ทั่วบริเวณสวนของจวนเจ้าเมืองตกอยู่ท่ามกลางความเงียบพักใหญ่ ขณะนี้ทุกคนกำลังหารือกันอย่างเงียบๆโดยไม่มีผู้ใดเอ่ยปากออกมา
แน่นอนว่าฉินอวี้โม่และคนอื่นๆไม่มีทางเอ่ยขึ้นเป็นคนแรก นางและสหายเพียงนั่งจิบน้ำชาอย่างสบายๆและสื่อสารกันผ่านทางกระแสจิต
“ฮ่าๆๆ ฉินส่าวชิงผู้นี้ไม่พยายามปิดบังจุดประสงค์เลยสักนิด การที่เขากล่าวออกมาเช่นนี้ ข้าคิดว่าเขาคงต้องการบางอย่างจากอวี้โม่เป็นแน่”
จูเฟยชวี่เป็นคนแรกที่เอ่ยพร้อมรอยยิ้มเย้ยหยันและน้ำเสียงเต็มไปด้วยความถากถาง
“ข้าคิดว่ามันต้องมีอะไรมากกว่านั้น เขาอาจจะต้องการล่องูออกจากถ้ำเพื่อทดสอบว่าในหมู่พวกเรามีผู้ใดยืนอยู่ฝ่ายเดียวกับกองทหารหงเฟิงรึไม่”
* 引蛇出洞 ล่องูออกจากถ้ำ แปลว่าล่อให้ศัตรูปรากฏตัวออกมาซึ่งคล้ายกับสำนวนไทยที่ว่า ล่อเสือออกจากถ้ำ
ซูวั่งชวนเอ่ยขึ้นเช่นกันหลังจากไตร่ตรองสิ่งที่เกิดขึ้นและคาดเดาความคิดของฉินส่าวชิง
“ฉินส่าวชิงผู้นี้มีเล่ห์เหลี่ยมมากจริงเชียว แต่เขาคิดรึว่าตนเองจะอยู่รอดจนถึงวันนั้น!”
ฉินอวี้โม่เอ่ยขึ้นเบาๆด้วยน้ำเสียงและแววตาเปี่ยมไปด้วยความอาฆาตมาดร้าย
“อวี้โม่ การเตรียมความพร้อมของเราเกือบสมบูรณ์แล้ว เหลือเพียงแค่รอโอกาสและเราก็จะลงมือได้ทันที เมื่อถึงตอนนั้นเราจะกำจัดฉินส่าวชิงและเลี่ยหยางให้สิ้นซาก พวกเขาจะไม่มีทางควบคุมสิ่งใดได้อีกต่อไป”
จูเฟยชวี่และซูวั่งชวนเอ่ยขึ้นพร้อมกัน ในช่วงเวลาที่ผ่านมานี้การดำเนินการของพวกเขาคืบหน้าไปมาก สำหรับเรื่องซากปรักหักพังปลอม การเตรียมความพร้อมเสร็จสิ้นเกือบทั้งหมดแล้ว บัดนี้เหลือเพียงรอจังหวะที่เหมาะสมเท่านั้น เมื่อโอกาสนั้นมาถึง ข่าวเรื่องนี้จะแพร่ออกไปทันที เมื่อถึงตอนนั้นหากว่าฉินส่าวชิงและเลี่ยหยางกล้าเดินเข้าไปในหลุมพราง พวกเขาจะต้องติดอยู่ที่นั่นไปตลอดกาล
ฉินอวี้โม่พยักศีรษะและกล่าว “หลังจากกลับจากที่นี่ เราจะเตรียมความพร้อมกันต่อ ในอีกประมาณครึ่งเดือนข้างหน้า เราต้องทำให้ฉินส่าวชิงและเลี่ยหยางหายสาบสูญไปตลอดกาล”
ทุกคนพยักศีรษะอย่างพร้อมเพรียงกันและเข้าใจดีถึงสิ่งที่ต้องทำต่อไปขณะยิ้มเยือกเย็นและสายตาชำเลืองมองไปที่เจ้าเมืองฉินและเลี่ยหยางที่นั่งอยู่ตรงข้ามด้วยสีหน้าที่สงบนิ่ง
สำหรับสิ่งเหล่านี้ไม่ถือว่าเป็นความผิดของพวกเขา หากไม่ใช่เพราะฉินส่าวชิงและเลี่ยหยางที่คิดร้ายกับพวกเขาก่อนและหมายจะเอาชีวิตพวกเขาซ้ำแล้วซ้ำแล้ว ฉินอวี้โม่และชนเผ่าเมฆาครามก็คงไม่เลือกทางนี้
“ฮ่าๆๆ ท่านเจ้าเมือง ท่านพูดถูก ทว่าเราเพียงไม่รู้ว่าท่านเจ้าเมืองมีแผนการอย่างไร? แล้วพวกเราจะต้องร่วมมือกันอย่างไร?”
ใครคนหนึ่งเอ่ยขึ้นมาด้วยน้ำเสียงประจบประแจง ไม่ต้องสงสัยว่าบุคคลผู้นี้อยู่ฝ่ายเดียวกับฉินส่าวชิงเป็นแน่
“ฮ่าๆๆ ข้ายังไม่มีแผนการใดที่แน่ชัดหรอก ข้าเพียงรู้สึกว่าพลังอำนาจของเมืองเพลิงมายายังอ่อนแอเกินไป หากเราสามารถพัฒนาพลังอำนาจของเราก่อนถึงเวลาที่ซากปรักหักพังปรากฏ มันก็น่าจะทำให้ขุมกำลังอื่นๆประหลาดใจเป็นอย่างมาก”
ฉินส่าวชิงยิ้มและกล่าวเบาๆราวกับเห็นแก่ผลประโยชน์ของเมืองเพลิงมายาอย่างแท้จริง
“ท่านเจ้าเมืองพูดถูก เราต้องพัฒนาความแข็งแกร่งให้ได้ เพียงแต่การฝึกยุทธ์อย่างเดียวนั้นไม่อาจทำได้ในชั่วข้ามคืน เพราะเหตุนั้นหากต้องการพัฒนาความแข็งแกร่งของเมืองเรา เราควรเริ่มจากปัจจัยภายนอก”
อีกคนหนึ่งกล่าวเสริมอย่างเห็นด้วยก่อนหันไปมองฉินอวี้โม่พร้อมรอยยิ้ม “หากท่านจอมยุทธ์อวี้โม่เข้ามามีบทบาทและช่วยเราสยบอสูรมายาที่ทรงพลัง ข้าเชื่อมั่นว่าความแข็งแกร่งของเมืองเพลิงมายาจะต้องพัฒนาขึ้นเป็นอย่างมาก และเมื่อถึงตอนนั้น เพียงแค่กองทัพอสูรมายาของเราก็คงจะเพียงพอสำหรับการต่อสู้กับอีกสองเมืองอย่างแน่นอน”
เมื่อได้ยินวาจาของบุรุษผู้นั้น หลายคนก็พยักศีรษะอย่างเห็นด้วย
“อย่างไรก็ตาม เจ้าก็ทราบแล้วว่าท่านจอมยุทธ์อวี้โม่เป็นผู้ฝึกสัตว์อสูรระดับเทวะและข้าเกรงว่านางคงจะมีเวลาไม่มากนัก ยิ่งไปกว่านั้น เราไม่อาจทำในสิ่งใดที่จะยุ่งยากกวนใจผู้อื่น ทว่าหากท่านจอมยุทธ์อวี้โม่ยินดีที่จะช่วยเรา มันก็จะเป็นเรื่องที่ดีมาก”
ฉินส่าวชิงยิ้มเล็กน้อยเมื่อได้ยินวาจาของทุกคน ทว่ามันยากที่จะสรรหาคำพูดที่เหมาะสม เขาจึงมองไปที่ฉินอวี้โม่และเอ่ยออกไปเช่นนั้น
“หน้าไม่อายจริงๆ”
ซูน่าอดพึมพำกับตัวเองไม่ได้ ไม่คิดเลยว่าฉินส่าวชิงจะคิดใช้วิธีนี้
“ไร้ยางอายที่สุด ข้าคิดว่าประเดี๋ยวเขาคงจะเสนอให้ข้าอยู่ภายในจวนเจ้าเมืองของเมืองเพลิงมายาและส่งคนออกไปจับอสูรมายามาเพื่อให้ข้าช่วยสยบพวกมัน”
ฉินอวี้โม่ยิ้มมุมปากเล็กน้อยโดยไม่ตอบโต้อีกฝ่าย นางเพียงนั่งนิ่งเฉยราวกับไม่ได้ยินสิ่งใด
“เราเชื่อว่าในฐานะคนของเมืองเพลิงมายา ท่านจอมยุทธ์อวี้โม่จะต้องช่วยเรื่องนี้อย่างแน่นอน เห็นทีคงต้องขอให้ท่านจอมยุทธ์อวี้โม่อยู่ภายในจวนเจ้าเมืองไปก่อน จากนั้นพวกเราจะออกไปจับอสูรมายามาที่นี่และให้ท่านช่วยสยบมัน ข้าเชื่อว่าท่านจอมยุทธ์อวี้โม่คงจะไม่ปฏิเสธ”
ใครคนหนึ่งเอ่ยขึ้นพร้อมมองมาที่ฉินอวี้โม่ แม้ว่าวาจาของเขามิใช่การบังคับข่มขู่และฟังดูเป็นเชิงขอร้อง ทว่าแท้ที่จริงแล้วเขาต้องการกดดันฉินอวี้โม่ต่อหน้าทุกคน
หากไม่ตอบตกลง นั่นจะหมายความว่านางไม่คิดว่าตนเองเป็นสมาชิกของเมืองเพลิงมายาและไม่แยแสผลประโยชน์ส่วนรวมของคนทั้งเมือง เมื่อเรื่องนี้แพร่งพรายออกไป ทุกคนจะมองฉินอวี้โม่ในแง่ลบ ต่อให้นางจะมีสถานะเป็นผู้ฝึกสัตว์อสูรระดับเทวะ หากเหตุการณ์นี้แพร่ออกไป มันจะส่งผลกระทบต่อนางอย่างมากและภาพลักษณ์ของนางในสายตาของทุกคนก็จะย่ำแย่ลง
เวลานี้คนอื่นๆก็มองมาที่ฉินอวี้โม่เป็นตาเดียว แม้ว่ามิได้เอ่ยสิ่งใดออกมา สายตาของพวกเขาก็กดดันฉินอวี้โม่เพื่อให้นางตอบตกลง
หลายคนในกลุ่มคนเหล่านั้นคือคนของฉินส่าวชิงในขณะที่บางคนไม่แน่ชัดว่ามาจากที่ใด นอกจากนี้ก็ยังมีกลุ่มผู้ที่เข้าร่วมด้วยเพียงเพราะเห็นว่านี่เป็นเรื่องที่สนุกสนานน่าสนใจ
“ผู้อาวุโสซู ตอนนี้ท่านจอมยุทธ์อวี้โม่เป็นสมาชิกของชนเผ่าเมฆาคราม ข้าเชื่อว่าท่านคงไม่ปฏิเสธคำขอของพวกเราใช่หรือไม่”
เมื่อฉินอวี้โม่ไม่มีปฏิกิริยาใดๆ หลายคนก็เริ่มหันไปหาซูวั่งชวนพร้อมกล่าวกับเขาโดยตรงเพื่อกดดันไปพร้อมๆกัน
เมื่อได้ยินเช่นนั้น ซูวั่งชวนก็ขมวดคิ้วเล็กน้อย ฉิวส่าวชิงผู้นี้ต้องการใช้วิธีการบีบบังคับให้ชนเผ่าเมฆาครามต้องขี่หลังเสือและทำให้คนอื่นๆเข้ามามีส่วนกดดัน
* 骑虎难下 ขี่หลังเสือแล้วลงยาก ความหมายคือ เมื่อกระทำการอย่างใดอย่างหนึ่งแล้วพบอุปสรรคใหญ่ แต่ถูกสถานการณ์บีบบังคับให้ต้องทำอย่างนั้นต่อไปจนถึงที่สุด ไม่เป็นตัวของตัวเอง ไม่อาจหยุดกลางคันได้ เปรียบได้กับ การขึ้นหลังเสือที่ดุร้าย ลงจากหลังเสือเมื่อใดอาจถูกเสือจับกินเมื่อนั้น
ฉินส่าวชิงทราบดีว่าซูวั่งชวนไม่มีทางเห็นด้วยกับเรื่องนี้ นั่นคือสาเหตุที่เขาจงใจเอ่ยเรื่องนี้ต่อหน้าทุกคน
“ฮ่าๆๆ พวกท่านเข้าใจผิดแล้ว ข้าก็หวังว่าจอมยุทธ์อวี้โม่จะเป็นสมาชิกของชนเผ่าเมฆาครามของเราเช่นกัน ทว่านางก็เป็นถึงผู้ฝึกสัตว์อสูรระดับเทวะ ชนเผ่าของเราไม่มีสิ่งใดที่จะทำให้นางสนใจได้”
เมื่อเห็นฉินอวี้โม่ขยิบตาให้เขา ซูชิงก็ไม่รอให้ซูวั่งชวนเอ่ยปากและกล่าวออกไปพร้อมเสียงหัวเราะเบาๆ
“จอมยุทธ์อวี้โม่ยินดีพักอยู่ในชนเผ่าของเราระยะหนึ่ง นั่นถือเป็นเกียรติสูงสุดสำหรับชนเผ่าเมฆาครามและเราทุกคนซาบซึ้งใจเป็นที่สุด อย่างไรก็ตาม ทุกคนคิดผิดแล้ว จอมยุทธ์อวี้โม่มิใช่สมาชิกของชนเผ่าเรา ยิ่งกว่านั้นคือชนเผ่าเราปฏิบัติต่อจอมยุทธ์อวี้โม่ดั่งแขกคนสำคัญ ไม่ว่าจอมยุทธ์อวี้โม่ตัดสินใจอย่างไร พวกเราก็พร้อมที่จะสนับสนุนอย่างเต็มที่”
หลังจากยิ้มอีกครั้ง ซูชิงก็เอ่ยออกไป เขาไม่ต้องการกล่าวเช่นนี้ต่อหน้าทุกคนทว่านางเป็นคนส่งกระแสจิตเพื่อให้เขาตอบกลับไปเช่นนี้
เขาเชื่อว่านางมีความคิดอะไรบางอย่างอยู่แล้ว เพราะเหตุนั้นเขาจึงเลือกที่จะให้ความร่วมมือโดยที่ไม่ลังเลใดๆ
เมื่อได้ยินวาจาของซูชิง บรรดาผู้ที่จับจ้องไปที่ซูวั่งชวนต่างก็ตกตะลึงและหันกลับไป
ในขณะเดียวกัน รอยยิ้มของฉินส่าวชิงก็ชะงักค้างทันทีทว่าเขาปรับสีหน้ากลับเป็นปกติอย่างรวดเร็ว
“ฮ่าๆๆ ในเมื่อจอมยุทธ์อวี้โม่มิใช่สมาชิกของชนเผ่าเมฆาครามก็ยิ่งดีเลย นั่นหมายความว่าทุกอย่างขึ้นอยู่กับท่านจอมยุทธ์อวี้โม่ ไม่ทราบว่าท่านจอมยุทธ์จะยินดีช่วยทำให้เมืองเพลิงมายาของพวกเรากลายเป็นเมืองที่ทรงพลังที่สุดหรือไม่?”
จู่ๆเลี่ยหยางก็ยืนขึ้นพร้อมรอยยิ้มมุมปากและกล่าวกับฉินอวี้โม่
ก่อนหน้านี้เขานิ่งเงียบมาตลอด ทว่าบัดนี้จู่ๆกลับกล่าวออกมาเช่นนี้ซึ่งทำให้ทุกคนมองกลับไป เมื่อได้ยินวาจาของเลี่ยหยาง ทุกคนก็เห็นด้วยในความสมเหตุสมผล พวกเขาหันกลับมามองที่ฉินอวี้โม่และรอคำตอบจากนาง
เมื่อฉินอวี้โม่ ซูวั่งชวนและคนอื่นๆได้ยินเช่นนั้น ทุกคนก็หันมองหน้ากันและขมวดคิ้วมุ่นทันที
ก่อนหน้านี้ดูเหมือนว่าผู้นำชนเผ่าเพลิงคำรามจะมีเรื่องผิดใจกับฉินส่าวชิงและไม่ได้ดูสนิทปรองดองกันเหมือนก่อนอีกต่อไป ทว่าเขายังคงมีความคิดชั่วร้ายไม่เปลี่ยนแปลง ยิ่งไปกว่านั้น เลี่ยหยางในตอนนี้ก็อ่านยากยิ่งกว่าเดิมเสียอีกและไม่อาจทราบได้เลยว่าเขากำลังคิดจะทำสิ่งใด
อย่างไรก็ตาม มันสายเกินกว่าจะคิดหาคำตอบแล้ว สายตาของทุกคนจับจ้องมาที่ฉินอวี้โม่จนรู้สึกได้ว่าหากนางไม่ตอบตกลง พวกเขาจะเปลี่ยนความคิดเป็นดูแคลนและไม่เคารพนางอีกต่อไป
ทว่านักฆ่าสาวไม่สนใจเลยสักนิด
นางค่อยๆเหยียดกายลุกขึ้นพร้อมยิ้มมุมปากและเอ่ยขึ้นเบาๆ “ขออภัยด้วย เรื่องนี้ข้าช่วยไม่ได้จริงๆ”
เมื่อได้ยินคำตอบอย่างชัดเจนของฉินอวี้โม่ ใครคนหนึ่งก็ยืนขึ้นทันทีราวกับเขาคาดการณ์ไว้แล้ว
“เหอะ ท่านจอมยุทธ์อวี้โม่ ท่านไม่คิดว่าตนเองเป็นสมาชิกของเมืองเพลิงมายาหรือ? การที่ท่านไม่ช่วยสนับสนุนเราเช่นนี้ หรือเป็นเพราะท่านคิดที่จะช่วยอีกสองเมืองที่เหลือ?”
บุรุษคนนั้นแค่นเสียงเย็นชาและมองฉินอวี้โม่ด้วยแววตาโกรธเคือง
เมื่อได้ยินวาจาของคนผู้นั้น หลายคนก็คล้อยตามและรู้สึกไม่ดีอย่างยิ่ง บางคนถึงกับมองฉินอวี้โม่ด้วยแววตาตำหนิ
“ฮ่าๆๆ แล้วข้าบอกเมื่อไหร่กันว่าข้าเป็นสมาชิกของเมืองเพลิงมายาของพวกเจ้า?”
ฉินอวี้โม่ยิ้มอย่างไม่แยแสและไม่ได้รู้สึกโกรธเคืองใดๆ คนเหล่านี้ไม่ได้อยู่ในสายตาของนางแม้แต่น้อยและไม่อาจส่งผลใดต่อนางได้
“ดูเหมือนว่านับตั้งแต่ต้น พวกเจ้าจะคิดกันไปเองว่าข้าเป็นสมาชิกของเมืองเพลิงมายา ไม่ว่าจะเป็นท่านปู่ซู ข้าหรือผู้นำซูก็ไม่มีใครเคยกล่าวเลยว่าข้าเป็นคนของเมืองนี้”
เมื่อได้ยินวาจาของนาง ทุกคนก็ตกตะลึงไปทันที เป็นจริงอย่างที่ว่า นางไม่เคยเอ่ยเช่นนั้นออกมา ทว่าเป็นพวกเขาที่คิดไปเองว่านางเป็นคนของเมืองเพลิงมายาแห่งนี้
“ต่อให้ท่านจะไม่ใช่คนของเมืองเพลิงมายา ท่านก็น่าจะรู้สึกผูกพันอยู่บ้างหลังจากใช้ชีวิตอยู่ที่นี่พักใหญ่ เมื่อเกิดเหตุการณ์ครั้งใหญ่เช่นนี้ ท่านก็ควรที่จะช่วยเมืองของเรา”
สีหน้าของคนที่เอ่ยขึ้นเป็นคนแรกเปลี่ยนไปเล็กน้อยทว่าเขายังตอบสนองอย่างรวดเร็วและกล่าวอย่างแข็งกร้าว
“เหตุใดข้าจะต้องช่วย?”
ฉินอวี้โม่สบตาบุรุษผู้นั้นพร้อมรอยยิ้มไม่สะทกสะท้าน
“ข้าใช้ชีวิตอยู่ในชนเผ่าเมฆาครามเพียงเพราะข้าอยากอยู่และชาวชนเผ่าที่นั่นก็ต้อนรับข้าเป็นอย่างดี แล้วเรื่องนี้มันเกี่ยวกับอะไรกับเมืองเพลิงมายากัน? เหตุใดข้าจะต้องช่วยสยบอสูรมายาให้กับพวกเจ้าด้วยล่ะ? เพื่อทำให้พวกเจ้าแข็งแกร่งขึ้นและโจมตีชนเผ่าเมฆาครามในภายหลังงั้นรึ?”
เมื่อได้ยินวาจาตรงไปตรงมาของฉินอวี้โม่ คนผู้นั้นก็พูดไม่ออกทันที สิ่งนางกล่าวมานั้นถูกต้องแล้ว ทั้งหมดนี้เกี่ยวข้องอย่างไรกับพวกเขา?
เมื่อเห็นอีกฝ่ายมองไปที่ฉินส่าวชิงอย่างไร้คำพูด ฉินอวี้โม่ก็ยกยิ้มมุมปากอย่างเย็นชา
‘ฉินส่าวชิง…คิดจะกดดันให้ข้าช่วยสยบอสูรมายาให้งั้นรึ? เจ้าฝันไปก่อนเถอะ!’
.