คุณหนูสี่ สตรีเปื้อนเลือด – ตอนที่ 403 จุดประสงค์ของฉินส่าวชิง

“เจ้าเมืองฉิน ว่ามาเถอะ ท่านพาคนตั้งมากมายมาถึงชนเผ่าเมฆาครามของเรา ท่านคิดจะทำสิ่งใดกันแน่?”

ซูวั่งชวนเอ่ยถามอย่างตรงไปตรงมา เขาไม่ต้องการเสียเวลากับการอ้อมค้อมอีกต่อไป เขาชำเลืองตามองฉินส่าวชิงและเลี่ยหยางตรงหน้าเพื่อรอคำตอบ

“ฮ่าๆๆ ผู้อาวุโสซูช่างใจร้อนจริงเชียว”

ฉินส่าวชิงผู้ซึ่งนิ่งเงียบมาตลอดก็เอ่ยขึ้นเบาๆ

“ง่ายมาก จุดประสงค์ของเรายังเหมือนกับเมื่อหนึ่งร้อยวันก่อน เราตั้งใจที่จะพาตัวอวี้โม่และอาอู่ไปที่จวนเจ้าเมือง หากทั้งสองยอมตามพวกเราไปแต่โดยดี เราจะพาคนทั้งหมดกลับไปในทันที”

เมื่อได้ยินวาจาของฉินส่าวชิง ซูวั่งชวนก็ยิ้มมุมปากเล็กน้อยและกล่าว “ฮ่าๆๆ เจ้าเมืองฉินพูดจริงรึ?”

“แน่นอนอยู่แล้ว ผู้อาวุโสซูไม่เชื่อข้างั้นรึ?”

ฉินส่าวชิงแสดงสีหน้าจริงจังราวกับกล่าวมาจากใจ

ทว่าซูวั่งชวนไม่หลงกลเชื่อเขาอย่างแน่นอน

“บอกตามตรง ข้าไม่เคยเชื่อวาจาของเจ้าเมืองฉินเลย”

ซูวั่งชวนไม่ไว้หน้าฉินส่าวชิงแม้แต่น้อยขณะตอบโต้ด้วยน้ำเสียงดูถูก

วาจาของซูวั่งชวนทำให้ใบหน้าของฉินส่าวชิงเหยเกทันที ไม่คิดเลยว่าซูวั่งชวนจะกล้าหยามหน้าเขามากเช่นนี้

ในอดีตไม่ว่าจะเกิดสิ่งใดขึ้น ซูวั่งชวนก็ไม่เคยฉีกหน้าเขาอย่างเปิดเผย ทว่าครานี้อีกฝ่ายกลับไม่ปิดบังความในใจอีกต่อไป สิ่งนี้ทำให้ฉินส่าวชิงหงุดหงิดไม่น้อย

“ฮ่าๆๆ มีอะไรก็เปิดอกคุยกันตรงๆเถอะ อวี้โม่และอาอู่จะไม่ไปกับท่านอย่างแน่นอน อีกอย่าง ข้ารู้ว่าเจ้าเมืองฉินอยากกำจัดชนเผ่าเมฆาครามของเราออกไปจากสามขุมกำลังใหญ่มาโดยตลอด บัดนี้เมื่อมาถึงจุดนี้แล้ว มาดูกันเถอะว่าท่านจะสามารถทำเช่นนั้นได้หรือไม่”

ซูวั่งชวนปรบมือเสียงดังและศิษย์ทั้งหมดของชนเผ่าเมฆาครามก็เดินเข้ามาหยุดข้างหลังเขาด้วยแววตาเปี่ยมไปด้วยจิตวิญญาณการต่อสู้

เมื่อเห็นสมาชิกชนเผ่าเมฆาครามที่มีจิตวิญญาณการต่อสู้อันแรงกล้าและสัมผัสได้ถึงสภาวะพลังของพวกเขา ฉินส่าวชิงและเลี่ยหยางก็อดขมวดคิ้วไม่ได้

ทั้งสองมองหน้ากันด้วยความประหลาดใจทันที ตั้งแต่เมื่อไหร่กันที่ความแข็งแกร่งของชนเผ่าเมฆาครามพัฒนาเพิ่มขึ้นจนถึงระดับนี้?

ชนเผ่าเพลิงคำรามเป็นอันดับหนึ่งในสามขุมกำลังของเมืองเพลิงมายามาเสมอ และด้วยการสนับสนุนของฉินส่าวชิง พวกเขาก็ถือว่ามีสถานะที่สูงกว่าทั้งชนเผ่าเมฆาครามและวิหคโบยบิน ทว่าบัดนี้ดูเหมือนว่าชนเผ่าเมฆาครามมิได้อ่อนแออย่างที่คิดเสียแล้ว

“ผู้อาวุโสซู ท่านคิดที่จะตั้งตัวเป็นศัตรูกับจวนเจ้าเมืองและชนเผ่าเพลิงคำรามงั้นรึ?”

ฉินส่าวชิงกล่าวอย่างเย็นชาและแรงกดดันมหาศาลแผ่ตรงไปยังซูวั่งชวนทันที

“ฮ่าๆๆ เจ้าเมืองฉินควบคุมทุกอย่างไม่ได้หรอก หากท่านไม่เริ่มก่อน เราก็คงจะไม่ทำเช่นนี้ อีกอย่าง..ท่านก็น่าจะรู้ได้แล้วว่าชนเผ่าเมฆาครามของเรามิใช่ชนเผ่าที่กระหายสงคราม”

ซูวั่งชวนเอ่ยอย่างไม่เกรงกลัว จริงอยู่ที่ว่าแรงกดดันของฉินส่าวชิงมีผลกระทบต่อเขาพอสมควร ทว่ามันก็ไม่อาจทำให้เขาหวาดหวั่นได้ หากมีการต่อสู้เกิดขึ้นจริง เขาก็จะทุ่มเทอย่างสุดกำลังและซูวั่งชวนก็มั่นใจว่าตนเองไม่ได้ด้อยไปกว่าฉินส่าวชิงเท่าใดนัก

“เหอะ แม้ว่าความแข็งแกร่งของพวกเจ้าจะเหนือกว่าความคาดหมายของเรา ทว่าพวกเจ้าก็ทำอะไรไม่ได้หรอก คิดว่าจะเอาชนะพวกเราได้จริงๆรึ? ไม่มีทางซะหรอก!”

เลี่ยหยางแค่นเสียงเย็นชาเช่นกันและแรงกดดันจากร่างของเขาก็แผ่ออกไปกดขี่ทุกคนในชนเผ่าเมฆาคราม

“ไม่ว่าพวกข้าจะเอาชนะได้หรือไม่ มันก็ขึ้นอยู่กับการกระทำไม่ใช่คำพูด!”

ซูชิงเอ่ยด้วยความองอาจกล้าหาญไม่แพ้กันขณะแรงกดดันจากเขาแผ่ออกไปปะทะกับแรงกดดันของเลี่ยหยางอย่างไม่เสียเปรียบ

“ขอบเขตเซียนขั้นสาม!”

เมื่อสัมผัสได้ถึงพลังของซูชิง เลี่ยหยางก็ตกใจเล็กน้อย

เขาจำได้ดีว่าสมาชิกที่ทรงพลังที่สุดของชนเผ่าเมฆาครามคือซูวั่งชวนซึ่งมีพลังอยู่ในขอบเขตเซียนขั้นสองและซูชิงเป็นเพียงจอมยุทธ์ขอบเขตเซียนขั้นหนึ่งเท่านั้น แล้วเหตุใดบัดนี้ซูชิงถึงได้แสดงพลังในขอบเขตเซียนขั้นสามออกมาได้?

“ฮ่าๆๆ เลี่ยหยาง เราจะไม่รู้ถึงความคิดของชนเผ่าเพลิงคำรามได้อย่างไร ในฐานะชนเผ่าที่อ่อนแอที่สุด หากไม่มีไพ่ตายซ่อนไว้ พวกเราก็คงจะถูกพวกเจ้ากำจัดไปนานแล้ว”

ซูชิงเอ่ยขึ้นเบาๆอย่างไร้ซึ่งความเกรงกลัว ไพ่ตายของชนเผ่าเมฆาครามยังมีซ่อนไว้อีกมาก

เลี่ยหยางขมวดคิ้วมุ่นทันทีที่ได้ยินน้ำเสียงมั่นใจของซูชิง

เวลานี้ซูชิงมีพลังอยู่ในขอบเขตเซียนขั้นสาม นั่นหมายความว่าพลังของซูวั่งชวนอาจจะสูงยิ่งกว่านี้รึไม่? หากพลังของซูวั่งชวนแข็งแกร่งกว่านี้ เกรงว่าการจัดการปัญหาในวันนี้คงจะไม่ง่ายอย่างที่คิดไว้

ขณะสบตากับฉินส่าวชิง ทั้งสองถอนแรงกดดันของตนเองออกมา

“ข้าประเมินพวกท่านต่ำเกินไปจริงๆ”

ฉินส่าวชิงกล่าวขึ้นพร้อมประกายฉายแววในดวงตา

“หากพวกเราไม่มีไพ่ตายซ่อนไว้ เกรงว่าพวกเราคงถูกทำลายด้วยน้ำมือของเจ้าเมืองไปนานแล้ว”

ความชั่วร้ายในแววตาของฉินส่าวชิงไม่อาจรอดพ้นจากไปสายตาของซูวั่งชวนและซูชิงได้ ซูวั่งชวนจึงเอ่ยขึ้นเบาๆพร้อมพยักศีรษะกับซูชิงก่อนที่เขาจะถอนแรงกดดันบนร่างของตนเอง

“ฮ่าๆๆ ผู้อาวุโสซูพูดเป็นเล่นไป ในฐานะหนึ่งในสามชนเผ่าใหญ่ของเมืองเพลิงมายา ชนเผ่าเมฆาครามก็เป็นเสาหลักในเมืองของเรา หากถูกทำลายไป ความแข็งแกร่งของเมืองเพลิงมายาก็จะลดลงไปมาก แล้วข้าในฐานะเจ้าเมืองจะทำเช่นนั้นได้อย่างไรเล่า?”

จู่ๆฉินส่าวชิงก็หัวเราะร่วนจนตาปิดและเขาดูราวกับอ่อนโยนมากขึ้นในบัดดล ดูเหมือนว่าสิ่งที่เพิ่งเกิดขึ้นเป็นเพียงภาพลวงตาและไม่เคยเกิดขึ้นจริง

ยิ่งไปกว่านั้น น้ำเสียงของเขาฟังดูจริงจังราวกับการกระทำทั้งหมดก่อนหน้านี้เป็นเพียงแค่เรื่องเข้าใจผิด

แต่ทว่า… ซูวั่งชวนและซูชิงไม่มีทางเชื่อการแสดงตบตาเหล่านี้ พวกเขานิ่งเงียบไม่ตอบโต้ใดๆและรอให้ฝ่ายตรงข้ามพูดต่อ

“อันที่จริง..เราทำเช่นนี้เพราะเป็นห่วงความปลอดภัยของชนเผ่าเมฆาคราม ถึงอย่างไรแล้วภูมิหลังของสตรีผู้นี้ก็ยังไม่แน่ชัดและเราต้องพาตัวนางกลับไปสอบสวนหาความอย่างจริง อาอู่เองก็ถือเป็นสมาชิกของชนเผ่าเพลิงคำราม พ่อของเขาเสียชีวิตไปแล้ว เราทุกคนต่างก็รู้ว่าเขาเศร้าเสียใจ ข้าจึงอยากจะพาตัวเขากลับไปและหาทางชดเชยให้กับเขา ดูเหมือนว่าสถานการณ์ในตอนนี้จะมีการเข้าใจผิดกันบางอย่าง”

ฉินส่าวชิงกล่าวต่อ เขาเป็นคนมีไหวพริบดีทีเดียว ด้วยความแข็งแกร่งที่ชนเผ่าเมฆาครามแสดงออกมา เขาจึงตระหนักได้ว่าการประจันหน้าอย่างซึ่งๆหน้าจะทำให้เกิดความสูญเสียต่อทั้งสองฝ่าย

แม้ว่าเขาจะไม่สนใจความขัดแย้งระหว่างชนเผ่าเมฆาครามและชนเผ่าเพลิงคำรามแม้แต่น้อย ทว่าบัดนี้สถานการณ์ในโลกมายาก็ปั่นป่วนอย่างที่สุด แม้ว่าทุกอย่างในเมืองใหญ่ดูสงบสุขทว่าก็มีการต่อสู้ภายในมากมาย หากเมืองเพลิงมายาได้รับผลกระทบจนเกิดความเสียหายที่ร้ายแรง เจ้าเมืองจากเมืองอื่นจะไม่อยู่เฉยแน่และฉวยโอกาสนี้ในการแสวงหาผลประโยชน์เข้าตนเอง เมื่อถึงตอนนั้น ภาพลักษณ์ของเขาในสายตาฉินเหยียนจะดูไม่ดีเท่าไหร่นัก

ทว่าการที่จะให้เขาถอนกำลังออกไปในตอนนี้ เขาก็ไม่เต็มใจเช่นกัน ยิ่งไปกว่านั้น สตรีนามว่าอวี้โม่ผู้นี้ก็ลึกลับซับซ้อนมากเกินไปและเขาก็ไม่อาจปล่อยให้อาอู่ลอยหน้าลอยตาต่อไปได้ เพราะเหตุนั้นเขาจึงปล่อยให้ทั้งสองอยู่ที่นี่ต่อไปไม่ได้

“ฮ่าๆๆ เรื่องเข้าใจผิด..”

เมื่อได้ยินคำอธิบายของฉินส่าวชิง ซูวั่งชวนก็พอจะคาดเดาความคิดของอีกฝ่ายได้ เขากล่าวพร้อมรอยยิ้มบางๆ “อวี้โม่เป็นผู้มีพระคุณของชนเผ่าเมฆาครามและเป็นแขกผู้มีเกียรติของเรา เราเคยกล่าวไปแล้วว่าท่านเจ้าเมืองสามารถสืบหาความจริงได้ตามประสงค์ เพียงแต่อวี้โม่จะอยู่ในชนเผ่าเมฆาครามของเราและไม่ไปไหนทั้งนั้น ทว่าในตอนนั้นเจ้าเมืองก็ไม่เห็นด้วย”

ในจุดๆนี้ เขาหยุดครู่หนึ่งก่อนกล่าวต่อ “สำหรับอาอู่ ข้าเป็นตาของเขาและซูชิงก็เป็นลุง บัดนี้ในเมื่อพ่อแม่ของเขาล่วงลับไปแล้ว แน่นอนว่าเราย่อมดูแลเขาอย่างแน่นอน ยิ่งไปกว่านั้น ท่านเจ้าเมืองควรจะหาตัวผู้ที่ใส่ร้ายพ่อแม่ของอาอู่และทวงความยุติธรรมคืนให้กับอาอู่ไม่ใช่รึ? นั่นจะเป็นการชดเชยที่ที่สุดสำหรับเขาไม่ใช่หรอกรึ?”

ซูวั่งชวนไม่ไว้หน้าฉินส่าวชิงแม้แต่น้อย วันนี้หากฉินส่าวชิงและพวกไม่ยอมล่าถอยกลับไป พวกเขาก็พร้อมสำหรับการต่อสู้

คนของชนเผ่าเมฆาครามยอมตายดีกว่าต้องยอมจำนน และด้วยความแข็งแกร่งของชนเผ่าเมฆาครามในตอนนี้ หากมีการต่อสู้เกิดขึ้นจริง ฉินส่าวชิงและคนอื่นๆอาจจะไม่ได้กลับออกไปอีก

“สิ่งที่ผู้อาวุโสซูว่ามาก็มีเหตุผล เมื่อไม่นานมานี้ข้าพยายามสืบเรื่องพ่อแม่ของอาอู่แล้วทว่าไม่ได้ความใดๆ ส่วนแม่นางอวี้โม่ ข้าได้ทราบว่านางเป็นผู้ใช้ข่ายอาคมจึงต้องการเชิญนางไปที่จวนเจ้าเมืองเพื่อหารือและแลกเปลี่ยนความรู้กัน”

ฉินส่าวชิงกล่าวพร้อมรอยยิ้ม ท่าทางและน้ำเสียงของเขาฟังดูสุภาพมากขึ้น

เมื่อได้ยินวาจาของเจ้าเมือง ฉินอวี้โม่และคนอื่นๆก็ยิ้มอย่างเย็นชา ฉินส่าวชิงผู้นี้หน้าด้านหน้าทนอย่างแท้จริง

“ฮ่าๆๆ ข้าต้องขอบคุณความเมตตาของท่านเจ้าเมือง เพียงแต่ข้าคิดว่าคงไม่จำเป็น เชิญท่านเจ้าเมืองกลับไปก่อนเถอะ หากมีโอกาสในอนาคต ข้าจะไปเยือนจวนเจ้าเมืองด้วยตัวเองอย่างแน่นอน”

ฉินอวี้โม่ก้าวออกไปข้างหน้าพร้อมรอยยิ้มและกล่าวขึ้นเพื่อให้ฉินส่าวชิงกลับไปก่อน นางต้องการเห็นว่าฉินส่าวชิงเจ้าเล่ห์ผู้นี้จะทำอย่างไรต่อไป

เมื่อได้ยินเช่นนั้น สีหน้าของฉินส่าวชิงก็เปลี่ยนไปเล็กน้อยทว่าเขากลบเกลื่อนมันอย่างรวดเร็วและยังคงยิ้มต่อไป

“ฮ่าๆๆ หากแม่นางอวี้โม่เอ่ยปากออกมาเองเช่นนี้ ข้าก็จะไม่เซ้าซี้อีก ทว่าไหนๆวันนี้พวกเราก็อยู่กันพร้อมหน้าพร้อมตากันแล้วและในระหว่างช่วงที่ผ่านมาทุกคนก็ได้เก็บตัวฝึกฝนกันอย่างสงบสุข ข้าเองก็อยากรู้ว่าทุกคนพัฒนาไปถึงระดับใดแล้ว เหตุใดเราจึงไม่จัดสังเวียนและประชันฝีมือกันดูสักหน่อยล่ะ?”

ฉินส่าวชิงไม่ปิดบังอีกต่อไปและกล่าวจุดประสงค์ออกมาโดยตรง

เมื่อสิ้นเสียงของฉินส่าวชิง ซูวั่งชวน ซูชิงและฉินอวี้โม่ก็มองหน้ากันและพยักศีรษะ

“ในเมื่อเจ้าเมืองกล่าวมาเช่นนี้ เราก็ย่อมไม่ขัดข้อง ไม่ทราบว่าครานี้จะประชันฝีมือกันอย่างไรรึ?”

ซูวั่งชวนเอ่ยถามด้วยความสงสัยใคร่รู้ เขาอยากรู้ยิ่งนักว่าฉินส่าวชิงต้องการจะทำเช่นไร

“ฮ่าๆๆ อย่างที่ทุกคนรู้ดี เมืองเพลิงมายาของเราให้ความสำคัญกับการพัฒนาคนรุ่นเยาว์อย่างมาก จะเป็นการดีถ้าให้ผู้นำเลี่ยหยางและผู้นำซูชิงประชันฝีมือกัน ส่วนเลี่ยซานก็จับคู่กับอาอู่ และแม่นางอวี้โม่ก็จะประชันฝีมือกับผู้ใช้ข่ายอาคมของข้า ผู้อาวุโสซูมีความคิดเห็นอย่างไร?”

ฉินส่าวชิงยิ้มอย่างพึงพอใจ ในที่สุดเขาก็ได้ทำตามความต้องการ

การประชันฝีมือระหว่างเลี่ยหยางและซูชิงนั้นชัดเจนว่าเลี่ยหยางเป็นฝ่ายได้เปรียบ ทว่านั่นไม่ใช่ประเด็นหลัก จุดประสงค์หลักของฉินส่าวชิงคือการต่อสู้ระหว่างเลี่ยซานและอาอู่รวมถึงการประชันฝีมือของผู้ใช้ข่ายอาคมและฉินอวี้โม่

ถึงอย่างไรแล้วจุดประสงค์ของเขาในครานี้ก็คือฉินอวี้โม่และอาอู่

ฉินอวี้โม่งุนงงไม่น้อย นางไม่เข้าใจเลยว่าตนเองได้ทำให้เลี่ยหยางและฉินส่าวชิงขุ่นเคืองใจตั้งแต่เมื่อใด? เหตุใดพวกเขาจึงคิดร้ายต่อนางถึงเพียงนี้และต้องการจะสังหารนางให้ได้?

“เอาล่ะ ตกลงตามนั้น”

ในตอนแรกนั้นซูวั่งชวนก็ลังเลเล็กน้อย เขามิได้กังวลเกี่ยวกับฉินอวี้โม่และซูชิง ผู้ที่เขาเป็นกังวลมากที่สุดก็คืออาอู่ ทว่าเมื่ออาอู่พยักศีรษะเบาๆและเมื่อเห็นฉินอวี้โม่พยักศีรษะเช่นกันนั้น เขาก็ไม่ได้ลังเลอีกและพยักศีรษะตอบรับเงื่อนไขดังกล่าว

.

คุณหนูสี่ สตรีเปื้อนเลือด – ตอนที่ 403 จุดประสงค์ของฉินส่าวชิง

คุณหนูสี่ สตรีเปื้อนเลือด – ตอนที่ 403 จุดประสงค์ของฉินส่าวชิง

“เจ้าเมืองฉิน ว่ามาเถอะ ท่านพาคนตั้งมากมายมาถึงชนเผ่าเมฆาครามของเรา ท่านคิดจะทำสิ่งใดกันแน่?”

ซูวั่งชวนเอ่ยถามอย่างตรงไปตรงมา เขาไม่ต้องการเสียเวลากับการอ้อมค้อมอีกต่อไป เขาชำเลืองตามองฉินส่าวชิงและเลี่ยหยางตรงหน้าเพื่อรอคำตอบ

“ฮ่าๆๆ ผู้อาวุโสซูช่างใจร้อนจริงเชียว”

ฉินส่าวชิงผู้ซึ่งนิ่งเงียบมาตลอดก็เอ่ยขึ้นเบาๆ

“ง่ายมาก จุดประสงค์ของเรายังเหมือนกับเมื่อหนึ่งร้อยวันก่อน เราตั้งใจที่จะพาตัวอวี้โม่และอาอู่ไปที่จวนเจ้าเมือง หากทั้งสองยอมตามพวกเราไปแต่โดยดี เราจะพาคนทั้งหมดกลับไปในทันที”

เมื่อได้ยินวาจาของฉินส่าวชิง ซูวั่งชวนก็ยิ้มมุมปากเล็กน้อยและกล่าว “ฮ่าๆๆ เจ้าเมืองฉินพูดจริงรึ?”

“แน่นอนอยู่แล้ว ผู้อาวุโสซูไม่เชื่อข้างั้นรึ?”

ฉินส่าวชิงแสดงสีหน้าจริงจังราวกับกล่าวมาจากใจ

ทว่าซูวั่งชวนไม่หลงกลเชื่อเขาอย่างแน่นอน

“บอกตามตรง ข้าไม่เคยเชื่อวาจาของเจ้าเมืองฉินเลย”

ซูวั่งชวนไม่ไว้หน้าฉินส่าวชิงแม้แต่น้อยขณะตอบโต้ด้วยน้ำเสียงดูถูก

วาจาของซูวั่งชวนทำให้ใบหน้าของฉินส่าวชิงเหยเกทันที ไม่คิดเลยว่าซูวั่งชวนจะกล้าหยามหน้าเขามากเช่นนี้

ในอดีตไม่ว่าจะเกิดสิ่งใดขึ้น ซูวั่งชวนก็ไม่เคยฉีกหน้าเขาอย่างเปิดเผย ทว่าครานี้อีกฝ่ายกลับไม่ปิดบังความในใจอีกต่อไป สิ่งนี้ทำให้ฉินส่าวชิงหงุดหงิดไม่น้อย

“ฮ่าๆๆ มีอะไรก็เปิดอกคุยกันตรงๆเถอะ อวี้โม่และอาอู่จะไม่ไปกับท่านอย่างแน่นอน อีกอย่าง ข้ารู้ว่าเจ้าเมืองฉินอยากกำจัดชนเผ่าเมฆาครามของเราออกไปจากสามขุมกำลังใหญ่มาโดยตลอด บัดนี้เมื่อมาถึงจุดนี้แล้ว มาดูกันเถอะว่าท่านจะสามารถทำเช่นนั้นได้หรือไม่”

ซูวั่งชวนปรบมือเสียงดังและศิษย์ทั้งหมดของชนเผ่าเมฆาครามก็เดินเข้ามาหยุดข้างหลังเขาด้วยแววตาเปี่ยมไปด้วยจิตวิญญาณการต่อสู้

เมื่อเห็นสมาชิกชนเผ่าเมฆาครามที่มีจิตวิญญาณการต่อสู้อันแรงกล้าและสัมผัสได้ถึงสภาวะพลังของพวกเขา ฉินส่าวชิงและเลี่ยหยางก็อดขมวดคิ้วไม่ได้

ทั้งสองมองหน้ากันด้วยความประหลาดใจทันที ตั้งแต่เมื่อไหร่กันที่ความแข็งแกร่งของชนเผ่าเมฆาครามพัฒนาเพิ่มขึ้นจนถึงระดับนี้?

ชนเผ่าเพลิงคำรามเป็นอันดับหนึ่งในสามขุมกำลังของเมืองเพลิงมายามาเสมอ และด้วยการสนับสนุนของฉินส่าวชิง พวกเขาก็ถือว่ามีสถานะที่สูงกว่าทั้งชนเผ่าเมฆาครามและวิหคโบยบิน ทว่าบัดนี้ดูเหมือนว่าชนเผ่าเมฆาครามมิได้อ่อนแออย่างที่คิดเสียแล้ว

“ผู้อาวุโสซู ท่านคิดที่จะตั้งตัวเป็นศัตรูกับจวนเจ้าเมืองและชนเผ่าเพลิงคำรามงั้นรึ?”

ฉินส่าวชิงกล่าวอย่างเย็นชาและแรงกดดันมหาศาลแผ่ตรงไปยังซูวั่งชวนทันที

“ฮ่าๆๆ เจ้าเมืองฉินควบคุมทุกอย่างไม่ได้หรอก หากท่านไม่เริ่มก่อน เราก็คงจะไม่ทำเช่นนี้ อีกอย่าง..ท่านก็น่าจะรู้ได้แล้วว่าชนเผ่าเมฆาครามของเรามิใช่ชนเผ่าที่กระหายสงคราม”

ซูวั่งชวนเอ่ยอย่างไม่เกรงกลัว จริงอยู่ที่ว่าแรงกดดันของฉินส่าวชิงมีผลกระทบต่อเขาพอสมควร ทว่ามันก็ไม่อาจทำให้เขาหวาดหวั่นได้ หากมีการต่อสู้เกิดขึ้นจริง เขาก็จะทุ่มเทอย่างสุดกำลังและซูวั่งชวนก็มั่นใจว่าตนเองไม่ได้ด้อยไปกว่าฉินส่าวชิงเท่าใดนัก

“เหอะ แม้ว่าความแข็งแกร่งของพวกเจ้าจะเหนือกว่าความคาดหมายของเรา ทว่าพวกเจ้าก็ทำอะไรไม่ได้หรอก คิดว่าจะเอาชนะพวกเราได้จริงๆรึ? ไม่มีทางซะหรอก!”

เลี่ยหยางแค่นเสียงเย็นชาเช่นกันและแรงกดดันจากร่างของเขาก็แผ่ออกไปกดขี่ทุกคนในชนเผ่าเมฆาคราม

“ไม่ว่าพวกข้าจะเอาชนะได้หรือไม่ มันก็ขึ้นอยู่กับการกระทำไม่ใช่คำพูด!”

ซูชิงเอ่ยด้วยความองอาจกล้าหาญไม่แพ้กันขณะแรงกดดันจากเขาแผ่ออกไปปะทะกับแรงกดดันของเลี่ยหยางอย่างไม่เสียเปรียบ

“ขอบเขตเซียนขั้นสาม!”

เมื่อสัมผัสได้ถึงพลังของซูชิง เลี่ยหยางก็ตกใจเล็กน้อย

เขาจำได้ดีว่าสมาชิกที่ทรงพลังที่สุดของชนเผ่าเมฆาครามคือซูวั่งชวนซึ่งมีพลังอยู่ในขอบเขตเซียนขั้นสองและซูชิงเป็นเพียงจอมยุทธ์ขอบเขตเซียนขั้นหนึ่งเท่านั้น แล้วเหตุใดบัดนี้ซูชิงถึงได้แสดงพลังในขอบเขตเซียนขั้นสามออกมาได้?

“ฮ่าๆๆ เลี่ยหยาง เราจะไม่รู้ถึงความคิดของชนเผ่าเพลิงคำรามได้อย่างไร ในฐานะชนเผ่าที่อ่อนแอที่สุด หากไม่มีไพ่ตายซ่อนไว้ พวกเราก็คงจะถูกพวกเจ้ากำจัดไปนานแล้ว”

ซูชิงเอ่ยขึ้นเบาๆอย่างไร้ซึ่งความเกรงกลัว ไพ่ตายของชนเผ่าเมฆาครามยังมีซ่อนไว้อีกมาก

เลี่ยหยางขมวดคิ้วมุ่นทันทีที่ได้ยินน้ำเสียงมั่นใจของซูชิง

เวลานี้ซูชิงมีพลังอยู่ในขอบเขตเซียนขั้นสาม นั่นหมายความว่าพลังของซูวั่งชวนอาจจะสูงยิ่งกว่านี้รึไม่? หากพลังของซูวั่งชวนแข็งแกร่งกว่านี้ เกรงว่าการจัดการปัญหาในวันนี้คงจะไม่ง่ายอย่างที่คิดไว้

ขณะสบตากับฉินส่าวชิง ทั้งสองถอนแรงกดดันของตนเองออกมา

“ข้าประเมินพวกท่านต่ำเกินไปจริงๆ”

ฉินส่าวชิงกล่าวขึ้นพร้อมประกายฉายแววในดวงตา

“หากพวกเราไม่มีไพ่ตายซ่อนไว้ เกรงว่าพวกเราคงถูกทำลายด้วยน้ำมือของเจ้าเมืองไปนานแล้ว”

ความชั่วร้ายในแววตาของฉินส่าวชิงไม่อาจรอดพ้นจากไปสายตาของซูวั่งชวนและซูชิงได้ ซูวั่งชวนจึงเอ่ยขึ้นเบาๆพร้อมพยักศีรษะกับซูชิงก่อนที่เขาจะถอนแรงกดดันบนร่างของตนเอง

“ฮ่าๆๆ ผู้อาวุโสซูพูดเป็นเล่นไป ในฐานะหนึ่งในสามชนเผ่าใหญ่ของเมืองเพลิงมายา ชนเผ่าเมฆาครามก็เป็นเสาหลักในเมืองของเรา หากถูกทำลายไป ความแข็งแกร่งของเมืองเพลิงมายาก็จะลดลงไปมาก แล้วข้าในฐานะเจ้าเมืองจะทำเช่นนั้นได้อย่างไรเล่า?”

จู่ๆฉินส่าวชิงก็หัวเราะร่วนจนตาปิดและเขาดูราวกับอ่อนโยนมากขึ้นในบัดดล ดูเหมือนว่าสิ่งที่เพิ่งเกิดขึ้นเป็นเพียงภาพลวงตาและไม่เคยเกิดขึ้นจริง

ยิ่งไปกว่านั้น น้ำเสียงของเขาฟังดูจริงจังราวกับการกระทำทั้งหมดก่อนหน้านี้เป็นเพียงแค่เรื่องเข้าใจผิด

แต่ทว่า… ซูวั่งชวนและซูชิงไม่มีทางเชื่อการแสดงตบตาเหล่านี้ พวกเขานิ่งเงียบไม่ตอบโต้ใดๆและรอให้ฝ่ายตรงข้ามพูดต่อ

“อันที่จริง..เราทำเช่นนี้เพราะเป็นห่วงความปลอดภัยของชนเผ่าเมฆาคราม ถึงอย่างไรแล้วภูมิหลังของสตรีผู้นี้ก็ยังไม่แน่ชัดและเราต้องพาตัวนางกลับไปสอบสวนหาความอย่างจริง อาอู่เองก็ถือเป็นสมาชิกของชนเผ่าเพลิงคำราม พ่อของเขาเสียชีวิตไปแล้ว เราทุกคนต่างก็รู้ว่าเขาเศร้าเสียใจ ข้าจึงอยากจะพาตัวเขากลับไปและหาทางชดเชยให้กับเขา ดูเหมือนว่าสถานการณ์ในตอนนี้จะมีการเข้าใจผิดกันบางอย่าง”

ฉินส่าวชิงกล่าวต่อ เขาเป็นคนมีไหวพริบดีทีเดียว ด้วยความแข็งแกร่งที่ชนเผ่าเมฆาครามแสดงออกมา เขาจึงตระหนักได้ว่าการประจันหน้าอย่างซึ่งๆหน้าจะทำให้เกิดความสูญเสียต่อทั้งสองฝ่าย

แม้ว่าเขาจะไม่สนใจความขัดแย้งระหว่างชนเผ่าเมฆาครามและชนเผ่าเพลิงคำรามแม้แต่น้อย ทว่าบัดนี้สถานการณ์ในโลกมายาก็ปั่นป่วนอย่างที่สุด แม้ว่าทุกอย่างในเมืองใหญ่ดูสงบสุขทว่าก็มีการต่อสู้ภายในมากมาย หากเมืองเพลิงมายาได้รับผลกระทบจนเกิดความเสียหายที่ร้ายแรง เจ้าเมืองจากเมืองอื่นจะไม่อยู่เฉยแน่และฉวยโอกาสนี้ในการแสวงหาผลประโยชน์เข้าตนเอง เมื่อถึงตอนนั้น ภาพลักษณ์ของเขาในสายตาฉินเหยียนจะดูไม่ดีเท่าไหร่นัก

ทว่าการที่จะให้เขาถอนกำลังออกไปในตอนนี้ เขาก็ไม่เต็มใจเช่นกัน ยิ่งไปกว่านั้น สตรีนามว่าอวี้โม่ผู้นี้ก็ลึกลับซับซ้อนมากเกินไปและเขาก็ไม่อาจปล่อยให้อาอู่ลอยหน้าลอยตาต่อไปได้ เพราะเหตุนั้นเขาจึงปล่อยให้ทั้งสองอยู่ที่นี่ต่อไปไม่ได้

“ฮ่าๆๆ เรื่องเข้าใจผิด..”

เมื่อได้ยินคำอธิบายของฉินส่าวชิง ซูวั่งชวนก็พอจะคาดเดาความคิดของอีกฝ่ายได้ เขากล่าวพร้อมรอยยิ้มบางๆ “อวี้โม่เป็นผู้มีพระคุณของชนเผ่าเมฆาครามและเป็นแขกผู้มีเกียรติของเรา เราเคยกล่าวไปแล้วว่าท่านเจ้าเมืองสามารถสืบหาความจริงได้ตามประสงค์ เพียงแต่อวี้โม่จะอยู่ในชนเผ่าเมฆาครามของเราและไม่ไปไหนทั้งนั้น ทว่าในตอนนั้นเจ้าเมืองก็ไม่เห็นด้วย”

ในจุดๆนี้ เขาหยุดครู่หนึ่งก่อนกล่าวต่อ “สำหรับอาอู่ ข้าเป็นตาของเขาและซูชิงก็เป็นลุง บัดนี้ในเมื่อพ่อแม่ของเขาล่วงลับไปแล้ว แน่นอนว่าเราย่อมดูแลเขาอย่างแน่นอน ยิ่งไปกว่านั้น ท่านเจ้าเมืองควรจะหาตัวผู้ที่ใส่ร้ายพ่อแม่ของอาอู่และทวงความยุติธรรมคืนให้กับอาอู่ไม่ใช่รึ? นั่นจะเป็นการชดเชยที่ที่สุดสำหรับเขาไม่ใช่หรอกรึ?”

ซูวั่งชวนไม่ไว้หน้าฉินส่าวชิงแม้แต่น้อย วันนี้หากฉินส่าวชิงและพวกไม่ยอมล่าถอยกลับไป พวกเขาก็พร้อมสำหรับการต่อสู้

คนของชนเผ่าเมฆาครามยอมตายดีกว่าต้องยอมจำนน และด้วยความแข็งแกร่งของชนเผ่าเมฆาครามในตอนนี้ หากมีการต่อสู้เกิดขึ้นจริง ฉินส่าวชิงและคนอื่นๆอาจจะไม่ได้กลับออกไปอีก

“สิ่งที่ผู้อาวุโสซูว่ามาก็มีเหตุผล เมื่อไม่นานมานี้ข้าพยายามสืบเรื่องพ่อแม่ของอาอู่แล้วทว่าไม่ได้ความใดๆ ส่วนแม่นางอวี้โม่ ข้าได้ทราบว่านางเป็นผู้ใช้ข่ายอาคมจึงต้องการเชิญนางไปที่จวนเจ้าเมืองเพื่อหารือและแลกเปลี่ยนความรู้กัน”

ฉินส่าวชิงกล่าวพร้อมรอยยิ้ม ท่าทางและน้ำเสียงของเขาฟังดูสุภาพมากขึ้น

เมื่อได้ยินวาจาของเจ้าเมือง ฉินอวี้โม่และคนอื่นๆก็ยิ้มอย่างเย็นชา ฉินส่าวชิงผู้นี้หน้าด้านหน้าทนอย่างแท้จริง

“ฮ่าๆๆ ข้าต้องขอบคุณความเมตตาของท่านเจ้าเมือง เพียงแต่ข้าคิดว่าคงไม่จำเป็น เชิญท่านเจ้าเมืองกลับไปก่อนเถอะ หากมีโอกาสในอนาคต ข้าจะไปเยือนจวนเจ้าเมืองด้วยตัวเองอย่างแน่นอน”

ฉินอวี้โม่ก้าวออกไปข้างหน้าพร้อมรอยยิ้มและกล่าวขึ้นเพื่อให้ฉินส่าวชิงกลับไปก่อน นางต้องการเห็นว่าฉินส่าวชิงเจ้าเล่ห์ผู้นี้จะทำอย่างไรต่อไป

เมื่อได้ยินเช่นนั้น สีหน้าของฉินส่าวชิงก็เปลี่ยนไปเล็กน้อยทว่าเขากลบเกลื่อนมันอย่างรวดเร็วและยังคงยิ้มต่อไป

“ฮ่าๆๆ หากแม่นางอวี้โม่เอ่ยปากออกมาเองเช่นนี้ ข้าก็จะไม่เซ้าซี้อีก ทว่าไหนๆวันนี้พวกเราก็อยู่กันพร้อมหน้าพร้อมตากันแล้วและในระหว่างช่วงที่ผ่านมาทุกคนก็ได้เก็บตัวฝึกฝนกันอย่างสงบสุข ข้าเองก็อยากรู้ว่าทุกคนพัฒนาไปถึงระดับใดแล้ว เหตุใดเราจึงไม่จัดสังเวียนและประชันฝีมือกันดูสักหน่อยล่ะ?”

ฉินส่าวชิงไม่ปิดบังอีกต่อไปและกล่าวจุดประสงค์ออกมาโดยตรง

เมื่อสิ้นเสียงของฉินส่าวชิง ซูวั่งชวน ซูชิงและฉินอวี้โม่ก็มองหน้ากันและพยักศีรษะ

“ในเมื่อเจ้าเมืองกล่าวมาเช่นนี้ เราก็ย่อมไม่ขัดข้อง ไม่ทราบว่าครานี้จะประชันฝีมือกันอย่างไรรึ?”

ซูวั่งชวนเอ่ยถามด้วยความสงสัยใคร่รู้ เขาอยากรู้ยิ่งนักว่าฉินส่าวชิงต้องการจะทำเช่นไร

“ฮ่าๆๆ อย่างที่ทุกคนรู้ดี เมืองเพลิงมายาของเราให้ความสำคัญกับการพัฒนาคนรุ่นเยาว์อย่างมาก จะเป็นการดีถ้าให้ผู้นำเลี่ยหยางและผู้นำซูชิงประชันฝีมือกัน ส่วนเลี่ยซานก็จับคู่กับอาอู่ และแม่นางอวี้โม่ก็จะประชันฝีมือกับผู้ใช้ข่ายอาคมของข้า ผู้อาวุโสซูมีความคิดเห็นอย่างไร?”

ฉินส่าวชิงยิ้มอย่างพึงพอใจ ในที่สุดเขาก็ได้ทำตามความต้องการ

การประชันฝีมือระหว่างเลี่ยหยางและซูชิงนั้นชัดเจนว่าเลี่ยหยางเป็นฝ่ายได้เปรียบ ทว่านั่นไม่ใช่ประเด็นหลัก จุดประสงค์หลักของฉินส่าวชิงคือการต่อสู้ระหว่างเลี่ยซานและอาอู่รวมถึงการประชันฝีมือของผู้ใช้ข่ายอาคมและฉินอวี้โม่

ถึงอย่างไรแล้วจุดประสงค์ของเขาในครานี้ก็คือฉินอวี้โม่และอาอู่

ฉินอวี้โม่งุนงงไม่น้อย นางไม่เข้าใจเลยว่าตนเองได้ทำให้เลี่ยหยางและฉินส่าวชิงขุ่นเคืองใจตั้งแต่เมื่อใด? เหตุใดพวกเขาจึงคิดร้ายต่อนางถึงเพียงนี้และต้องการจะสังหารนางให้ได้?

“เอาล่ะ ตกลงตามนั้น”

ในตอนแรกนั้นซูวั่งชวนก็ลังเลเล็กน้อย เขามิได้กังวลเกี่ยวกับฉินอวี้โม่และซูชิง ผู้ที่เขาเป็นกังวลมากที่สุดก็คืออาอู่ ทว่าเมื่ออาอู่พยักศีรษะเบาๆและเมื่อเห็นฉินอวี้โม่พยักศีรษะเช่นกันนั้น เขาก็ไม่ได้ลังเลอีกและพยักศีรษะตอบรับเงื่อนไขดังกล่าว

.

Options

not work with dark mode
Reset