ภายในพื้นที่แห่งหนึ่งซึ่งสภาพแวดล้อมรอบๆดูแปลกประหลาดอย่างมาก
มันดูเหมือนทะเลทราย ทว่ากลับเต็มไปด้วยพืชพรรณเขียวชอุ่มและเต็มไปด้วยพลังชีวิต
บรรยากาศรอบๆก็เต็มไปด้วยพลังธาตุไฟและพลังธาตุน้ำ ดูเหมือนว่าที่นี่มีแหล่งน้ำขนาดใหญ่รวมถึงภูเขาไฟที่ยังคุกรุ่น
ทันใดนั้น เสียงหนึ่งก็ดังขึ้นเบาๆท่ามกลางความเงียบของมิติที่อลหม่านแห่งนี้
“โอ๊ย~ เจ็บจริงๆ”
เสียงบ่นครวญครางแสดงถึงอารมณ์บูดบึ้งดังขึ้นก่อนที่บุรุษหนุ่มรูปงามคนหนึ่งจะปรากฏขึ้นมา
นี่คือบุรุษหนุ่มที่มีร่างกายและเส้นผมสีแดงเพลิงซึ่งดูหล่อเหลาสะดุดตาเป็นอย่างยิ่ง ทว่าบัดนี้ผมเผ้าของเขายุ่งเหยิงและใบหน้าก็เปื้อนไปด้วยสิ่งสกปรกจนน่าอาย
“นายท่าน..นายท่าน?”
จู่ๆก็ดูเหมือนว่าบุรุษหนุ่มนึกบางอย่างขึ้นได้ก่อนกระโดดโหยงและมองไปรอบๆ
เมื่อเห็นร่างหนึ่งนอนแผ่อยู่บนพื้นไม่ไกลจากตนเอง บุรุษหนุ่มก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก
“นายท่าน ท่านเป็นอะไรรึไม่?”
บุรุษหนุ่มปรี่ตรงเข้าไปข้างร่างนั้นทันทีและช่วยพยุงบุรุษที่นอนอยู่บนพื้น
คนผู้นั้นมิใช่ใครอื่น หากแต่เป็นหานโม่ฉือที่ติดอยู่ในวังวนทมิฬก่อนหน้านี้ และบุรุษหนุ่มผมสีแดงเพลิงผู้นี้ก็คืออสูรมายาคู่กายของเขา—กิเลนอัคคีนั่นเอง
ดวงตาของหานโม่ฉือปิดสนิทขณะลมหายใจอ่อนแอรวยรินและเขาดูจะได้รับบาดเจ็บสาหัส อย่างไรก็ตามพลังชีวิตที่แผ่มาจากร่างของเขาทำให้สัมผัสได้ว่าเขายังไม่ได้อยู่ในสภาวะวิกฤตหรืออันตรายเกินไป
หลังจากส่งเสียงเรียกหานโม่ฉือสองครั้งและยังไม่มีท่าทีว่าเขาจะฟื้นขึ้นมา กิเลนอัคคีก็อดขมวดคิ้วไม่ได้
ในวังวนทมิฬก่อนหน้านี้ หานโม่ฉือใช้พลังมากเกินไป หากมันเข้าไปไม่ทันเวลาและไม่ได้ค้นพบช่องว่างเชิงมิติที่ปรากฏขึ้นมาอย่างฉับพลันล่ะก็ ทั้งสองก็คงจะตายไปแล้ว
อย่างไรก็ตาม แม้ว่าจะหนีเข้าไปในช่องทางเชิงมิติได้ทันเวลา ทั้งสองก็ยังได้รับผลกระทบจากการระเบิดของผลึกทมิฬจนได้รับบาดเจ็บสาหัส หากไม่ใช่เพราะพลังความแข็งแกร่งที่มี ทั้งสองก็คงไม่รอดมาจนถึงตอนนี้
หลังจากวางร่างผู้เป็นนายลงอย่างแผ่วเบา กิเลนสง่างามก็ปรับลมหายใจเล็กน้อยก่อนแผ่สภาวะพลังของมันไปสู่ร่างของหานโม่ฉือเพื่อรักษาอาการบาดเจ็บของเขา
เมื่อเวลาผ่านไปสองก้านธูป ใบหน้าและผิวพรรณที่ซีดเซียวของหานโม่ฉือก็ดีขึ้นและเริ่มมีสีระเรื่อขึ้นอย่างชัดเจนขณะสภาวะพลังของเขาแข็งแกร่งมากขึ้น
หลังจากเวลาอีกหนึ่งก้านธูปผ่านไป ในที่สุดเขาก็ลืมตาตื่นขึ้นมา
“นายท่าน ในที่สุดท่านก็ฟื้นแล้ว!”
เมื่อสัมผัสได้ว่าเจ้านายลืมตาตื่นขึ้นมา กิเลนก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอกและรอยยิ้มปรากฏบนใบหน้า
“ข้าหมดสติไปนานแค่ไหน?”
หานโม่ฉือรับรู้ถึงสภาวะร่างกายของตนเองได้เป็นอย่างดีและในเวลานี้เขาไม่มีพลังเรี่ยวแรงหลงเหลือแม้แต่น้อย ยิ่งไปกว่านั้น พลังวิญญาณในร่างกายของเขาเหมือนจะอันตรธานหายไปอย่างสิ้นเชิงและแม้แต่รากปราณก็ถูกทำลายจนตอนนี้เขาเหมือนจะกลายเป็นเพียงมนุษย์ธรรมดา
อย่างไรก็ตาม เขาไม่ใส่ใจสิ่งเหล่านี้แม้แต่น้อยและเอ่ยถามสิ่งที่ต้องการรู้
“ข้าก็ไม่รู้..”
กิเลนอัคคีส่ายหน้าอย่างจนปัญญา มันเองก็เพิ่งฟื้นขึ้นมาก่อนหน้านี้เพียงครู่เดียวและไม่อาจรู้ได้ว่าหมดสติไปนานเพียงใด
“แล้วอวี้โม่ล่ะ?”
เมื่อได้ยินคำตอบของอสูรคู่กาย สีหน้าของหานโม่ฉือก็ยังไม่เปลี่ยนแปลงราวกับเขาคาดการณ์สิ่งนี้ไว้แล้ว
“นายท่าน ไม่ต้องห่วง ตอนที่ข้ารีบเข้ามาช่วยท่าน นายหญิงหนีรอดออกไปอย่างปลอดภัยแล้ว คาดว่าตอนนี้นางน่าจะไปตามหาท่านที่ดินแดนเทพมายาแล้ว”
กิเลนกล่าวปลอมประโลมหานโม่ฉือด้วยสีหน้าเรียบเฉยไม่แสดงอารมณ์
เมื่อครู่ที่มันรักษาอาการบาดเจ็บให้กับหานโม่ฉือ มันก็พบความผิดปกติในร่างของผู้เป็นนายเช่นกัน บัดนี้รากปราณของเขาถูกทำลายจนหมดสิ้นแล้วและพลังวิญญาณของเขาก็หายไปจนไม่ต่างอะไรกับคนไร้พลัง
หากว่าหานโม่ฉือทราบถึงเรื่องนี้ เขาอาจยอมรับความจริงไม่ได้
คำตอบของกิเลนทำให้หานโม่ฉือพยักศีรษะเบาๆ หากว่าฉินอวี้โม่ปลอดภัยดี เขาก็โล่งใจได้
“เราอยู่ที่ไหน?”
เมื่อมองสำรวจสภาพแวดล้อมโดยรอบ หานโม่ฉือก็พยายามลุกขึ้นยืน ขาทั้งสองของเขายังอ่อนแอไร้เรี่ยวแรงทว่าเขาไม่สนใจแม้แต่น้อย หลังจากพยายามยืนขึ้นสำเร็จ สีหน้าของเขาก็ยังเรียบเฉย
“ข้าก็ไม่แน่ใจ ช่องทางเชิงมิติปรากฏขึ้นตอนที่ผลึกทมิฬระเบิดตัวเอง ข้าไม่มีเวลาคิดอะไรจึงดึงนายท่านเข้าไปโดยเร็ว ไม่อาจทราบได้เลยว่าที่นี่คือที่ใด”
กิเลนอัคคีตอบพร้อมส่ายหน้า มันเองก็ไม่รู้เลยว่าที่แห่งนี้คือที่ใด ในตอนนั้นเป็นสถานการณ์ฉุกเฉินเร่งด่วน มันจึงไม่มีเวลาคิดไตร่ตรองมากนัก กิเลนรู้เพียงแค่ว่าช่องทางเชิงมิตินั้นคือหนทางสุดท้ายในการเอาตัวรอด มันจึงไม่รอช้าและรีบดึงหานโม่ฉือเข้าไปทันที
“อืม”
หานโม่ฉือพยักศีรษะและไม่เอ่ยถามสิ่งใดต่อขณะพยายามสัมผัสถึงสภาวะพลังรอบตัว
และก็ไม่น่าเชื่อเลยว่าเขาจะสัมผัสได้ถึงบางอย่างที่แปลกประหลาดมาก
การที่ธาตุทั้งห้า—ทอง ไม้ น้ำ ไฟและดินอยู่รวมกันเป็นปรากฏการณ์ที่พบได้ยากอย่างยิ่งซึ่งสถานที่เช่นนี้เป็นสถานที่ที่จอมยุทธ์ทุกคนต่างก็ใฝ่ฝันที่จะได้เข้ามาบ่มเพาะพลัง ไม่คิดเลยว่าในพื้นที่มิติแห่งนี้จะมีธาตุทั้งห้ารวมกันอยู่ในที่เดียวกัน
*ธาตุทั้งห้า 金木水火土 (ทองไม้น้ำไฟดิน) ปฏิกิริยาของธาตุทั้ง 5 (เบญจธาตุ) ชาวจีนเชื่อว่า ทุกสรรพสิ่งเกิดขึ้นมาโดยอาศัยธาตุทั้ง 5 ซึ่งมีปฏิกิริยาก่อกำเนิดและพิฆาต เป็นวัฏจักรที่ไม่สิ้นสุด (ทอง ไม้ น้ำ ไฟ ดิน)
ต้องทราบก่อนเลยว่าทอง ไม้ น้ำ ไฟและดินมีปฏิกิริยาส่งเสริมและต่อต้านต่อกันตามคุณสมบัติของแต่ละธาตุ การที่ธาตุทั้งห้าจะปรากฏอยู่รวมกันถือเป็นสิ่งที่ยากอย่างยิ่ง อย่างไรก็ตาม สถานที่แห่งนี้กลับมีความมั่นคงอย่างที่สุดและเหมือนว่าธาตุทั้งห้าจะอยู่รวมกันได้โดยที่ไม่มีปัญหา
“นายท่าน ข้าคิดว่าที่นี่น่าจะเป็นมิติโกลาหล”
กิเลนอัคคีแผ่การรับรู้ออกไปสำรวจโดยรอบเช่นกันและชื่อนี้ก็ผุดขึ้นในหัวของมัน
มิติโกลาหลคือมิติที่ซับซ้อนซึ่งมีทั้งโอกาสและความเสี่ยง ภายในมิติแห่งนี้มีธาตุครบทั้งห้าและอาจมีธาตุอื่นนอกเหนือจากนี้ด้วย
จากตำนานเมื่อพันปีก่อน มีเรื่องเล่ากันมาว่ามียอดฝีมือที่แข็งแกร่งผู้หนึ่ง—เทพโกลาหล เขาพบมิติโกลาหลโดยบังเอิญและเข้าไปที่นั่นเพื่อเรียนรู้พลังโกลาหลจนกลายเป็นยอดฝีมืออันดับต้นๆของดินแดน
พลังโกลาหลคือพลังที่ก่อตัวขึ้นจากการรวมตัวของหลายธาตุ หากผู้ใดครอบครองพลังโกลาหล ไม่ว่าจะอยู่ที่ใดของดินแดนและไม่ว่ามีธาตุใดอยู่รอบตัว การฝึกฝนและบ่มเพาะพลังของจอมยุทธ์ผู้นั้นจะได้ผลลัพธ์เพิ่มขึ้นเป็นสองเท่าแม้ใช้ความเพียรพยายามเพียงแค่ครึ่งเดียว
ยิ่งไปกว่านั้น ธาตุของฟ้าดินเหล่านี้ก็สามารถนำมาใช้เพื่อพัฒนาเป็นกระบวนท่าที่ทรงพลังได้
เพราะเหตุนั้น พลังโกลาหลนี้จึงไม่ด้อยไปกว่ากายเทพมายาของฉินอวี้โม่และอาจทรงพลังมากกว่าด้วยซ้ำ หากหานโม่ฉือสามารถศึกษาและฝึกฝนพลังโกลาหลนี้ได้ ในอนาคตพลังของเขาจะสะเทือนทั้งใต้หล้าได้อย่างแน่นอน
อย่างไรก็ตาม พลังโกลาหลเป็นสิ่งที่ยากจะฝึกฝนและควบคุม ตลอดเวลานับพันปีที่ผ่านมานี้ ไม่มีใครที่ประสบความสำเร็จในการฝึกมันแม้แต่คนเดียว
ยิ่งไปกว่านั้น พลังโกลาหลเป็นการผสานธาตุหลายธาตุเข้าด้วยกัน จอมยุทธ์ทุกคนเข้าใจว่าธาตุต่างๆมีความสัมพันธ์ต่อกันโดยเนื้อแท้ การผสานพวกมันเข้าด้วยกันจึงไม่ใช่เรื่องง่าย ยิ่งไปกว่านั้น จอมยุทธ์อาจต้องสังเวยชีวิตในกระบวนการฝึกฝนเช่นกัน ด้วยเหตุนั้น การฝึกฝนพลังโกลาหลจึงเป็นจุดจบของจอมยุทธ์ผู้ทรงพลังมาแล้วมากมาย
แม้ได้ยินคำพูดของกิเลนอัคคี สีหน้าของหานโม่ฉือก็ยังคงไม่เปลี่ยนแปลง
เขาเองก็เคยได้ยินเรื่องพลังโกลาหลนี้มาก่อน หากฝึกมันจนสัมฤทธิผล เขาจะต้องกลายเป็นยอดฝีมือผู้ทรงพลังของทั่วทั้งดินแดนอย่างแน่นอน
ในอดีต เขาเคยส่งคนไปสืบเสาะข้อมูลเกี่ยวกับพลังลึกลับนี้มาก่อนแล้ว ทว่าก็ไม่ได้ข้อมูลที่เป็นประโยชน์มากนัก
ไม่คิดเลยว่าวันนี้เขาจะได้มีโอกาสเข้ามาอยู่ในมิติโกลาหลโดยบังเอิญและพบโอกาสครั้งใหญ่ที่จะได้ศึกษาและฝึกฝนมัน
“กิเลน..เจ้ารู้วิธีออกไปจากที่นี่รึไม่?”
แม้ว่าสิ่งที่อยู่ตรงหน้าคือโอกาสทองที่พลาดไม่ได้ เวลานี้เขาก็เป็นห่วงฉินอวี้โม่มากกว่า ถึงแม้เขาเชื่อว่านางไม่เป็นอะไร เขาก็อยากจะส่งข่าวออกไปให้นางก่อน
กิเลนอัคคีส่ายหน้าอย่างจนปัญญา มิติโกลาหลนี้ลึกลับซับซ้อนอย่างยิ่งและมันไม่รู้วิธีออกไป
“หากเป็นเช่นนั้นเราก็มุ่งหน้าออกไปและสำรวจสถานการณ์ที่นี่กันเถอะ”
หานโม่ฉือรู้สึกผิดหวังเล็กน้อยทว่าสลัดความหดหู่ในหัวใจออกไปอย่างรวดเร็ว โม่เอ๋อร์ของเขายังอยู่ข้างนอกนั่นและรอให้เขาออกไป เขาทำได้เพียงฟื้นฟูพลังของตนเองโดยเร็วที่สุดเพื่อหาทางออกไปจากมิติที่ซับซ้อนแห่งนี้
“แต่ว่า..เรื่องร่างกายของท่านล่ะ?”
ในที่สุดกิเลนก็อดเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงเป็นกังวลไม่ได้
“ฮ่าๆๆ ก็แค่รากปราณถูกทำลายและสูญเสียพลังวิญญาณไป มันไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร”
หานโม่ฉือยิ้มบางๆและกล่าวต่อ “ข้าก็แค่ต้องฝึกฝนวิชาใหม่อีกครั้งและก็อาจได้รับการเก็บเกี่ยวดีๆที่คาดไม่ถึงเช่นกัน ก่อนหน้านี้ข้าฝึกฝนจนทะลวงพลังในขอบเขตเซียนมาแล้วและครานี้ก็คงไม่มีปัญหาเช่นกัน ยิ่งไปกว่านั้น ข้ามีประสบการณ์จากการฝึกฝนแล้ว ข้าเชื่อว่าครานี้ข้าจะต้องพัฒนาได้เร็วกว่าเดิมเป็นแน่”
ใช่ว่าเขาไม่เศร้าใจ ทว่าเขาไม่มีเวลาจมปลักกับสิ่งที่ผ่านไปแล้ว สตรีคนรักของเขายังรออยู่ในโลกภายนอก เขาจะปล่อยให้นางรอนานเกินไปได้อย่างไร?
แม้ว่าตอนนี้เขาเป็นเพียงคนไร้พลัง เขาก็ผ่านประสบการณ์การฝึกฝนและบ่มเพาะทั้งหมดมาแล้ว เขาเพียงต้องฝึกฝนซ้ำใหม่และมันก็ไม่ใช่เรื่องยาก
เมื่อได้ยินวาจามั่นใจและไม่ทุกข์ร้อนของหานโม่ฉือ กิเลนอัคคีก็ประหลาดใจเล็กน้อยก่อนหัวเราะเบาๆ
มันไม่ควรคลางแคลงใจในตัวเจ้านายเลยสักนิด หานโม่ฉือมิใช่คนที่จะโวยวายและเอาแต่โทษฟ้าโทษดินเพราะการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นอย่างกะทันหันนี้
เจ้านายของมันต้องการเป็นผู้ที่ทรงพลังที่สุดในดินแดน อุปสรรคระหว่างทางเช่นนี้ไม่ใช่เรื่องใหญ่สำหรับเขา
“นายท่าน ข้าจะปกป้องท่านเองและจะไม่มีเรื่องร้ายใดๆเกิดขึ้นกับท่าน ท่านตั้งหน้าตั้งตาฝึกยุทธ์เถอะ ข้าเชื่อว่าเมื่อเราออกไปจากที่นี่ เราจะไม่ด้อยกว่าใครในดินแดน เมื่อถึงตอนนั้น ท่านก็จะไม่ต้องแยกจากนายหญิงอีกเลย!”
เมื่อได้ยินคำพูดของกิเลน หานโม่ฉือก็ยกยิ้มมุมปากเล็กน้อย
เขาเงยหน้ามองท้องฟ้ากว้างและถอนหายใจเบาๆ “โม่เอ๋อร์ รอข้าก่อน”
ในขณะเดียวกัน ฉินอวี้โม่ผู้ซึ่งอยู่ห่างไกลออกไป ณ ชนเผ่าเมฆาครามก็กำลังมองท้องฟ้ายามค่ำคืนเช่นกัน
“โม่ฉือ เจ้าอยู่ที่ไหนกันนะ?”
แม้ว่าการใช้ชีวิตอยู่ในชนเผ่าเมฆาครามจะดำเนินไปอย่างราบรื่นและมีความสนุกสนานพอสมควร ทว่าหัวใจของนางก็ยังเป็นกังวลและเป็นห่วงหานโม่ฉืออย่างที่สุด แม้ว่านางจะไม่แสดงมันออกมาก็ตาม
ทุกคราที่นึกถึงเหตุการณ์ในวันนั้น หัวใจของนางก็เกิดความรู้สึกมากมายผสมปนเปกัน
ไม่ว่าหานโม่ฉืออยู่ที่ใด นางเชื่อว่าพวกเขาทั้งสองจะได้พบกันในท้ายที่สุด
อย่างไรก็ตาม นางไม่อาจทราบได้เลยว่าเกิดอะไรขึ้นกับหานโม่ฉือ เขาปลอดภัยดีหรือไม่? และเขาคิดคำนึงถึงนางเช่นกันหรือไม่?
“อวี้โม่ เจ้ากำลังคิดถึงคนรักของเจ้าอยู่งั้นรึ?”
เมื่อเห็นฉินอวี้โม่นั่งอยู่บนพื้นหญ้าด้วยแววตาเหม่อลอย ซูน่าก็เดินเข้ามาและนั่งลงข้างๆพร้อมเอ่ยถามด้วยความสงสัยใคร่รู้
ฉินอวี้โม่พยักศีรษะทว่าไม่เอ่ยสิ่งใด
“เจ้าเล่าเรื่องของเจ้ากับบุรุษคนรักให้ข้าฟังได้รึไม่? ดูจากท่าทางของเจ้าแล้ว เจ้าคงจะรักและคิดถึงเขามากสินะ? เขาเป็นคนที่นี่รึไม่?”
ซูน่ารู้ว่าทุกคนมีเรื่องส่วนตัวทว่าทุกครั้งที่มองฉินอวี้โม่ผู้นี้ นางก็ไม่อาจอดกลั้นความอยากรู้ไว้ได้ นางสงสัยยิ่งนักว่าบุรุษแบบใดกันที่จะครองใจและทำให้ฉินอวี้โม่แสดงท่าทีเหมือนเด็กสาวตัวน้อยๆเช่นนี้ได้?
เมื่อได้ยินคำถามของซูน่า ฉินอวี้โม่ก็นึกถึงบางอย่างขึ้นมาได้ นางหันกลับมามองสตรีตรงหน้าและตัดสินใจที่จะบอกตัวตนที่แท้จริงรวมถึงจุดประสงค์ของการมาที่นี่ให้ซูน่าได้ทราบ
ไม่ว่าซูน่าจะมีปฏิกิริยาตอบสนองอย่างไร คุณหนูคนงามก็ไม่ต้องการปิดบังความจริงจากสหายตรงหน้าอีกต่อไป
.