล้วทุกๆคนมักที่จะแสดงท่าทีเคารพนอบน้อมต่อเขา ทว่าสตรีผู้นี้ริอาจพูดจายียวนกับเขาเช่นนี้ นางไม่เห็นหัวเขาและตำแหน่งเจ้าเมืองของเขาเลยสักนิด
“ในเมื่อเจ้ากล้าแสดงตัวแล้ว เช่นนั้นก็ตามข้ากลับไปที่จวนเจ้าเมืองแต่โดยดีเถอะ อย่าทำให้เรื่องมันวุ่นวายไปมากกว่านี้”
ฉินส่าวชิงเอ่ยพร้อมด้วยแววตาอาฆาตมาดร้ายต่อฉินอวี้โม่อย่างเปิดเผย
“ไม่ สหายน้อยอวี้โม่เป็นแขกผู้มีเกียรติของชนเผ่าเมฆาคราม หากเจ้าเมืองต้องการสอบสวนตัวตนของนางก็ให้ส่งคนมาที่นี่ สหายน้อยอวี้โม่จะอยู่ในชนเผ่าเมฆาครามของเราตลอดเวลา ถึงอย่างไรไม่ว่าจะสอบสวนในที่ใดก็ย่อมมีค่าเท่ากัน”
ซูวั่งชวนเอ่ยคัดค้านทันทีและก้าวออกมายืนข้างหน้าฉินอวี้โม่อีกคราพร้อมแสดงเจตนารมณ์อย่างชัดเจน
“ข้าจำได้ว่าไม่เคยมีกฎเช่นนั้นในโลกมายา ยิ่งไปกว่านั้น สหายน้อยอวี้โม่และคณะก็เป็นผู้ใช้ข่ายอาคม ไม่ว่าจะไปที่ใดก็ย่อมได้รับความเคารพสูงสุดจากผู้คน ดูเหมือนว่าท่านเจ้าเมืองจะไม่เข้าใจกฎข้อนี้”
ซูชิงเอ่ยด้วยน้ำเสียงเย็นชาพร้อมก้าวไปยืนข้างฉินอวี้โม่อย่างไม่กลัวเกรง
โลกมายาไม่เคยมีกฎเกณฑ์มาก่อนว่าคนแปลกหน้าไม่ได้รับอนุญาตให้ผ่านเข้าออกจากพื้นที่ใดๆ ยิ่งไปกว่านั้น สำหรับผู้ใช้ข่ายอาคม ในโลกมายาแห่งนี้ก็ถือเป็นอาชีพที่ทุกขุมกำลังให้ความเคารพอย่างที่สุด
การที่ฉินส่าวชิงจงใจทำเช่นนี้ เกรงว่าเขาคงจะถูกยุแยงโดยเลี่ยหยาง
“ผู้นำซูคิดจะละเมิดคำสั่งของท่านเจ้าเมืองงั้นรึ?”
เมื่อเห็นว่าสถานการณ์ไม่ดีนัก เลี่ยหยางก็เอ่ยเสริมขึ้นเพื่อกล่าวหาซูชิงและซูวั่งชวนโดยตรง
“ผู้นำเลี่ยหยาง ไม่ต้องพูดอะไรแล้ว ความบาดหมางระหว่างเราประจักษ์ชัดเจนดี การที่ข้าไม่บุกไปถึงถิ่นของท่านมิใช่เพราะเกรงกลัว ทว่ามันยังไม่ถึงเวลาเท่านั้น เมื่อใดก็ตามที่ถึงเวลาเหมาะสม เราจะไปหาถึงที่เพื่อสะสางเรื่องนี้ให้จบไป ส่วนวันนี้จะไม่มีใครหน้าไหนจับตัวสหายน้อยอวี้โม่ไปได้ทั้งนั้น!”
ซูวั่งชวนชำเลืองมองเลี่ยหยางและกล่าวด้วยน้ำเสียงอาฆาตมาดร้าย
ซูวั่งชวนไม่เคยลืมเรื่องบาดหมางระหว่างพวกเขาและเลี่ยหยาง เพียงแต่กำลังรอจังหวะเวลาที่เหมาะสมเท่านั้น เมื่อเวลานั้นมาถึง เลี่ยหยางจะต้องชดใช้ในสิ่งที่ทำไว้อย่างแน่นอน
เมื่อได้ยินน้ำเสียงแน่วแน่และหนักแน่นของซูวั่งชวน เจ้าเมืองฉินก็รู้สึกว่าอำนาจของตนเองกำลังถูกท้าทาย
“ซูวั่งชวน เจ้าไม่เห็นหัวเจ้าเมืองอย่างข้าเลยรึ? เชื่อเถอะว่าข้าจะถอดถอนชนเผ่าของเจ้าออกจากตำแหน่งสามขุมกำลังใหญ่และทำให้เจ้ากลายเป็นศัตรูกับทุกขุมกำลังในเมืองเพลิงมายา!”
ฉินส่าวชิงลั่นวาจาเย็นชาและแรงกดดันอันทรงพลังก็แผ่จากร่างของเขาทันทีเพื่อครอบงำซูวั่งชวนและคนอื่นๆ
“เจ้าเมืองฉิน เราเคารพท่านในฐานะเจ้าเมือง ทว่านั่นมิได้หมายความว่าเราจะต้องเกรงกลัวท่าน ชนเผ่าเมฆาครามของเราอยู่มานานหลายร้อยปี หากท่านตัดสินใจที่จะทำเช่นนั้น เราก็ไม่รังเกียจที่ย้ายถิ่นฐานไปที่อื่น ข้าเชื่อว่าเจ้าเมืองวารีมายาจะให้การต้อนรับพวกเราเป็นอย่างดี”
ซูชิงเอ่ยอย่างไม่หวาดหวั่นต่อฉินส่าวชิงแม้แต่น้อย
แม้ว่าแรงกดดันของฉินส่าวชิงจะทำให้เขารู้สึกอึดอัดเล็กน้อย เขาก็ยังไร้ซึ่งความเกรงกลัวใดๆ
เมื่อสมาชิกคนอื่นๆของชนเผ่าคนอื่นได้ยินวาจาของซูชิง พวกเขาก็เห็นด้วย ไม่มีผู้ใดเกรงกลัวต่อพลังของเจ้าเมืองฉินเลยสักนิด
“ท่านผู้นำพูดถูก จอมยุทธ์อวี้โม่เป็นแขกผู้มีเกียรติสูงสุดของที่นี่ พวกเราจะไม่มีทางยอมให้ใครจับตัวนางไปได้!”
ซูชิงเอ่ยด้วยน้ำเสียงและสีหน้าที่หนักแน่น
“เลี่ยหยาง สักวันหนึ่งข้าจะต้องล้างแค้นให้กับการกระทำของชนเผ่าเพลิงคำรามด้วยตัวเอง เลี่ยซาน..เจ้าเป็นคนริเริ่มเรื่องนี้และเจ้าจะต้องชดใช้ด้วยชีวิต”
อาอู่สบตาเลี่ยหยางและเลี่ยซาน สีหน้าของเขาเปี่ยมไปด้วยความมุ่งมั่น
“อาอู่ เจ้าคนทรยศ เจ้าทรยศต่อชนเผ่าเพลิงคำราม ช่างน่าเสียดายจริงๆที่ข้าไม่ฆ่าเจ้าตั้งแต่แรก เจ้ามันก็น่ารำคาญเหมือนกับพ่อของเจ้าไม่มีผิด”
เลี่ยซานมองอาอู่ก่อนเอ่ยตอบโต้
“เลี่ยซาน หุบปากไปซะ! เจ้าไม่มีสิทธิ์พูดถึงพ่อข้า!”
เมื่อได้ยินวาจาของเลี่ยซาน สีหน้าของอาอู่ก็ครอบงำไปด้วยความหม่นหมองทันที
“รนหาที่ตายเสียแล้ว!”
วาจาโกรธเกรี้ยวของอาอู่ส่งผลให้เลี่ยซานเหวี่ยงฝ่ามือฟาดออกไปหาอาอู่ทันที
“เจ้าต่างหากที่รนหาที่ตาย! เจ้าโง่!”
เมื่อหานอวี้ซึ่งอยู่ข้างกายอาอู่ได้ยินวาจาและเห็นการเคลื่อนไหวของเลี่ยซาน เจ้าหนูน้อยก็โมโหทันที
ซูวั่งชวนและซูชิงเห็นฝ่ามือของเลี่ยซานพุ่งตรงเข้าหาอาอู่ และเมื่อทั้งสองกำลังจะเคลื่อนไหวออกไป พวกเขาก็สัมผัสได้ถึงลมพัดผ่านอย่างรุนแรง
วืด!
ฝ่ามือวายุของเลี่ยซานอันตรธานหายไปอย่างไร้ร่องรอย ในทางกลับกัน รอยประทับฝ่ามือสีแดงสามฝ่ามือก็ปรากฏบนใบหน้าของเขาแสดงให้เห็นว่าเขาถูกฝ่ามือฟาดเข้าไปที่ใบหน้าอย่างจัง
“โอ๊ย เจ็บมือชะมัด”
หานอวี้ถูข้อมือของตนเองขณะสายตามองไปที่เลี่ยซานอย่างยียวน
เมื่อครู่ มันพุ่งตรงไปตบฝ่ามือวายุนั้นจนสลายไปอย่างรวดเร็ว ในขณะเดียวกันนั้น มังกรน้อยก็ปรากฏกายข้างเลี่ยซานและตบเขาอย่างรุนแรง
เลี่ยซานมีพลังเพียงขอบเขตจ้าวสุริยะขั้นสูงสุดเท่านั้น มีที่ไหนเขาจะสู้กับพลังของหานอวี้ได้?
เขาไม่สามารถตอบสนองใดๆด้วยซ้ำ ขณะหานอวี้กลับมาอยู่ในจุดเดิมก่อนหน้านี้ราวกับไม่ได้ขยับเขยื้อนไปไหน
เมื่อเห็นแววตายียวนของเจ้าหนูน้อย เลี่ยซานก็เดือดดาลทันที
“ไอ้ลูกหมา ข้าจะฆ่าเจ้า!”
พร้อมเสียงตะโกนกร้าว ร่างของเลี่ยซานก็พุ่งตรงไปหมายจะโจมตีหานอวี้ให้จงได้
.