คุณหนูสี่ สตรีเปื้อนเลือด – ตอนที่ 424 ดาบนี้คืนสนอง

เวลานี้ทุกคนรวมตัวกันนอกชนเผ่าวิหคโบยบิน นอกเหนือจากฉินส่าวชิง เลี่ยหยางและขุมกำลังของพวกเขา ซูวั่งชวนเองก็นำคนจากชนเผ่าเมฆาครามมาเช่นกัน และสมาชิกจากขุมกำลังอื่นๆในเมืองเพลิงมายาก็มาที่นี่เช่นกัน

“ฮ่าๆๆ เหตุใดข้าจึงไม่เห็นเงาของจอมยุทธ์อวี้โม่เลยล่ะ?”

เมื่อไม่เห็นสตรีจอมยุทธ์ผู้มักปรากฏกายให้เห็นพร้อมกับซูวั่งชวน ฉินส่าวชิงและเลี่ยหยางก็สับสนเล็กน้อยและเอ่ยถามออกไป

“จอมยุทธ์อวี้โม่กำลังตั้งครรภ์ เพราะเหตุนั้นการมาที่นี่จึงไม่สะดวกนัก”

ซูวั่งชวนไม่ปิดบังและกล่าวคำตอบที่มีทั้งความจริงและไม่จริง

เป็นเรื่องจริงที่ว่าฉินอวี้โม่กำลังตั้งครรภ์อยู่ ทว่ามิใช่เรื่องที่นางไม่มาที่นี่ นางจะพลาดเหตุการณ์ครั้งสำคัญนี้ได้อย่างไรกัน?

แม้ว่าซูวั่งชวนและคนอื่นๆจะยืนกรานให้นางอยู่เฉยๆและเพียงรอชมผลลัพธ์เท่านั้น อย่างไรก็ตาม ฉินอวี้โม่ก็อดคลายกังวลไม่ได้หากว่านางไม่ได้เห็นเหตุการณ์นี้ด้วยตาของตัวเอง

เมื่อได้ยินคำตอบของซูวั่งชวน เจ้าเมืองฉินและเลี่ยหยางก็หันมองหน้ากันทันที หลังจากไตร่ตรองครู่หนึ่ง พวกเขาก็นึกขึ้นได้ว่าท้องของฉินอวี้โม่ป่องออกมาเล็กน้อยในตอนที่พบกันนอกชนเผ่าเมฆาครามครั้งล่าสุด

“ฮ่าๆๆ เช่นนั้นข้าก็ต้องแสดงความยินดีกับจอมยุทธ์อวี้โม่ด้วย”

เลี่ยหยางยิ้มมุมปากและกล่าวต่อ “เพียงแต่..ข้าไม่เคยได้ยินว่าจอมยุทธ์อวี้โม่เข้าพิธีกราบไหว้ฟ้าดินหรืออยู่กับบุรุษผู้ใดมาก่อน ข้าไม่ทราบว่าลูกในท้องของนางมาได้อย่างไรกัน..”

วาจาของเลี่ยหยางเจือความเยาะเย้ยราวกับเขาต้องการกล่าวว่าฉินอวี้โม่ประพฤติตนไม่เหมาะสมและไม่ใช่สตรีที่ดี

“ฮ่าๆๆ ผู้นำเลี่ยหยางไม่ต้องห่วงเรื่องจอมยุทธ์อวี้โม่หรอก สามีของจอมยุทธ์อวี้โม่แกร่งกล้าสามารถกว่านางเสียอีก หากเรื่องนี้รู้ไปถึงหูของเขาล่ะก็ ผู้นำเลี่ยหยางควรต้องระวังไว้ว่าชนเผ่าเพลิงคำรามอาจจะถูกกำจัดไปจากโลกมายาก็เป็นได้”

ซูวั่งชวนได้ยินวาจาหยามเกียรติของเลี่ยหยางและไม่สบอารมณ์อย่างยิ่ง อย่างไรก็ตาม สีหน้าของเขายังคงเรียบเฉยไม่แสดงความโกรธแค้น แต่ก็ตอกกลับไปอย่างเจ็บแสบ

แม้ว่าพวกเขาไม่เคยพบหานโม่ฉือ จากคำบอกเล่าของฉินอวี้โม่ก็ไม่ยากที่พวกเขาจะทราบว่าหานโม่ฉือทรงพลังเพียงใด กอปรกับความเข้าใจที่มีต่อตัวตนและพลังของฉินอวี้โม่ พวกเขาเชื่อว่าบุรุษที่จะอยู่ข้างกายนางได้ย่อมไม่ธรรมดาอย่างแน่นอน

สีหน้าของเลี่ยหยางเปลี่ยนไปเล็กน้อยเมื่อได้ยินคำพูดของซูวั่งชวน เขาตระหนักถึงความน่าสะพรึงกลัวของฉินอวี้โม่เป็นอย่างดี หากสามีของนางแกร่งกล้ายิ่งกว่า เขาก็คงไม่ต่างไปจากมดตัวเล็กๆที่ถูกบดขยี้ได้ทุกเมื่อ เมื่อคิดได้เช่นนี้ เขาจึงไม่กล้ากล่าววาจาไร้สาระอีกต่อไป ดูเหมือนเขาจะเป็นกังวลว่า ‘สามี’ ที่ว่านั้นจะมาได้ยินเรื่องนี้เข้า

“ฮ่าๆๆ ทุกคนมากันเร็วจริงเชียว!”

น้ำเสียงร่าเริงดังขึ้นในหูของฉินส่าวชิงและคนอื่นๆ ซึ่งเจ้าของเสียงดังกล่าวก็มิใช่ใครอื่นหากแต่เป็นจูเฟยชวี่—ผู้นำชนเผ่าวิหคโบยบินที่ได้ยินข่าวการมาถึงของทุกคนและเดินออกมาจากชนเผ่า

“ผู้นำจู สาเหตุที่เรามาที่นี่โดยไม่ได้รับเชิญ เป็นเพราะเราต้องการสำรวจซากปรักหักพังของชนเผ่าวิหคโบยบินกับท่าน หวังว่าท่านจะไม่ปฏิเสธหากว่าเราจะขอร่วมด้วย”

ฉินส่าวชิงเป็นคนแรกที่กล่าวจุดประสงค์ของตนเองออกไปโดยตรง น้ำเสียงของเขาเจือความข่มขู่เล็กๆที่มีเพียงจูเฟยชวี่เท่านั้นที่เข้าใจ

จูเฟยชวี่ยิ้มมุมปากเล็กน้อยทันที ฉินส่าวชิงตัวร้ายผู้นี้คิดจะข่มขู่เขาอย่างนั้นหรือ เมื่อได้ทราบความจริงที่ว่าทั้งหมดนี้เป็นแผนการเพื่อกำจัดตนเองและพวก จูเฟยชวี่สงสัยยิ่งนักว่าอีกฝ่ายจะมีสีหน้าเป็นอย่างไร

แน่นอนว่าผู้นำชนเผ่าวิหคโบยบินไม่แสดงออกทางสีหน้า เขาเพียงยิ้มเล็กน้อยและกล่าวตอบ “ฮ่าๆๆ ข้าไม่ปฏิเสธหรอก เราตั้งใจจะเชิญท่านมาสำรวจซากปรักหักพังนี้ด้วยกันอยู่แล้วและไม่คิดที่จะครอบครองไว้เพียงผู้เดียว ถึงอย่างไรพวกเราก็เป็นคนในเมืองเดียวกันและควรจะแข็งแกร่งไปด้วยกันใช่รึไม่”

“ดีเลย หากเป็นเช่นนั้นก็อย่าเสียเวลากันอีกเลย เข้าไปสำรวจซากปรักหักพังกันเถอะ”

เมื่อได้ยินเช่นนั้น ฉินส่าวชิงก็พยักศีรษะเบาๆ

“ฮ่าๆๆ เจ้าเมืองฉิน ท่านไม่คิดรึว่าการที่คนกรูกันเข้าไปเป็นจำนวนมากเช่นนี้จะก่อให้ปัญหาได้?”

จูเฟยชวี่ยังไม่ได้เคลื่อนไหวออกไป เขาเพียงมองไปยังผู้คนนับร้อยชีวิตข้างหลังฉินส่าวชิงและกล่าวพร้อมรอยยิ้ม

เมื่อเจ้าเมืองฉินได้ยินวาจาของจูเฟยชวี่ เขาก็หันกลับมาสบตาและพยักศีรษะ

“ใช่แล้ว ผู้นำจูพูดถูก มีคนมากเกินไปจริงๆ”

คาดการณ์ได้ว่าซากปรักหักพังของผู้ใช้ข่ายอาคมฝีมือฉกาจน่าจะไม่กว้างใหญ่นักหรือมีสมบัติมากมาย หากคนจำนวนมากกรูกันเข้าไปพร้อมกัน มันจะต้องแออัดอย่างแน่นอน

“ข้าคิดว่าขุมกำลังใหญ่อย่างพวกเราควรที่จะส่งคนเข้าไปสิบคนและขุมกำลังขนาดเล็กอื่นๆก็ส่งคนเข้าไปสามคน จากนั้นพวกเราที่เข้าไปในซากปรักหักพังด้วยกัน สิ่งที่ได้รับก็จะขึ้นอยู่กับความสามารถของแต่ละคน ท่านเจ้าเมืองมีความคิดเห็นอย่างไร?”

เลี่ยหยางกล่าวเสนอความคิดของตนเองออกไป

ข้อเสนอเช่นนี้เป็นประโยชน์ต่อชนเผ่าเพลิงคำรามอย่างยิ่ง ทุกคนในเมืองเพลิงมายาต่างก็ทราบดีว่าชนเผ่าเพลิงคำรามมีจอมยุทธ์ขอบเขตเซียนมากที่สุด หากเลือกเพียงสิบคนเพื่อส่งเข้าไป คนเหล่านั้นจะต้องแกร่งกล้าอย่างมากเป็นแน่

แน่นอนว่าฉินส่าวชิงไม่คัดค้าน เขาทราบดีว่าวิธีนี้จะเอื้อผลประโยชน์ให้กับตัวเขาเป็นอย่างมาก

“เอาล่ะ ข้าเห็นด้วยตามที่ผู้นำเลี่ยหยางเสนอ ข้าเชื่อว่าทุกคนก็คงจะไม่คัดค้าน”

ในเมื่อฉินส่าวชิงอนุมัติเช่นนี้ บางคนที่มีความเห็นอื่นก็ไม่กล้าเอ่ยสิ่งใดออกไป ถึงอย่างไรแล้วหากสามขุมกำลังใหญ่ผนึกกำลังกัน พวกเขาก็คงไม่มีโอกาสเข้าไปสำรวจซากปรักหักพังด้วยซ้ำ ในตอนนี้ที่มีโอกาสได้เข้าไป พวกเขาจึงรู้สึกพึงพอใจอย่างยิ่ง ส่วนจะได้สมบัติหรือไม่นั้นก็ขึ้นอยู่กับความสามารถและโอกาสของแต่ละคน

“หากเช่นนั้นก็เลือกคนที่จะส่งเข้าไปเถอะ คนที่เหลือรออยู่ที่นี่หรือกลับไปยังขุมกำลังของตนเอง ถึงอย่างไรชนเผ่าวิหคโบยบินของเราก็ไม่กว้างใหญ่พอที่จะรองรับทุกคนได้”

จูเฟยชวี่กล่าวพร้อมรอยยิ้ม ในเมื่อเลี่ยหยางและฉินส่าวชิงเสนอเช่นนี้เขาก็ไม่ขัดข้อง ยิ่งมีคนเข้าไปน้อยเพียงใดก็ยิ่งดีสำหรับพวกเขา เมื่อถึงตอนนั้นพวกเขาเพียงต้องใช้วิธีการที่ดุดันและเกรี้ยวกราดบางอย่าง มันจะไม่มีปัญหาใดๆ

เจ้าเมืองฉินและเลี่ยหยางเลือกสมาชิกอย่างรวดเร็วในขณะที่ซูวั่งชวนเลือกคนจำนวนหนึ่งก่อนตามจูเฟยชวี่ไปยังซากปรักหักพังปลอมที่เตรียมการไว้ก่อนหน้านี้

ในขณะเดียวกัน จูเฟยชวี่ก็ส่งคนไปกระจายข่าวให้กับคนอื่นๆตั้งแต่เนิ่นๆเพื่อที่ทุกคนจะได้เตรียมความพร้อม พวกเขาจะลงมืออย่างรวดเร็วเพื่อไม่ให้เกิดสิ่งที่ไม่คาดคิดขึ้น

“ฮ่าๆๆ ไม่แปลกใจเลยที่ชนเผ่าวิหคโบยบินเลือกที่นี่เป็นที่ตั้งของชนเผ่า มันเป็นทำเลที่ดีจริงๆ ไม่เพียงแต่มีสภาวะพลังที่หนาแน่นเท่านั้น ทว่าสภาพแวดล้อมก็สดชื่นอย่างยิ่ง”

หลังจากก้าวเดินในบริเวณชนเผ่าวิหคโบยบินเป็นระยะหนึ่ง ฉินส่าวชิงก็อดกล่าวพร้อมถอนหายใจเบาๆไม่ได้ เขาไม่แปลกใจเลยที่ผู้ก่อตั้งชนเผ่าวิหคโบยบินตัดสินใจตั้งรกรากถิ่นฐานในสถานที่เล็กๆเช่นนี้ อาณาเขตชนเผ่าแห่งนี้เป็นสถานที่ที่ดีและน่าริษยามากทีเดียว

เมื่อได้ยินวาจาของเจ้าเมือง จูเฟยชวี่เพียงยิ้มอย่างเย็นชา ถึงอย่างไรคนผู้นี้ก็จะต้องตายในไม่ช้า และเขาไม่มีความจำเป็นที่จะทำความคุ้นเคยกับคนที่กำลังจะตาย

“นั่นคือทางเข้าซากปรักหักพัง”

เมื่อมาถึงจุดที่ลึกที่สุดตรงหน้าบ้านไม้ที่เป็นบ้านพักของจูเฟยชวี่ เขาก็กล่าวพร้อมรอยยิ้ม

เมื่อผัสผัสถึงพลังหนาแน่นของที่นี่และเห็นค่ายกลเคลื่อนย้ายที่ปรากฏอย่างเลือนราง เลี่ยหยางและคนอื่นๆก็ตื่นเต้นอย่างเห็นได้ชัด

ในทางกลับกัน ฉินส่าวชิงตื่นเต้นเพียงเล็กน้อยและเขารู้สึกตงิดใจว่ามีบางอย่างไม่ชอบมาพากล ทว่าหลังจากพยายามไตร่ตรองเป็นเวลานาน เขาก็นึกไม่ออก

“เข้าไปกันเถอะ ข้างในอาจมีอันตราย ทุกคนต้องระวังตัวและเกาะกลุ่มกันเข้าไว้”

จูเฟยชวี่กล่าวกับทุกคนและก้าวเข้าไปเป็นคนแรก

ซูวั่งชวนก็ยิ้มและตามไปอย่างใกล้ชิด

ฉินส่าวชิงและเลี่ยหยางมองหน้ากันก่อนเดินเข้าไปเช่นกัน ไม่ว่าจะมีแผนการอยู่เบื้องหลังหรือไม่ พวกเขาก็ทำได้เพียงแค่เข้าไปและยืนยันด้วยตนเองเท่านั้น

หากมีสมบัติอยู่ข้างในจริง พวกเขาก็ไม่ต้องการเห็นมันตกอยู่ในการครอบครองของซูวั่งชวนและจูเฟยชวี่

ผู้คนจากขุมกำลังอื่นเดินเข้าไปอย่างรวดเร็วและสีหน้าเปี่ยมไปด้วยความตื่นเต้น

พวกเขาทั้งหมดไม่ทันสังเกตเห็นด้วยซ้ำว่าทันทีที่ก้าวเข้าไป จู่ๆค่ายกลเคลื่อนย้ายก็หายไปอย่างไร้ร่องรอยราวกับไม่เคยปรากฏมาก่อน

“ว้าว! งดงามยิ่งนัก!”

เมื่อมองดูสภาพแวดล้อมรอบๆ ทุกคนก็พบกับคฤหาสน์ที่มีรูปร่างเป็นเอกลักษณ์ในคฤหาสน์เฟิงหัว เมื่อได้เห็นคฤหาสน์วิจิตรงดงามเช่นนี้ เป็นธรรมดาที่พวกเขาจะรู้สึกตื่นตาและชื่นชมในความงดงาม

เจ้าเมืองฉินและเลี่ยหยางมองหน้ากัน จากสิ่งที่เห็นนี้ ดูเหมือนว่าที่นี่จะเป็นซากปรักหักพังอย่างแท้จริงและน่าจะไม่มีปัญหาใด

“ข้าได้กลิ่นสมุนไพรจากตรงนั้น ข้าจะไปตรวจดูสักหน่อย”

ผู้ที่ได้กลิ่นสมุนไพรมุ่งตรงไปในทิศทางนั้นอย่างรวดเร็ว

สหายหลายคนของเขาก็ติดตามไปในทิศทางนั้นอย่างรวดเร็วเช่นกัน

เลี่ยหยาง ฉินส่าวชิง จูเฟยชวี่ ซูวั่งชวนและคนอื่นๆล้วนจับจ้องไปที่พระราชวังที่หรูหราและมีขนาดใหญ่ที่สุดซึ่งอยู่ตรงกลาง สมบัติล้ำค่าน่าจะอยู่ที่นั่น

“ไปดูกันเถอะ”

เขาเข้าใจความคิดของจูเฟยชวี่และซูวั่งชวน ฉินส่าวชิงจึงยิ้มและส่งสัญญาณให้ทุกคนมองไปที่นั่น ในเมื่อไม่มั่นใจกับอันตรายของที่นี่ เขาก็ไม่รังเกียจที่จะเดินไปพร้อมกับจูเฟยชวี่และซูวั่งชวน หากเผชิญกับภยันตราย เขาจะได้ขอความช่วยเหลือจากพวกเขา

สำหรับสมบัติล้ำค่าที่นั่น มันจะต้องตกเป็นของเขาอย่างแน่นอน เมื่อถึงตอนนั้นเขาก็ไม่รังเกียจที่จะสังหารผู้นำขุมกำลังทั้งสอง และหลังจากที่ออกไปจากที่นี่ การที่จะควบคุมชนเผ่าวิหคโบยบินและชนเผ่าเมฆาครามก็จะกลายเป็นเรื่องที่ง่ายดายมาก

จูเฟยชวี่และซูวั่งชวนสบตาและพยักหน้าอย่างรู้กัน ฉินส่าวชิงค่อยๆเดินเข้าไปติดกับดักทีละก้าวๆซึ่งประหยัดเวลาพวกเขาไปได้มาก

“นายหญิง พวกเขามาแล้ว”

ภายในห้องหนึ่ง ฉินอวี้โม่นั่งอยู่ข้างในโดยข้างกายมีมารยาที่ใบหน้าเรียบเฉยและพลับพลึงแดงที่ดูตื่นเต้นไม่น้อย

“ฮิๆๆ ฉินส่าวชิงผู้นี้ช่างยโสจริงๆ และความกระตือรือร้นของเขาก็ประหยัดพลังงานและเวลาของพวกเราไปได้มาก”

พลับพลึงแดงกล่าวอย่างวางท่าราวกับเป็นผู้ชนะ

ทุกอย่างในทัศนวิสัยของฉินส่าวชิงและคนอื่นๆแท้จริงแล้วเป็นเพียงข่ายอาคมลวงตาที่มารยาสร้างขึ้นเท่านั้น ที่นี่คือคฤหาสน์เฟิงหัวของฉินอวี้โม่ที่แม้จะไม่กว้างใหญ่ มันก็ไม่คับแคบเช่นกัน

พระราชวังที่ฉินส่าวชิงและคนอื่นๆมองเห็นนั้นไม่มีทางที่จะเข้าไปได้ และนั่นเป็นเพราะมันเป็นสิ่งที่ไม่มีอยู่จริง

“นายหญิง เราจะเริ่มเมื่อใด?”

มารยาเอ่ยถามเบาๆ บัดนี้พลังของมันเพิ่มขึ้นมากและสามารถช่วยผู้เป็นนายได้อย่างไม่มีปัญหา

“ไปกันเถอะ ออกไปพบพวกเขา”

ฉินอวี้โม่ยกยิ้มมุมปากขณะเหยียดกายลุกขึ้นและเดินออกไป

.

คุณหนูสี่ สตรีเปื้อนเลือด – ตอนที่ 424 ดาบนี้คืนสนอง

คุณหนูสี่ สตรีเปื้อนเลือด – ตอนที่ 424 ดาบนี้คืนสนอง

เวลานี้ทุกคนรวมตัวกันนอกชนเผ่าวิหคโบยบิน นอกเหนือจากฉินส่าวชิง เลี่ยหยางและขุมกำลังของพวกเขา ซูวั่งชวนเองก็นำคนจากชนเผ่าเมฆาครามมาเช่นกัน และสมาชิกจากขุมกำลังอื่นๆในเมืองเพลิงมายาก็มาที่นี่เช่นกัน

“ฮ่าๆๆ เหตุใดข้าจึงไม่เห็นเงาของจอมยุทธ์อวี้โม่เลยล่ะ?”

เมื่อไม่เห็นสตรีจอมยุทธ์ผู้มักปรากฏกายให้เห็นพร้อมกับซูวั่งชวน ฉินส่าวชิงและเลี่ยหยางก็สับสนเล็กน้อยและเอ่ยถามออกไป

“จอมยุทธ์อวี้โม่กำลังตั้งครรภ์ เพราะเหตุนั้นการมาที่นี่จึงไม่สะดวกนัก”

ซูวั่งชวนไม่ปิดบังและกล่าวคำตอบที่มีทั้งความจริงและไม่จริง

เป็นเรื่องจริงที่ว่าฉินอวี้โม่กำลังตั้งครรภ์อยู่ ทว่ามิใช่เรื่องที่นางไม่มาที่นี่ นางจะพลาดเหตุการณ์ครั้งสำคัญนี้ได้อย่างไรกัน?

แม้ว่าซูวั่งชวนและคนอื่นๆจะยืนกรานให้นางอยู่เฉยๆและเพียงรอชมผลลัพธ์เท่านั้น อย่างไรก็ตาม ฉินอวี้โม่ก็อดคลายกังวลไม่ได้หากว่านางไม่ได้เห็นเหตุการณ์นี้ด้วยตาของตัวเอง

เมื่อได้ยินคำตอบของซูวั่งชวน เจ้าเมืองฉินและเลี่ยหยางก็หันมองหน้ากันทันที หลังจากไตร่ตรองครู่หนึ่ง พวกเขาก็นึกขึ้นได้ว่าท้องของฉินอวี้โม่ป่องออกมาเล็กน้อยในตอนที่พบกันนอกชนเผ่าเมฆาครามครั้งล่าสุด

“ฮ่าๆๆ เช่นนั้นข้าก็ต้องแสดงความยินดีกับจอมยุทธ์อวี้โม่ด้วย”

เลี่ยหยางยิ้มมุมปากและกล่าวต่อ “เพียงแต่..ข้าไม่เคยได้ยินว่าจอมยุทธ์อวี้โม่เข้าพิธีกราบไหว้ฟ้าดินหรืออยู่กับบุรุษผู้ใดมาก่อน ข้าไม่ทราบว่าลูกในท้องของนางมาได้อย่างไรกัน..”

วาจาของเลี่ยหยางเจือความเยาะเย้ยราวกับเขาต้องการกล่าวว่าฉินอวี้โม่ประพฤติตนไม่เหมาะสมและไม่ใช่สตรีที่ดี

“ฮ่าๆๆ ผู้นำเลี่ยหยางไม่ต้องห่วงเรื่องจอมยุทธ์อวี้โม่หรอก สามีของจอมยุทธ์อวี้โม่แกร่งกล้าสามารถกว่านางเสียอีก หากเรื่องนี้รู้ไปถึงหูของเขาล่ะก็ ผู้นำเลี่ยหยางควรต้องระวังไว้ว่าชนเผ่าเพลิงคำรามอาจจะถูกกำจัดไปจากโลกมายาก็เป็นได้”

ซูวั่งชวนได้ยินวาจาหยามเกียรติของเลี่ยหยางและไม่สบอารมณ์อย่างยิ่ง อย่างไรก็ตาม สีหน้าของเขายังคงเรียบเฉยไม่แสดงความโกรธแค้น แต่ก็ตอกกลับไปอย่างเจ็บแสบ

แม้ว่าพวกเขาไม่เคยพบหานโม่ฉือ จากคำบอกเล่าของฉินอวี้โม่ก็ไม่ยากที่พวกเขาจะทราบว่าหานโม่ฉือทรงพลังเพียงใด กอปรกับความเข้าใจที่มีต่อตัวตนและพลังของฉินอวี้โม่ พวกเขาเชื่อว่าบุรุษที่จะอยู่ข้างกายนางได้ย่อมไม่ธรรมดาอย่างแน่นอน

สีหน้าของเลี่ยหยางเปลี่ยนไปเล็กน้อยเมื่อได้ยินคำพูดของซูวั่งชวน เขาตระหนักถึงความน่าสะพรึงกลัวของฉินอวี้โม่เป็นอย่างดี หากสามีของนางแกร่งกล้ายิ่งกว่า เขาก็คงไม่ต่างไปจากมดตัวเล็กๆที่ถูกบดขยี้ได้ทุกเมื่อ เมื่อคิดได้เช่นนี้ เขาจึงไม่กล้ากล่าววาจาไร้สาระอีกต่อไป ดูเหมือนเขาจะเป็นกังวลว่า ‘สามี’ ที่ว่านั้นจะมาได้ยินเรื่องนี้เข้า

“ฮ่าๆๆ ทุกคนมากันเร็วจริงเชียว!”

น้ำเสียงร่าเริงดังขึ้นในหูของฉินส่าวชิงและคนอื่นๆ ซึ่งเจ้าของเสียงดังกล่าวก็มิใช่ใครอื่นหากแต่เป็นจูเฟยชวี่—ผู้นำชนเผ่าวิหคโบยบินที่ได้ยินข่าวการมาถึงของทุกคนและเดินออกมาจากชนเผ่า

“ผู้นำจู สาเหตุที่เรามาที่นี่โดยไม่ได้รับเชิญ เป็นเพราะเราต้องการสำรวจซากปรักหักพังของชนเผ่าวิหคโบยบินกับท่าน หวังว่าท่านจะไม่ปฏิเสธหากว่าเราจะขอร่วมด้วย”

ฉินส่าวชิงเป็นคนแรกที่กล่าวจุดประสงค์ของตนเองออกไปโดยตรง น้ำเสียงของเขาเจือความข่มขู่เล็กๆที่มีเพียงจูเฟยชวี่เท่านั้นที่เข้าใจ

จูเฟยชวี่ยิ้มมุมปากเล็กน้อยทันที ฉินส่าวชิงตัวร้ายผู้นี้คิดจะข่มขู่เขาอย่างนั้นหรือ เมื่อได้ทราบความจริงที่ว่าทั้งหมดนี้เป็นแผนการเพื่อกำจัดตนเองและพวก จูเฟยชวี่สงสัยยิ่งนักว่าอีกฝ่ายจะมีสีหน้าเป็นอย่างไร

แน่นอนว่าผู้นำชนเผ่าวิหคโบยบินไม่แสดงออกทางสีหน้า เขาเพียงยิ้มเล็กน้อยและกล่าวตอบ “ฮ่าๆๆ ข้าไม่ปฏิเสธหรอก เราตั้งใจจะเชิญท่านมาสำรวจซากปรักหักพังนี้ด้วยกันอยู่แล้วและไม่คิดที่จะครอบครองไว้เพียงผู้เดียว ถึงอย่างไรพวกเราก็เป็นคนในเมืองเดียวกันและควรจะแข็งแกร่งไปด้วยกันใช่รึไม่”

“ดีเลย หากเป็นเช่นนั้นก็อย่าเสียเวลากันอีกเลย เข้าไปสำรวจซากปรักหักพังกันเถอะ”

เมื่อได้ยินเช่นนั้น ฉินส่าวชิงก็พยักศีรษะเบาๆ

“ฮ่าๆๆ เจ้าเมืองฉิน ท่านไม่คิดรึว่าการที่คนกรูกันเข้าไปเป็นจำนวนมากเช่นนี้จะก่อให้ปัญหาได้?”

จูเฟยชวี่ยังไม่ได้เคลื่อนไหวออกไป เขาเพียงมองไปยังผู้คนนับร้อยชีวิตข้างหลังฉินส่าวชิงและกล่าวพร้อมรอยยิ้ม

เมื่อเจ้าเมืองฉินได้ยินวาจาของจูเฟยชวี่ เขาก็หันกลับมาสบตาและพยักศีรษะ

“ใช่แล้ว ผู้นำจูพูดถูก มีคนมากเกินไปจริงๆ”

คาดการณ์ได้ว่าซากปรักหักพังของผู้ใช้ข่ายอาคมฝีมือฉกาจน่าจะไม่กว้างใหญ่นักหรือมีสมบัติมากมาย หากคนจำนวนมากกรูกันเข้าไปพร้อมกัน มันจะต้องแออัดอย่างแน่นอน

“ข้าคิดว่าขุมกำลังใหญ่อย่างพวกเราควรที่จะส่งคนเข้าไปสิบคนและขุมกำลังขนาดเล็กอื่นๆก็ส่งคนเข้าไปสามคน จากนั้นพวกเราที่เข้าไปในซากปรักหักพังด้วยกัน สิ่งที่ได้รับก็จะขึ้นอยู่กับความสามารถของแต่ละคน ท่านเจ้าเมืองมีความคิดเห็นอย่างไร?”

เลี่ยหยางกล่าวเสนอความคิดของตนเองออกไป

ข้อเสนอเช่นนี้เป็นประโยชน์ต่อชนเผ่าเพลิงคำรามอย่างยิ่ง ทุกคนในเมืองเพลิงมายาต่างก็ทราบดีว่าชนเผ่าเพลิงคำรามมีจอมยุทธ์ขอบเขตเซียนมากที่สุด หากเลือกเพียงสิบคนเพื่อส่งเข้าไป คนเหล่านั้นจะต้องแกร่งกล้าอย่างมากเป็นแน่

แน่นอนว่าฉินส่าวชิงไม่คัดค้าน เขาทราบดีว่าวิธีนี้จะเอื้อผลประโยชน์ให้กับตัวเขาเป็นอย่างมาก

“เอาล่ะ ข้าเห็นด้วยตามที่ผู้นำเลี่ยหยางเสนอ ข้าเชื่อว่าทุกคนก็คงจะไม่คัดค้าน”

ในเมื่อฉินส่าวชิงอนุมัติเช่นนี้ บางคนที่มีความเห็นอื่นก็ไม่กล้าเอ่ยสิ่งใดออกไป ถึงอย่างไรแล้วหากสามขุมกำลังใหญ่ผนึกกำลังกัน พวกเขาก็คงไม่มีโอกาสเข้าไปสำรวจซากปรักหักพังด้วยซ้ำ ในตอนนี้ที่มีโอกาสได้เข้าไป พวกเขาจึงรู้สึกพึงพอใจอย่างยิ่ง ส่วนจะได้สมบัติหรือไม่นั้นก็ขึ้นอยู่กับความสามารถและโอกาสของแต่ละคน

“หากเช่นนั้นก็เลือกคนที่จะส่งเข้าไปเถอะ คนที่เหลือรออยู่ที่นี่หรือกลับไปยังขุมกำลังของตนเอง ถึงอย่างไรชนเผ่าวิหคโบยบินของเราก็ไม่กว้างใหญ่พอที่จะรองรับทุกคนได้”

จูเฟยชวี่กล่าวพร้อมรอยยิ้ม ในเมื่อเลี่ยหยางและฉินส่าวชิงเสนอเช่นนี้เขาก็ไม่ขัดข้อง ยิ่งมีคนเข้าไปน้อยเพียงใดก็ยิ่งดีสำหรับพวกเขา เมื่อถึงตอนนั้นพวกเขาเพียงต้องใช้วิธีการที่ดุดันและเกรี้ยวกราดบางอย่าง มันจะไม่มีปัญหาใดๆ

เจ้าเมืองฉินและเลี่ยหยางเลือกสมาชิกอย่างรวดเร็วในขณะที่ซูวั่งชวนเลือกคนจำนวนหนึ่งก่อนตามจูเฟยชวี่ไปยังซากปรักหักพังปลอมที่เตรียมการไว้ก่อนหน้านี้

ในขณะเดียวกัน จูเฟยชวี่ก็ส่งคนไปกระจายข่าวให้กับคนอื่นๆตั้งแต่เนิ่นๆเพื่อที่ทุกคนจะได้เตรียมความพร้อม พวกเขาจะลงมืออย่างรวดเร็วเพื่อไม่ให้เกิดสิ่งที่ไม่คาดคิดขึ้น

“ฮ่าๆๆ ไม่แปลกใจเลยที่ชนเผ่าวิหคโบยบินเลือกที่นี่เป็นที่ตั้งของชนเผ่า มันเป็นทำเลที่ดีจริงๆ ไม่เพียงแต่มีสภาวะพลังที่หนาแน่นเท่านั้น ทว่าสภาพแวดล้อมก็สดชื่นอย่างยิ่ง”

หลังจากก้าวเดินในบริเวณชนเผ่าวิหคโบยบินเป็นระยะหนึ่ง ฉินส่าวชิงก็อดกล่าวพร้อมถอนหายใจเบาๆไม่ได้ เขาไม่แปลกใจเลยที่ผู้ก่อตั้งชนเผ่าวิหคโบยบินตัดสินใจตั้งรกรากถิ่นฐานในสถานที่เล็กๆเช่นนี้ อาณาเขตชนเผ่าแห่งนี้เป็นสถานที่ที่ดีและน่าริษยามากทีเดียว

เมื่อได้ยินวาจาของเจ้าเมือง จูเฟยชวี่เพียงยิ้มอย่างเย็นชา ถึงอย่างไรคนผู้นี้ก็จะต้องตายในไม่ช้า และเขาไม่มีความจำเป็นที่จะทำความคุ้นเคยกับคนที่กำลังจะตาย

“นั่นคือทางเข้าซากปรักหักพัง”

เมื่อมาถึงจุดที่ลึกที่สุดตรงหน้าบ้านไม้ที่เป็นบ้านพักของจูเฟยชวี่ เขาก็กล่าวพร้อมรอยยิ้ม

เมื่อผัสผัสถึงพลังหนาแน่นของที่นี่และเห็นค่ายกลเคลื่อนย้ายที่ปรากฏอย่างเลือนราง เลี่ยหยางและคนอื่นๆก็ตื่นเต้นอย่างเห็นได้ชัด

ในทางกลับกัน ฉินส่าวชิงตื่นเต้นเพียงเล็กน้อยและเขารู้สึกตงิดใจว่ามีบางอย่างไม่ชอบมาพากล ทว่าหลังจากพยายามไตร่ตรองเป็นเวลานาน เขาก็นึกไม่ออก

“เข้าไปกันเถอะ ข้างในอาจมีอันตราย ทุกคนต้องระวังตัวและเกาะกลุ่มกันเข้าไว้”

จูเฟยชวี่กล่าวกับทุกคนและก้าวเข้าไปเป็นคนแรก

ซูวั่งชวนก็ยิ้มและตามไปอย่างใกล้ชิด

ฉินส่าวชิงและเลี่ยหยางมองหน้ากันก่อนเดินเข้าไปเช่นกัน ไม่ว่าจะมีแผนการอยู่เบื้องหลังหรือไม่ พวกเขาก็ทำได้เพียงแค่เข้าไปและยืนยันด้วยตนเองเท่านั้น

หากมีสมบัติอยู่ข้างในจริง พวกเขาก็ไม่ต้องการเห็นมันตกอยู่ในการครอบครองของซูวั่งชวนและจูเฟยชวี่

ผู้คนจากขุมกำลังอื่นเดินเข้าไปอย่างรวดเร็วและสีหน้าเปี่ยมไปด้วยความตื่นเต้น

พวกเขาทั้งหมดไม่ทันสังเกตเห็นด้วยซ้ำว่าทันทีที่ก้าวเข้าไป จู่ๆค่ายกลเคลื่อนย้ายก็หายไปอย่างไร้ร่องรอยราวกับไม่เคยปรากฏมาก่อน

“ว้าว! งดงามยิ่งนัก!”

เมื่อมองดูสภาพแวดล้อมรอบๆ ทุกคนก็พบกับคฤหาสน์ที่มีรูปร่างเป็นเอกลักษณ์ในคฤหาสน์เฟิงหัว เมื่อได้เห็นคฤหาสน์วิจิตรงดงามเช่นนี้ เป็นธรรมดาที่พวกเขาจะรู้สึกตื่นตาและชื่นชมในความงดงาม

เจ้าเมืองฉินและเลี่ยหยางมองหน้ากัน จากสิ่งที่เห็นนี้ ดูเหมือนว่าที่นี่จะเป็นซากปรักหักพังอย่างแท้จริงและน่าจะไม่มีปัญหาใด

“ข้าได้กลิ่นสมุนไพรจากตรงนั้น ข้าจะไปตรวจดูสักหน่อย”

ผู้ที่ได้กลิ่นสมุนไพรมุ่งตรงไปในทิศทางนั้นอย่างรวดเร็ว

สหายหลายคนของเขาก็ติดตามไปในทิศทางนั้นอย่างรวดเร็วเช่นกัน

เลี่ยหยาง ฉินส่าวชิง จูเฟยชวี่ ซูวั่งชวนและคนอื่นๆล้วนจับจ้องไปที่พระราชวังที่หรูหราและมีขนาดใหญ่ที่สุดซึ่งอยู่ตรงกลาง สมบัติล้ำค่าน่าจะอยู่ที่นั่น

“ไปดูกันเถอะ”

เขาเข้าใจความคิดของจูเฟยชวี่และซูวั่งชวน ฉินส่าวชิงจึงยิ้มและส่งสัญญาณให้ทุกคนมองไปที่นั่น ในเมื่อไม่มั่นใจกับอันตรายของที่นี่ เขาก็ไม่รังเกียจที่จะเดินไปพร้อมกับจูเฟยชวี่และซูวั่งชวน หากเผชิญกับภยันตราย เขาจะได้ขอความช่วยเหลือจากพวกเขา

สำหรับสมบัติล้ำค่าที่นั่น มันจะต้องตกเป็นของเขาอย่างแน่นอน เมื่อถึงตอนนั้นเขาก็ไม่รังเกียจที่จะสังหารผู้นำขุมกำลังทั้งสอง และหลังจากที่ออกไปจากที่นี่ การที่จะควบคุมชนเผ่าวิหคโบยบินและชนเผ่าเมฆาครามก็จะกลายเป็นเรื่องที่ง่ายดายมาก

จูเฟยชวี่และซูวั่งชวนสบตาและพยักหน้าอย่างรู้กัน ฉินส่าวชิงค่อยๆเดินเข้าไปติดกับดักทีละก้าวๆซึ่งประหยัดเวลาพวกเขาไปได้มาก

“นายหญิง พวกเขามาแล้ว”

ภายในห้องหนึ่ง ฉินอวี้โม่นั่งอยู่ข้างในโดยข้างกายมีมารยาที่ใบหน้าเรียบเฉยและพลับพลึงแดงที่ดูตื่นเต้นไม่น้อย

“ฮิๆๆ ฉินส่าวชิงผู้นี้ช่างยโสจริงๆ และความกระตือรือร้นของเขาก็ประหยัดพลังงานและเวลาของพวกเราไปได้มาก”

พลับพลึงแดงกล่าวอย่างวางท่าราวกับเป็นผู้ชนะ

ทุกอย่างในทัศนวิสัยของฉินส่าวชิงและคนอื่นๆแท้จริงแล้วเป็นเพียงข่ายอาคมลวงตาที่มารยาสร้างขึ้นเท่านั้น ที่นี่คือคฤหาสน์เฟิงหัวของฉินอวี้โม่ที่แม้จะไม่กว้างใหญ่ มันก็ไม่คับแคบเช่นกัน

พระราชวังที่ฉินส่าวชิงและคนอื่นๆมองเห็นนั้นไม่มีทางที่จะเข้าไปได้ และนั่นเป็นเพราะมันเป็นสิ่งที่ไม่มีอยู่จริง

“นายหญิง เราจะเริ่มเมื่อใด?”

มารยาเอ่ยถามเบาๆ บัดนี้พลังของมันเพิ่มขึ้นมากและสามารถช่วยผู้เป็นนายได้อย่างไม่มีปัญหา

“ไปกันเถอะ ออกไปพบพวกเขา”

ฉินอวี้โม่ยกยิ้มมุมปากขณะเหยียดกายลุกขึ้นและเดินออกไป

.

Options

not work with dark mode
Reset