ซูวั่งชวน ฉินอวี้โม่และคนอื่นๆนั่งรวมตัวกันมองดูการเปลี่ยนแปลงในสีหน้าของฉินส่าวชิงและเลี่ยหยาง
ทว่าหลังจากระยะเวลาหนึ่ง เมื่อฉินส่าวชิงและเลี่ยหยางไม่เอ่ยปากและสีหน้าก็ดูบิดเบี้ยวอย่างยิ่ง ฉินอวี้โม่และซูวั่งชวนจึงมองหน้ากันขณะคาดเดาว่าการประชันฝีมือในวันนี้คงไม่เกิดขึ้นอีกต่อไป
“เจ้าเมืองฉิน ไม่ทราบว่าผู้ใช้ข่ายอาคมที่ท่านพามาอยู่ที่ใดรึ? เราไม่อยากเสียเวลาไปมากกว่านี้แล้ว เตรียมคนของท่านเถอะ”
อดีตนักฆ่าสาวยืนขึ้นพร้อมรอยยิ้มและกล่าวราวกับกำลังกระหายการต่อสู้
เมื่อได้ยินเช่นนั้น ฉินส่าวชิงผู้ซึ่งติดอยู่ในภวังค์ความคิดก็ได้สติอีกครั้ง
“ฮ่าๆๆ ท่านจอมยุทธ์อวี้โม่ เรื่องทั้งหมดก่อนหน้านี้เป็นเพียงการเข้าใจผิด เป็นเพราะข้าเชื่อข่าวลือผิดๆจากพวกคนชั่ว ข้าก็เลยเข้ามารบกวนท่านซ้ำแล้วซ้ำเล่าเช่นนี้ ข้าต้องขออภัยต่อท่านก่อนเลย หวังว่าท่านจะถือสากับเรื่องก่อนหน้านี้ วันนี้พวกเราต้องขอตัวกลับก่อนและข้าจะจัดงานเลี้ยงขึ้นที่จวนเจ้าเมืองหลังจากนี้เพื่อเป็นการขอโทษต่อจอมยุทธ์อวี้โม่และผู้อาวุโสซู”
ฉินส่าวชิงหน้าด้านหน้าทนเป็นอย่างยิ่ง เมื่อได้ทราบตัวตนของฉินอวี้โม่ เขาก็ไม่กล้าดำเนินการต่อสู้อีกต่อไป เขากล่าวด้วยน้ำเสียงเคารพต่อฉินอวี้โม่ขณะที่ใบหน้ามีรอยยิ้มปรากฏอย่างชัดเจน
เขายังคงหวังที่จะบรรเทาความบาดหมางกับฉินอวี้โม่ ซูวั่งชวนและคนอื่นๆเพื่อพยายามประจบตามใจนาง
เมื่อได้ยินวาจาที่เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิงของฉินส่าวชิง ฉินอวี้โม่ก็ยกยิ้มมุมปากด้วยความเย้ยหยัน
อย่างไรก็ตาม นางไม่ยอมเสียเวลาเล่นเกมการต่อสู้นี้อีกต่อไป นางและคนอื่นๆได้วางแผนไว้ก่อนหน้านี้แล้ว เวลานี้พวกเขาเพียงแค่ต้องการทำให้ฉินส่าวชิงหยุดสร้างปัญหาเพิ่มเติม ทว่าเมื่อถึงเวลาที่ทุกอย่างพร้อม ฉินส่าวชิงและเลี่ยหยางจะต้องหายไปอย่างแน่นอน
“ถ้างั้นก็เชิญเจ้าเมืองฉินเถอะ เราจะไม่ยื้อท่านไว้”
ฉินอวี้โม่กล่าวอย่างตรงไปตรงมาเพื่อให้ฉินส่าวชิงและเลี่ยหยางกลับไป
เมื่อได้ยินเช่นนั้น เจ้าเมืองฉินก็ไม่เอ่ยสิ่งใดให้มากความอีกและหันไปส่งสายตากับเลี่ยหยาง จากนั้นเขาก็หันหลังกลับไปและนำกลุ่มผู้ติดตามมุ่งหน้าหายไปในบริเวณอาณาเขตของชนเผ่าเมฆาครามอย่างรวดเร็ว
ทว่าก่อนกลับ เลี่ยหยางก็ตวัดสายตามองอาอู่อย่างเคียดแค้นก่อนเลื่อนมาที่ฉินอวี้โม่ด้วยแววตาเปลี่ยนไปเป็นความสับสนซับซ้อน ทว่าเขาก็ไม่กล้าเอ่ยสิ่งใดก่อนที่มุ่งหน้าตามฉินส่าวชิงออกไปอย่างรวดเร็ว
“พวกเราก็กลับกันเถอะ”
ฉินอวี้โม่ยิ้มบางๆและกลับเข้าไปภายในพื้นที่ชนเผ่าพร้อมซูวั่งชวนและคนอื่นๆ
“ไม่คิดเลยว่าคนอย่างฉินส่าวชิงจะยอมถอยกลับไปง่ายๆ สถานะผู้ฝึกสัตว์อสูรระดับเทวะของอวี้โม่ทำให้พวกเขาหวาดกลัวขึ้นมาจริงๆ”
ซูน่าจับแขนฉินอวี้โม่ขณะกล่าวด้วยความรู้สึกหลากหลาย
นางคิดว่าวันนี้จะต้องมีการต่อสู้ที่น่าสนุก ไม่คิดเลยว่าฉินส่าวชิงและพวกจะถอนกำลังไปอย่างง่ายดายทันทีที่สถานะผู้ฝึกสัตว์อสูรระดับเทวะของฉินอวี้โม่ถูกเปิดเผย
“ฮ่าๆๆ ต่อให้เป็นฉินเหยียนก็ต้องแสดงความเคารพต่อผู้ฝึกสัตว์อสูรระดับเทวะ จนถึงตอนนี้โลกมายาของเราก็ยังไม่มีผู้ฝึกสัตว์อสูรระดับเทวะเลย เพียงแต่ข้าแปลกใจจริงๆที่ฉินส่าวชิงหลงเชื่ออย่างง่ายดายเช่นนี้”
ซูชิงกล่าวพร้อมรอยยิ้ม ตัวตนในฐานะผู้ฝึกสัตว์อสูรระดับเทวะเป็นสิ่งที่น่าตกใจอย่างยิ่ง แม้แต่เขาก็ตกตะลึงไม่น้อยตอนทราบเรื่องเป็นครั้งแรก
หากไม่ใช่เพราะสนิทสนมกับฉินอวี้โม่และคุ้นเคยกับลักษณะนิสัยของนาง เกรงว่าชนเผ่าเมฆาครามคงจะปฏิบัติต่อฉินอวี้โม่เหมือนกับเป็นแขกผู้สูงส่ง
“เขาจะไม่เชื่อได้ยังไงเล่า มีหลายสิ่งหลายอย่างที่เกิดขึ้นในช่วงที่ผ่านมานี้และเขาจะต้องคิดไตร่ตรองอย่างรอบคอบแล้วเป็นแน่ ต่อให้เขายังคลางแคลงใจเกี่ยวกับตัวตนของฉินอวี้โม่ เขาก็ไม่กล้ากระทำการบุ่มบ่ามอีก การที่ทำให้ผู้ฝึกสัตว์อสูรระดับเทวะขุ่นเคืองใจนั้น ต่อให้เขาเป็นถึงเจ้าเมืองเพลิงมายา เขาก็ไม่กล้าหรอก”
ซูวั่งชวนเอ่ยขึ้นเบาๆ เขาพอจะคาดเดาได้ว่าฉินส่าวชิงคิดอย่างไร ตัวตนของผู้ฝึกสัตว์อสูรระดับเทวะส่งผลต่อฉินส่าวชิงเป็นอย่างมาก ต่อให้จะยังคงสงสัยและไม่มั่นใจ เขาก็ไม่กล้าทำสิ่งใดอย่างไม่ยั้งคิด
ฉินอวี้โม่พยักศีรษะเห็นด้วย นางไม่อยากเชื่อเลยว่าผู้ฝึกสัตว์อสูรระดับเทวะจะเป็นตัวยับยั้งปัญหาที่ทรงพลังเช่นนี้
ทว่าในขณะที่นางกำลังจะเอ่ยพูดอะไรบางอย่าง จู่ๆนางก็รู้สึกวิงเวียนขึ้นมาอย่างไม่ทันตั้งตัว
“อวี้โม่ เจ้าเป็นอะไรไป?”
ป้าหลานผู้ซึ่งเดินอยู่เคียงข้างสังเกตเห็นอาการผิดปกติของฉินอวี้โม่ได้ทันที นางจึงยื่นมือออกมาช่วยพยุงและเอ่ยถามด้วยความเป็นห่วง
หลังจากวิงเวียนเพียงชั่วครู่ ฉินอวี้โม่ก็กลับมาเป็นปกติ
นางยิ้มบางๆและเอ่ยตอบ “ข้าไม่ได้เป็นอะไร เพียงแค่จู่ๆก็รู้สึกหน้ามืดและรู้สึกไม่สบายตัวขึ้นมา”
“ไปตามหมอมาตรวจดูอาการจะดีกว่า แม้ว่าด้วยการที่พวกเราเป็นจอมยุทธ์ โดยปกติแล้วสิ่งเหล่านี้จะไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร ทว่าช่วงนี้ข้าก็เห็นเจ้าทานอาหารน้อยลงและใบหน้าก็ซีดเซียวกว่าก่อนเล็กน้อย ข้าคิดว่าควรที่จะตามหมอมาดูอาการของเจ้าให้แน่ชัดเพื่อที่จะได้วางใจ”
ซูน่าพยุงอีกข้างขณะกล่าวด้วยความเป็นห่วงเช่นกัน
ในช่วงหลังมานี้นางสัมผัสได้ถึงความผิดปกติของสหายผู้นี้ แม้ว่าสำหรับจอมยุทธ์ทั่วไป การไม่รับประทานอาหารนานหลายวันจะไม่เป็นปัญหา
อย่างไรก็ตาม ซูน่ารู้ว่าฉินอวี้โม่มิใช่คนที่จะปฏิเสธอาหาร ยิ่งไปกว่านั้น นางก็ยังรับประทานอาหารสามมื้อต่อวันเหมือนกับคนปกติ
เพียงแต่ในช่วงหลังมานี้ดูเหมือนนางไม่รับประทานอาหารมากนักและใบหน้าก็ซีดลงกว่าเดิม ดูแล้วอาการของนางไม่ดีเอาเสียเลย
“ซูน่าพูดถูก หากมีสิ่งใดผิดปกติ การตรวจดูให้รู้ก็ย่อมดีกว่า แม้ว่าเจ้าจะแข็งแกร่งกว่าคนอื่นๆมาก การมีอาการป่วยไข้เล็กๆน้อยๆก็เป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ ความเจ็บป่วยเหล่านี้รักษาไม่ได้ด้วยโอสถพวกนั้น เจ้ายังต้องพบหมอและทานยารักษาตามอาการ”
ซูวั่งชวนกล่าวด้วยความเป็นห่วงเช่นกัน
สำหรับผู้ฝึกยุทธ์ หากมีอาการบาดเจ็บทั้งภายในหรือภายนอก โอสถจะถือว่าเป็นประโยชน์อย่างยิ่ง ทว่าหากเป็นการเจ็บไข้ไม่สบายก็ต้องรับยาที่สั่งจ่ายโดยหมอทั่วไป
อย่างไรก็ตาม ลักษณะร่างกายของจอมยุทธ์ก็แตกต่างจากคนทั่วไปซึ่งในสถานการณ์ปกติพวกเขาจะป่วยไข้ได้ยากมาก
เมื่อได้ยินความเป็นห่วงของทุกคน ฉินอวี้โม่ก็พยักศีรษะและไม่ดึงดันปฏิเสธน้ำใจของพวกเขา
“ถ้าเช่นนั้นข้าจะไปเรียกอาหนิวมา เขาเป็นหมอที่ดีที่สุดในชนเผ่าของเรา”
อาอู่กล่าวก่อนวิ่งออกไปที่กระโจมหลังหนึ่งอย่างรวดเร็วซึ่งเป็นกระโจมของหมอที่ดีที่สุดแห่งชนเผ่าเมฆาคราม
ซูน่าและป้าหลานก็ประคองฉินอวี้โม่กลับไปที่กระโจมของนาง
ในขณะเดียวกัน ซูวั่งชวนและซูชิง รวมถึงจูเฟยชวี่และคนอื่นๆที่ซ่อนตัวอยู่ในคฤหาสน์เฟิงหัวก็ออกไปที่กระโจมของพวกเขาเพื่อหารือแผนการกันต่อไป
หลังจากผ่านไปเพียงไม่นาน อาอู่ก็กลับมาพร้อมบุรุษวัยกลางคนคนหนึ่ง
เขาดูเป็นมิตรอย่างยิ่งและมีรอยยิ้มประดับบนใบหน้าซึ่งทำให้ผู้คนรู้สึกใกล้ชิดกับเขา เขาคือหมอประจำชนเผ่าเมฆาคราม—อาหนิว
ฉินอวี้โม่นั่งนิ่งและยื่นมือออกไปอย่างเชื่อฟังเพื่อให้อาหนิวตรวจชีพจรของตน
อาหนิวก็ขมวดคิ้วเล็กน้อยขณะที่ตรวจดูอาการก่อนยิ้มกว้างออกมา
เมื่อเห็นสีหน้าที่เปลี่ยนไปของอาหนิว ซูน่าและป้าหลานก็รู้สึกสับสนเล็กน้อย อาอู่เองก็เป็นห่วงฉินอวี้โม่เช่นกัน เขาจึงเอ่ยถามอย่างกระตือรือร้นทันที “ท่านอาหนิว พี่อวี้โม่เป็นอะไรรึขอรับ?”
“อวี้โม่ ช่วงที่ผ่านมานี้มีอาการวิงเวียนศีรษะเป็นครั้งคราว ไม่เจริญอาหารและอาเจียนใช่รึไม่?”
อาหนิวยืนขึ้นและกล่าวกับฉินอวี้โม่
ฉินอวี้โม่พยักศีรษะเป็นคำตอบ หลายวันที่ผ่านมานี้นางมีอาการเหล่านี้จริงๆ
เมื่อได้ยินคำพูดของอาหนิว ป้าหลานก็ดูเหมือนจะนึกบางอย่างขึ้นได้และรอยยิ้มเปี่ยมสุขก็ปรากฏขึ้นบนใบหน้าของนางทันที
“หากเช่นนั้นข้าก็ขอแสดงความยินดีด้วย หากการอ่านชีพจรถูกต้อง เจ้าก็น่าจะกำลังตั้งครรภ์”
อาหนิวยิ้มและกล่าวกับฉินอวี้โม่โดยตรง
เมื่อได้ยินคำวินิจฉัยของหมอ ฉินอวี้โม่ก็ตกตะลึงทันที จากนั้นรอยยิ้มก็ปรากฏบนใบหน้าของนางอย่างอัตโนมัติ
แม้ว่านางเคยคาดเดาก่อนหน้านี้เมื่อสำรวจอาการของตนเอง นางก็คิดว่าไม่น่าจะเป็นไปได้ เพราะเมื่อนับวันเวลาที่ล่วงเลยมา หากว่าตั้งครรภ์จริง อายุครรภ์ของนางก็น่าจะเป็นหกหรือเจ็ดเดือนเป็นอย่างต่ำ อย่างไรก็ตาม ท้องของนางก็ยังไม่โตเลยสักนิดและอาการผิดปกติต่างๆก็เพิ่งเกิดขึ้นเมื่อไม่นานมานี้เท่านั้น
อย่างไรก็ตาม อาหนิวเป็นหมอฝีมือดีและการวินิจฉัยของเขาก็คงจะไม่ผิดพลาด
“อวี้โม่มีความสุขรึไม่?”
ซูน่าและอาอู่ตกใจเล็กน้อยก่อนยิ้มกว้างอย่างอดไม่ได้
“ท่านอาหนิว ท่านรู้รึไม่ว่าข้าตั้งครรภ์นานแค่ไหนแล้ว?”
เนื่องจากไม่รู้สึกถึงความเปลี่ยนแปลงของหน้าท้อง ฉินอวี้โม่จึงเอ่ยถามด้วยความสงสัย
“อวี้โม่ ข้ารู้ว่าเจ้าคงจะสงสัยไม่น้อย อย่างไรก็ตาม ข้าเคยเห็นสถานการณ์เช่นนี้มาก่อน”
อาหนิวคาดเดาข้อสงสัยของจอมยุทธ์สาวได้ทันที เขาจึงยิ้มและกล่าวต่อ “เด็กในครรภ์ของเจ้าน่าจะมีอายุหกเดือน แต่หากข้าเดาไม่ผิด น่าจะมีช่วงหนึ่งที่เจ้าเข้าสู่สภาวะเก็บตัวบ่มเพาะอย่างจริงจังและทารกในครรภ์ก็ดูจะมีจิตวิญญาณเดียวกันซึ่งส่งผลให้การพัฒนาเป็นไปได้เชื่องช้าอย่างยิ่งระหว่างช่วงเก็บตัวของเจ้า เพราะเหตุนั้นตอนนี้เจ้าจึงมีอายุครรภ์เพียงเกือบสี่เดือนเท่านั้น”
สิ่งนี้มีโอกาสเกิดขึ้นได้กับจอมยุทธ์ อาหนิวเคยศึกษาตัวอย่างสถานการณ์เช่นนี้จากในตำรามาก่อน ยิ่งไปกว่านั้น หากเขาจำไม่ผิด หลังจากการให้กำเนิดเด็กคนนั้น เขาก็กลายเป็นยอดฝีมือผู้ยิ่งใหญ่ของดินแดน สถานการณ์ของฉินอวี้โม่เป็นเหมือนกับสิ่งที่บันทึกไว้ในตำราไม่มีผิด เพราะฉะนั้นอาหนิวจึงมั่นใจเลยว่าเด็กคนนี้ที่เกิดมาจะต้องกลายเป็นบุคคลที่ทรงพลังอย่างยิ่ง
เมื่อได้ยินวาจาของอาหนิว ฉินอวี้โม่ผู้ซึ่งงุนงงเล็กน้อยก็เข้าใจในที่สุด
นางลูบท้องของตนเองโดยสัญชาตญาณและแววตาเปี่ยมด้วยความอ่อนโยน เด็กคนนี้คือลูกของนางและบุรุษคนรัก การที่เกิดมาในตอนนี้ถือว่าสร้างความประหลาดใจครั้งใหญ่ให้กับนางอย่างแท้จริง
“อวี้โม่ ข้าขอยินดีด้วย”
ซูน่าหัวเราะเบาๆอย่างมีความสุขและอยากสวมกอดสหายตรงหน้า
“ซูน่า ในอนาคตเจ้าจะต้องระมัดระวังมากกว่านี้ล่ะ ตอนนี้ร่างกายของฉินอวี้โม่เริ่มเปลี่ยนแปลงแล้ว แม้ว่ากายภาพของนางจะต่างจากคนทั่วไป นางก็ต้องระวังมากขึ้นในทุกเรื่อง”
ป้าหลานเอ่ยห้ามปรามซูน่าไว้เพื่อไม่ให้ทำอะไรใจร้อนบุ่มบ่าม
“อวี้โม่ ข้าจะบอกแจ้งเรื่องนี้ให้ท่านผู้นำได้ทราบ พวกเขาจะคิดแผนการต่อไปเอง เจ้าไม่ควรออกไปจากชนเผ่าเมฆาคราม จงดูแลตัวเองอยู่ที่นี่อย่างสงบสุขและค่อยออกไปหลังให้กำเนิดทารกแล้ว”
ป้าหลานสบตาฉินอวี้โม่ขณะกล่าวพร้อมรอยยิ้ม
ฉินอวี้โม่พยักศีรษะอย่างเห็นด้วย นางรู้ดีว่าสตรีมีครรภ์จะต้องระมัดระวังมากขึ้นเป็นพิเศษ นางจะใช้ชีวิตอย่างอิสระเหมือนกับก่อนหน้านี้อีกไม่ได้
“เอาล่ะ ข้าจะจัดการเรื่องอาหารและชีวิตประจำวันของเจ้าเองเพื่อให้มั่นใจว่าเด็กในครรภ์ของเจ้าจะเกิดมาอย่างปลอดภัยและแข็งแรง”
ป้าหลานกล่าวเสริม นางเคยมีประสบการณ์เรื่องนี้มาก่อนและรู้ว่าควรดูแลฉินอวี้โม่อย่างไร
“เช่นนั้นข้าก็ต้องขอรบกวนป้าหลานด้วยเจ้าค่ะ”
ฉินอวี้โม่ยิ้มตอบ หัวใจของนางในตอนนี้เปี่ยมไปด้วยความสุขล้น ในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า พยานรักของนางและหานโม่ฉือก็จะลืมตาดูโลก…