นับตั้งแต่ทราบว่าฉินอวี้โม่กำลังตั้งครรภ์ บรรยากาศของชนเผ่าเมฆาครามก็มีชีวิตชีวามากขึ้น
ฉินอวี้โม่ใช้ชีวิตอยู่ที่ชนเผ่าเมฆาครามแห่งนี้ได้ประมาณหนึ่งร้อยวันแล้ว นอกเหนือจากการช่วยชีวิตอาอู่ นางก็เข้ากับทุกคนได้ดีและช่วยเสริมความแข็งแกร่งให้กับชนเผ่าได้เป็นอย่างมากซึ่งส่งผลให้นางเป็นที่เคารพของคนมากมายในชนเผ่า
บรรดาสมาชิกชนเผ่าเมฆาครามล้วนมองนางเป็นสหาย เป็นมิตรที่ดีและเป็นสมาชิกอีกคนของชนเผ่าซึ่งเปรียบได้กับคนในครอบครัว
เมื่อทราบว่านางกำลังตั้งครรภ์ ทุกคนจึงมีความสุขอย่างยิ่ง
หลายคนแวะเวียนมาเยี่ยมเยียนฉินอวี้โม่มากเป็นพิเศษ สิ่งของใดๆที่กล่าวกันว่าดีสำหรับสตรีมีครรภ์ พวกเขาล้วนนำติดไม้ติดมือมาด้วยอย่างไม่ขาดสาย
ป้าหลานและสวี่ซิ่ว—มารดาของซูน่าก็ปรากฏให้เห็นในกระโจมที่พักของฉินอวี้โม่อยู่บ่อยครั้ง ในทุกๆวันทั้งสองจะทำการปรุงอาหารด้วยตัวเองและช่วยเตรียมมื้ออาหารอันโอชะให้กับนาง
แม้ว่าฉินอวี้โม่จะรู้สึกลำบากใจและไม่ต้องการรบกวนทั้งสอง ป้าหลานและสวี่ซิ่วก็ยืนกรานไม่ให้นางคิดมากจนเกินไปและทำจิตใจให้สบาย
สำหรับเหล่าอสูรมายาทั้งหลายของนาง เมื่อได้ทราบว่านายหญิงตั้งครรภ์ แน่นอนว่าพวกมันก็มีความสุขอย่างเหลือล้น
หานอวี้และมารยาถึงขั้นกำชับฉินอวี้โม่ให้ฝึกยุทธ์น้อยลงในระหว่างนี้และไม่ให้ทำสิ่งใดที่เหนื่อยจนเกินไปเพื่อเตรียมร่างกายให้พร้อมสำหรับเด็กในครรภ์
ภายในเวลารวดเร็วราวกับชั่วพริบตา หนึ่งเดือนก็ผ่านไปอย่างสงบสุข
หลังจากฉินส่าวชิงและเลี่ยหยางพ่ายแพ้ในการประจันหน้าวันนั้น กล่าวกันว่าทั้งสองมีปากเสียงกันภายในจวนเจ้าเมือง และหลังจากเหตุการณ์นั้นทั้งสองฝ่ายก็ไม่มีการเคลื่อนไหวใดๆอีก มิอาจทราบได้ว่าพวกเขากำลังคิดทำสิ่งใด
อย่างไรก็ตาม แผนการกำจัดเจ้าเมืองฉินและผู้นำชนเผ่าเพลิงคำรามไปอย่างสิ้นซากของฉินอวี้โม่ยังคงดำเนินไปอย่างรวดเร็วดั่งเพลิงโหมกระหน่ำ ระหว่างช่วงที่ผ่านมา จูเฟยชวี่และซูวั่งชวนเตรียมการทุกอย่างอย่างรอบคอบเพื่อที่จะตบตาฉินส่าวชิงและเลี่ยหยางให้พวกเขาเชื่อเรื่องซากปรักหักพังอย่างสนิทใจและลุล่วงไปตามแผนการ
เป็นเพราะการตั้งครรภ์ของฉินอวี้โม่ ซูวั่งชวน จูเฟยชวี่และคนอื่นๆจึงมีคิดเห็นตรงกันอย่างเป็นเอกฉันท์ว่ามิให้นางมีส่วนร่วมกับการจัดเตรียมแผนการ เพื่อที่นางจะได้ฟูมฟักดูแลทารกในครรภ์อย่างสงบสุขและไม่มีสิ่งใดกวนใจ ทว่าหากมีเรื่องใหญ่หรือสิ่งใดที่ไม่เข้าใจ พวกเขาจะเข้ามาหานางและปรึกษากับนางเพื่อหาทางออก
ฉินอวี้โม่เองก็มีความสุขกับการใช้ชีวิตอย่างสบายๆและดูแลลูกน้อยด้วยใจสงบ เมื่อได้เห็นท้องของตนเองโตขึ้นในทุกวัน หัวใจของนักฆ่าสาวที่เคยเย็นชาก็เปี่ยมล้นไปด้วยความสุขและความอ่อนโยนแบบมารดาก็ค่อยๆก่อตัวขึ้นมา ในเวลานี้ สภาวะอารมณ์ของนางก็เบาบางและนุ่มนวลลงกว่าก่อนมาก
ในวันนี้ซูน่าพาฉินอวี้โม่ออกไปเดินเล่นสูดอากาศนอกกระโจม
แสงแดดอบอุ่นกอปรกับฤดูใบไม้ร่วงอันสดใสทำให้บรรยากาศและทิวทัศน์บนทุ่งหญ้าดูงดงามอย่างยิ่ง
“อวี้โม่ นี่ก็เกือบห้าเดือนแล้วสินะ ท้องของเจ้ากำลังใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ”
ซูน่ามองครรภ์ที่โตขึ้นพอสมควรของฉินอวี้โม่พร้อมรอยยิ้มกว้างและกล่าวด้วยน้ำเสียงคาดหวัง นางสงสัยใคร่รู้เกี่ยวกับทารกน้อยในครรภ์และตั้งตารอคอยที่จะได้พบกับมัน
ฉินอวี้โม่ยกมือขึ้นลูบหน้าท้องที่โตขึ้นของตนเองโดยสัญชาตญาณและคลี่ยิ้มกว้าง
“ข้าได้ยินป้าหลานและท่านแม่บอกว่าอีกสองเดือนข้างหน้าท้องของเจ้าก็จะโตขึ้นอีกมาก หลังจากนั้นการเดินไปไหนมาไหนก็คงไม่สะดวกนัก”
หลังจากช่วยฉินอวี้โม่หาจุดที่มองเห็นดวงอาทิตย์ตกดินได้อย่างชัดเจน ซูน่าก็กล่าวพร้อมรอยยิ้ม
ฉินอวี้โม่พยักศีรษะเบาๆ นางเองก็ทราบเรื่องนี้มาพอสมควร เมื่ออายุครรภ์ครบเจ็ดเดือน ท้องของนางจะมีขนาดใหญ่มาก เมื่อถึงตอนนั้นทั้งร่างของนางจะบวมขึ้นเล็กน้อยและจะเคลื่อนไหวได้ไม่สะดวกนัก
“อวี้โม่ เจ้าคิดว่าหากหานโม่ฉือรู้ว่าเจ้าตั้งท้อง เขาจะมีปฏิกิริยาตอบสนองอย่างไร?”
เมื่อนึกถึงบิดาของทารกน้อยในครรภ์ของสหาย ซูน่าก็อดเอ่ยถามไม่ได้ ทว่าทันทีที่เอ่ยออกไป นางก็นึกถึงสิ่งที่เกิดขึ้นและยกมือขึ้นปิดปากพร้อมมองฉินอวี้โม่ด้วยแววตาขอโทษขอโพยเล็กน้อย
“ข้าคิดว่าหากโม่ฉือรู้ เขาจะต้องตื่นเต้นไม่ต่างจากข้าแน่นอน”
ฉินอวี้โม่ยกยิ้มมุมปากขณะจินตนาการว่าหากหานโม่ฉือทราบเรื่องการตั้งครรภ์ของนาง เขาคงจะเป็นเหมือนกับภูเขาน้ำแข็งที่ละลายอย่างแน่นอน
เมื่อเห็นสีหน้าท่าทางสงบนิ่งของฉินอวี้โม่ ซูน่าก็ตกตะลึงไปเล็กน้อยและกล่าวด้วยน้ำเสียงลังเล “อวี้โม่..เจ้าคิดว่าหานโม่ฉือยังมีชีวิตอยู่หรือไม่?”
ซูน่าคิดว่าหากหานโม่ฉือยังมีชีวิตอยู่ เขาน่าจะหาทางมาเจอฉินอวี้โม่ให้ได้ อย่างน้อยที่สุดเขาก็คงต้องหาทางส่งข้อความเพื่อไม่ให้ฉินอวี้โม่ต้องคอยเป็นกังวล ทว่าเวลาก็ล่วงเลยมานานแล้วและยังไม่มีข่าวสารใดๆ ซูน่าไม่มั่นใจนักว่าหานโม่ฉือจะยังมีชีวิตอยู่
เมื่อได้ยินวาจาไม่มั่นใจของซูน่า ฉินอวี้โม่ก็ยิ้มบางๆพร้อมเอ่ยตอบ “เขายังมีชีวิตอยู่ ข้าเชื่อมั่นในตัวเขา เขาไม่มีทางทอดทิ้งข้าและลูกอย่างแน่นอน”
หานโม่ฉือกล่าวไว้ว่าหากตามหาเขาไม่พบ จงไปที่ดินแดนเทพมายาซึ่งนางและเขาจะได้พบกันอีกครั้ง ฉินอวี้โม่ไม่ได้คลางแคลงใจในคำพูดของบุรุษคนรักและเชื่อเขาอย่างเต็มหัวใจ
บัดนี้นางอุ้มท้องบุตรของตนเองและหานโม่ฉือ นางเชื่อว่าทั้งสามจะได้พบกันที่ดินแดนเทพมายา
เมื่อเห็นแววตาแน่วแน่และเชื่อมั่นของสหาย ซูน่าก็พยักศีรษะและหวังเช่นเดียวกัน แม้ว่านางไม่เคยพบกับหานโม่ฉือมาก่อน นางก็สัมผัสได้ถึงความรักที่แท้จริงที่ฉินอวี้โม่และหานโม่ฉือมีต่อกัน หากได้พบผู้เป็นที่รักยิ่งเช่นนั้น แม้ต้องแลกด้วยชีวิต นางก็เต็มใจ
“พี่ซูน่า พี่อวี้โม่ ฉินส่าวชิงส่งคำเชิญมาให้พวกเรา”
หลังจากนั่งลงพักใหญ่ เสียงของอาอู่ก็ดังขึ้นก่อนที่เขาจะรีบปรี่เข้ามาพร้อมกับจดหมายเชิญในมือ
ฉินอวี้โม่และซูน่าก็ยืนขึ้นก่อนที่จะรับจดหมายเชิญมาดู
“ฉินส่าวชิงคิดจะทำอะไรกันแน่ เขาเชิญพวกเราไปที่จวนเจ้าเมืองเพื่อการชุมนุมในอีกสามวันข้างหน้าโดยบอกว่าเขาจะจัดงานเลี้ยงฉลองเพื่อถือโอกาสขอโทษพวกเราเช่นกัน”
ซูน่าขมวดคิ้วด้วยความฉงนสนเท่ห์ เหตุใดจู่ๆฉินส่าวชิงจึงเชิญพวกนางไปที่จวนเจ้าเมือง?
จดหมายเชิญจากเขาชัดเจนอย่างยิ่ง ฉินส่าวชิงเชิญฉินอวี้โม่ ซูวั่งชวน ซูชิง ซูน่าและคนอื่นๆในชนเผ่าไปที่จวนเจ้าเมืองโดยระบุว่าต้องการขอโทษสำหรับสิ่งที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้
“พี่ซูน่า ลุงจูก็บอกว่าเขาได้รับคำเชิญเช่นกัน”
อาอู่กล่าวเสริมว่าจูเฟยชวี่ก็ได้รับคำเชิญไปที่จวนเจ้าเมืองเช่นกัน
“ท่านลุงจูก็ได้รับคำเชิญงั้นรึ ฉินส่าวชิงคิดจะทำอะไรกันแน่?”
เมื่อได้ยินเช่นนั้น ซูน่าก็ต้องงุนงงยิ่งกว่าเดิม จูเฟยชวี่—ผู้นำขุมกำลังวิหคโบยบินก็ได้รับคำเชิญเช่นกัน เป็นไปได้หรือไม่ว่าฉินส่าวชิงเตรียมการบางอย่างและรอให้พวกเขาทุกคนไปติดกับดักถึงที่?
“ไม่ว่าเขาจะมีจุดประสงค์อะไร เราจะได้รู้เองเมื่อไปถึง”
ฉินอวี้โม่เอ่ยขึ้นเบาๆโดยที่ไร้ซึ่งความหวาดหวั่น
“หมายความว่าเราจะไปที่นั่นงั้นรึ?”
เมื่อได้ยินวาจาของฉินอวี้โม่ ซูน่าและอาอู่ก็หันขวับมองนางเป็นตาเดียวและเอ่ยถาม
“แน่นอนว่าต้องไป คำเชิญที่ฉินส่าวชิงส่งมา หากพวกเราไม่ไป พวกเราก็อาจจะถูกมองเป็นคนขี้ขลาดได้ นอกจากนี้ข้าก็อยากรู้เช่นกันว่าเขาคิดจะทำอะไร”
ฉินอวี้โม่ยิ้มบางๆ นับตั้งแต่มาที่นี่ นางยังไม่เคยไปที่เมืองเพลิงมายามาก่อน ในเมื่อเจ้าเมืองฉินส่งคำเชิญมาเช่นนี้ นางก็ไม่พลาดที่จะถือโอกาสนั้นเข้าไปเยี่ยมเยือนเมืองเพลิงมายา
“เจ้าไม่กลัวรึว่ามันจะเป็นแผนการสมคบคิด เขาอาจจะเชิญยอดฝีมือจากที่อื่นมาเพื่อรอซุ่มโจมตีอยู่ที่นั่นและต้องการสังหารพวกเราทั้งหมด?”
ซูน่ามองฉินอวี้โม่ด้วยความฉงนสงสัยและเอ่ยข้อกังขาของตน
“ฮ่าๆๆ ฉินส่าวชิงไม่กล้าทำสิ่งโง่เขลาเช่นนั้นหรอก หากเขาอยากจะจัดการกับเราทั้งหมด เขาคงไม่เชิญผู้นำจูไปที่นั่นด้วย”
ฉินอวี้โม่ยิ้มอย่างไม่กังวล
หากฉินส่าวชิงเตรียมวางแหฟ้าตาข่ายดินรอให้พวกนางเข้าไปจริงๆ นางก็ไม่รังเกียจที่จะเล่นตามน้ำ
* 天罗地网 แหฟ้าตาข่ายดิน เปรียบถึงการล้อมศัตรูหรือผู้หลบหนีไว้อย่างหนาแน่น , วางกรอบดักศัตรู
ชนเผ่าเมฆาครามมิใช่ขุมกำลังที่อ่อนแออีกต่อไป หากฉินส่าวชิงต้องการกำจัดชนเผ่าเมฆาคราม เขาก็ต้องยอมแลกพอสมควร ในสถานการณ์ปัจจุบันนี้ ฉินอวี้โม่เชื่อว่าเจ้าเมืองฉินคงไม่โง่เขลาเกินไปจนคิดบั่นทอนพลังอำนาจของเมืองเพลิงมายา สำหรับเขาแล้วการทำเช่นนั้นไม่ส่งผลดีแม้แต่น้อย
“นั่นก็มีเหตุผล”
เมื่อรู้สึกได้ว่าคำพูดของฉินอวี้โม่สมเหตุสมผล ซูน่าก็พยักศีรษะคล้อยตาม
“ถ้าเช่นนั้นแล้วข้าจะกลับไปบอกท่านตาว่าเราจะตอบรับคำเชิญนี้”
อาอู่พยักศีรษะและกลับไปแจ้งให้ซูวั่งชวนและคนอื่นๆทราบถึงการตัดสินใจของฉินอวี้โม่
ซูวั่งชวนและทุกคนไม่แปลกใจกับการตัดสินใจของนางเลยสักนิด พวกเขาเพียงต้องเตรียมความพร้อมเพื่อไม่ให้เกิดเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิดขึ้น
เช้าตรู่ของวันที่สาม ทุกคนก็เตรียมความพร้อมเสร็จสิ้นและออกเดินทางมุ่งหน้าตรงไปยังเมืองเพลิงมายาโดยคฤหาสน์เฟิงหัว
เมืองเพลิงมายาตั้งอยู่ไม่ไกลจากชนเผ่าเมฆาคราม ภายในเวลาครึ่งชั่วยาม เมืองปลายทางก็ปรากฏให้เห็นตรงหน้าทุกคน
“นี่คือเมืองเพลิงมายา อวี้โม่ เจ้าคงจะไม่เคยมาที่นี่”
ซูน่าจับมือฉินอวี้โม่และกล่าวแนะนำพร้อมรอยยิ้ม
วันนี้ฉินอวี้โม่สวมใส่อาภรณ์หลวมไม่พอดีตัวเพื่อบดบังครรภ์ที่เริ่มเห็นชัดพอสมควรแล้ว
เมืองเพลิงมายาแห่งนี้เป็นเมืองเก่าแก่ กำแพงเมืองเป็นสีแดงเพลิงซึ่งมีความสูงไม่มากทว่างดงามอย่างยิ่งและประตูเมืองไม่กว้างหรือมีขนาดใหญ่มากนักในขณะที่มีผู้คุ้มกันสองคนซึ่งเป็นทหารจากจวนเจ้าเมือง
ฉินอวี้โม่และคณะเดินตรงเข้าไปในประตูเมืองในขณะที่ซูน่าอธิบายสถานการณ์โดยรวมให้กับนางอย่างคร่าวๆ
เมืองเพลิงมายาไม่กว้างใหญ่นักทว่ามีผู้คนเข้าออกอยู่ตลอดเวลาทำให้บรรยากาศของมันคึกคักอย่างยิ่ง
ทุกคนเดินตรงไปยังจุดหมายซึ่งก็คือจวนเจ้าเมืองอย่างไม่รีบร้อน
ก่อนไปถึงที่นั่น คณะเดินทางก็ได้พบกับจูเฟยชวี่และคนของเขา ทั้งสองกลุ่มทักทายกันทว่าดูไม่เป็นมิตรเท่าไหร่นัก
ถึงอย่างไรแล้วมิตรภาพระหว่างทั้งสองชนเผ่าก็ยังถูกเก็บเป็นความลับและถือได้ว่าเป็นไพ่ตายใบสำคัญของพวกเขา พวกเขาจะไม่มีทางเปิดเผยเรื่องนี้ออกไปก่อนถึงเวลาสมควร
อย่างไรก็ตาม แม้แสดงตนว่าไม่สนิทสนมกัน พวกเขาก็มุ่งหน้าไปยังจวนเจ้าเมืองด้วยกันและสนทนาสื่อสารกันเป็นครั้งคราว
“ฮ่าๆๆ ทุกคนมาเร็วจริงๆ”
เมื่อเดินตรงไปถึงประตูจวนเจ้าเมือง เลี่ยหยางก็เดินเข้ามาพร้อมคนของเขาจากอีกฟากหนึ่ง
เมื่อเห็นซูวั่งชวน จูเฟยชวี่และคนอื่นๆ เลี่ยหยางก็ยิ้มมุมปากเล็กน้อยโดยที่ไม่มีอารมณ์อื่นๆปรากฏขึ้นมาบนใบหน้าเลย
ด้วยความจริงที่ว่าอาอู่เป็นคนฆ่าเลี่ยซาน เลี่ยหยางน่าจะโกรธแค้นอย่างที่สุดเมื่อได้พบกัน ทว่าครานี้เขากลับดูใจเย็นอย่างผิดปกติซึ่งไม่มีทางที่จะคาดเดาถึงความคิดของเขาได้เลย
“ผู้นำเลี่ยหยางเองก็มาเร็วเช่นกัน”
จูเฟยชวี่เอ่ยขึ้นเบาๆ เขาเห็นเหตุการณ์ทั้งหมดในวันนั้นและเข้าใจดีว่าแท้ที่จริงแล้วหัวใจของเลี่ยหยางไม่สงบนิ่งอย่างที่เห็นภายนอก
เกรงว่าในหนึ่งเดือนที่ผ่านมาเกิดเหตุการณ์บางอย่างที่ทำให้เลี่ยหยางแสดงท่าทีเช่นนี้ และเขาน่าจะเตรียมการบางอย่างไว้และกำลังหาโอกาสกำจัดชนเผ่าเมฆาครามให้ได้ภายในคราวเดียว
“ฮ่าๆๆ ในเมื่อเป็นคำเชิญจากเจ้าเมืองฉิน แน่นอนว่าข้าต้องมาถึงก่อนเวลา”
เลี่ยหยางยิ้มมุมปากเล็กน้อยขณะสายตาจับจ้องไปที่ฉินอวี้โม่
“ท่านจอมยุทธ์อวี้โม่ ไม่ได้พบกันเสียนาน”
“ไม่ได้พบกันนานเลย”
ฉินอวี้โม่ตอบกลับอย่างเฉยเมยและสีหน้าเรียบเฉยไม่เปลี่ยนแปลง
“หากมีเวลาว่าง ข้าขอเชิญจอมยุทธ์อวี้โม่มาเป็นแขกที่ชนเผ่าเพลิงคำรามของเรา เราจะให้การต้อนรับที่อบอุ่นอย่างแน่นอน”
เลี่ยหยางยิ้มและกล่าวราวกับต้องการผูกมิตรกับฉินอวี้โม่
“ตกลง”
ฉินอวี้โม่เพียงพยักศีรษะและไม่ได้เอ่ยสิ่งใดอีก
“เชิญทุกท่านก่อนเถอะ”
เลี่ยหยางยิ้มและก้าวหลีกออกไปอย่างไม่น่าเชื่อเพื่อให้ฉินอวี้โม่และคณะเดินเข้าไปก่อน
แม้ว่าตกตะลึงไม่น้อย ทุกคนก็ไม่เอ่ยสิ่งใดและเดินเข้าไปอย่างว่าง่าย
หลังจากฉินอวี้โม่และคนอื่นๆเดินเข้าไปก่อน เลี่ยหยางก็ทอแววตาคลุมเครือไม่แน่ชัดครู่หนึ่งทว่าเขาก็กลับสู่ปกติอย่างรวดเร็วและเดินเข้าไปอย่างเป็นธรรมชาติ
.