หลังจากที่กระบวนการปลอมตัวเสร็จสิ้น รูปลักษณ์ของเลี่ยหยางก็เหมือนกับฉินส่าวชิงไม่มีผิดเพี้ยน
เลี่ยหยางในเวลานี้และฉินส่าวชิงแทบจะเหมือนกันอย่างสมบูรณ์โดยไม่มีจุดบกพร่องใดๆที่เด่นชัด
“ผู้อาวุโสซู ผู้นำจู”
หลังจากคิดพิจารณาครู่หนึ่ง เลี่ยหยางก็กล่าวด้วยน้ำเสียงของฉินส่าวชิง เขาเรียนรู้ลักษณะเฉพาะตัวของเจ้าเมืองฉินมามากทีเดียว
“ฮ่าๆๆ หากข้าไม่ทราบมาก่อนว่าผู้ที่อยู่ตรงหน้าในเวลานี้คือผู้นำเลี่ยหยาง เกรงว่าข้าคงเชื่อสนิทใจว่าบุรุษตรงหน้านี้คือเจ้าเมืองฉินจริงๆ”
ซูชิงและคนอื่นๆชะงักค้างไปชั่วขณะก่อนยิ้มออกมา เลี่ยหยางผู้นี้เข้าถึงบทบาทได้แนบเนียนอย่างแท้จริง
“เป็นอย่างที่ข้าคิดไว้เลย ผู้นำเลี่ยหยางคือตัวเลือกที่ดีที่สุดในการปลอมตัวเป็นฉินส่าวชิง ดูเหมือนว่าการตัดสินใจครั้งนี้จะถูกต้องแล้ว”
จูเฟยชวี่ยิ้มและกล่าวด้วยความพึงพอใจ
เลี่ยหยางสนิทสนมและใช้เวลาร่วมกับฉินส่าวชิงเป็นประจำ แน่นอนว่าเขาย่อมรู้จักและเข้าใจตัวตนของเจ้าเมืองฉินมากกว่าใคร บัดนี้แม้แต่พวกเขาก็ยากที่จะแยกแยะได้ นับประสาอะไรกับผู้อื่นที่ไม่คุ้นเคยกับฉินส่าวชิงมาก่อน
“ดูเหมือนว่าผู้นำเลี่ยหยางจะทำหน้าที่นี้ได้อย่างราบรื่น อย่างไรก็ตาม ระดับพลังของผู้นำเลี่ยหยางก็อ่อนแอกว่าฉินส่าวชิง หากเผชิญหน้ากับยอดฝีมือที่แข็งแกร่ง เขาจะถูกค้นพบรึไม่?”
ซูวั่งชวนกล่าวสิ่งที่เป็นกังวลออกไป เลี่ยหยางอ่อนแอว่าเจ้าเมืองฉินจริง หากพบกับจอมยุทธ์ฝีมือดีที่คุ้นเคยกับฉินส่าวชิง คนผู้นั้นจะสัมผัสถึงพลังที่แตกต่างไปจากเดิมได้อย่างแน่นอน
“เรื่องนี้ไม่ใช่ปัญหา หลังจากเราออกไป เราจะส่งคนออกไปกระจายข่าวว่าพวกเราเผชิญหน้ากับอสูรมายาทรงพลังในซากปรักหักพัง ผู้นำเลี่ยหยางพ่ายแพ้ในการต่อสู้กับอสูรมายาตัวนั้นและต้องตายไปด้วยเงื้อมมือของมัน ส่วนฉินส่าวชิงเองก็ต่อสู้กับอสูรมายาตัวนั้นอย่างเต็มที่ สุดท้ายแม้ว่าเขาจะสังหารมันได้ทว่าเขาก็ได้รับบาดเจ็บสาหัสเช่นกัน”
ฉินอวี้โม่ได้เตรียมเรื่องนี้ไว้ก่อนแล้วและไม่ละเลยหรือมองข้ามรายละเอียดเหล่านี้แม้แต่น้อย
“เข้าใจแล้ว ข้าจะทำตามวาจาของท่านเทพมายา”
เลี่ยหยางพยักศีรษะและแน่นอนว่าไม่มีความคิดคัดค้านใดๆ ในทางกลับกัน เขารู้สึกว่าการเตรียมการของฉินอวี้โม่รอบคอบและเหมาะสมอย่างยิ่ง
“ผู้นำเลี่ยหยางเองก็ต้องระวังตัวให้มาก หากเกิดเรื่องไม่คาดคิดและตัวตนของท่านถูกเปิดเผย การรักษาชีวิตของท่านให้ปลอดภัยคือสิ่งสำคัญที่สุด”
ฉินอวี้โม่มองเลี่ยหยางและกล่าวออกไป
เมื่อได้ยินวาจาที่เหมือนเป็นห่วงของเทพมายาคนใหม่ เลี่ยหยางก็รู้สึกซาบซึ้งใจขึ้นมา ไม่คิดเลยว่าฉินอวี้โม่จะเป็นห่วงความปลอดภัยของเขามากเช่นนี้ ถึงอย่างไรเขาก็เคยพยายามสังหารนางหลายคราและมีความบาดหมางกันมากมาย
“ข้าจะระวังตัวไว้”
หลังจากหยุดนิ่งไปชั่วคราว เลี่ยหยางก็กล่าวด้วยน้ำเสียงหนักแน่น “ท่านเทพมายาไม่ต้องกังวล ข้าจะทำภารกิจให้สำเร็จและช่วยท่านสืบข่าวที่เป็นประโยชน์กลับมาให้จงได้”
เมื่อเห็นสีหน้าแววตาหนักแน่นของเลี่ยหยาง ฉินอวี้โม่ก็ไม่กล่าวสิ่งใดอีก แม้ว่าเคยประจันหน้ากันแล้วหลายครั้งและเลี่ยหยางมักเป็นฝ่ายล้มเหลวในตอนสุดท้าย ทว่าการที่สามารถขึ้นเป็นผู้นำของขุมกำลังใหญ่ได้ เลี่ยหยางผู้นี้ก็ไม่ได้ถือว่าธรรมดาเลย
ก่อนหน้านี้สาเหตุที่เขาพ่ายแพ้ต่อฉินอวี้โม่หลายครั้งหลายครานั้นเป็นเพราะความประมาทของเขาส่วนหนึ่งและส่วนอื่นๆก็เป็นเพราะเขากระตือรือร้นมากเกินไปจนไม่ทันพิจารณาสิ่งต่างๆอย่างชัดเจนรอบคอบ
ฉินอวี้โม่มีเหตุผลให้เชื่อมั่นว่าผู้นำเลี่ยหยางก็มีความสามารถในระดับหนึ่ง
“เราออกไปกันเถอะ นับตั้งแต่เราเข้ามาก็เป็นเวลาเกือบสองวันแล้ว หากยังไม่ออกไปอีกล่ะก็ ข้าเกรงว่าอาจจะเกิดปัญหาขึ้นข้างนอกได้”
เมื่อเตรียมการทุกอย่างเสร็จสิ้น ฉินอวี้โม่ก็เตรียมพร้อมที่จะนำทุกคนออกไปจากคฤหาสน์เฟิงหัว
“ท่านเทพมายา แล้วคนพวกนั้นล่ะ?”
เมื่อมองไปยังกลุ่มคนที่ยังติดอยู่ในภวังค์ข่ายอาคมอีกฟากหนึ่ง เลี่ยหยางก็เอ่ยถามด้วยความสงสัย
ฉินอวี้โม่กวาดสายตามองคนเหล่านั้นและพบว่าพวกเขาล้วนเป็นคนดีไม่มีพิษภัย หลังจากไตร่ตรองครู่หนึ่ง นางก็กล่าวออกไป “แจ้งให้พวกเขาทราบถึงตัวตนของข้าและให้พวกเขาหลั่งเลือดสาบานเช่นกัน”
เดิมทีนางก็ไม่ได้ต้องการทำเช่นนี้ ทว่าเพื่อป้องกันมิให้ผู้ใดทราบเรื่องที่เกิดขึ้นภายในนี้ นางจึงตัดสินใจที่จะใช้ไม้แข็งและใช้ความแข็งแกร่งของนางเพื่อทำให้คนเหล่านั้นยอมจำนนโดยตรง
เมื่อได้ยินเช่นนั้น เลี่ยหยางและคนอื่นๆก็มองหน้ากันด้วยความเข้าใจทันที
หลังจากที่มารยาถอดข่ายอาคมออก คนเหล่านั้นก็มองเห็นสภาพแวดล้อมที่แท้จริงทันที
จากนั้นพวกเขาก็ตระหนักได้ว่าทุกอย่างที่เห็นก่อนหน้านี้เป็นเพียงภาพลวงตาเท่านั้น ในเวลานี้พวกเขาอยู่ในคฤหาสน์หลังหนึ่งและปราศจากร่องรอยของทุกอย่างที่เห็นเมื่อครู่
เมื่อสังเกตเห็นฉินอวี้โม่และคนอื่นๆซึ่งอยู่ด้านข้าง พวกเขาก็ขมวดคิ้วด้วยความฉงนสงสัย
ซูวั่งชวนและคนอื่นๆก็ไม่รอช้า พลังวิญญาณอันแรงกล้าของพวกเขาแผ่ไปทั่วคฤหาสน์เฟิงหัวทันทีส่งผลให้สีหน้าของคนเหล่านั้นบิดเบี้ยวไม่น่าดู
“ผู้นำจู ผู้นำซู เจ้าเมืองฉิน พวกท่านคิดจะทำอะไรกัน!?”
ใครคนหนึ่งอดตะโกนออกมาไม่ได้ แม้ว่าสีหน้าของเขาเหยเกเล็กน้อย เขาก็กล่าวออกไปอย่างไม่หวาดหวั่น
“ฮ่าๆๆ วันนี้เกิดเรื่องราวมากมายเหลือเกิน ดังนั้นข้าจึงต้องการให้พวกเจ้าหลั่งเลือดสาบาน ตราบใดที่พวกเจ้าทั้งหมดยอมจำนนต่อข้าและจำนนต่อเทพมายา ข้าจะปล่อยพวกเจ้าได้มีชีวิตต่อไป”
ฉินอวี้โม่กล่าวพร้อมรอยยิ้มเยือกเย็นและค่อยๆเหยียดกายลุกขึ้น
“เทพมายางั้นรึ?”
เมื่อได้ยินคำว่า ‘เทพมายา’ ทุกคนก็ตกตะลึงทันที
หลังจากหันมองหน้ากันด้วยความงุนงง หนึ่งในจอมยุทธ์ที่แข็งแกร่งที่สุดในกลุ่มก็กล่าวขึ้น “ไม่ทราบว่าตอนนี้เทพมายาที่ว่านั่นอยู่ที่ใดรึ?”
การทำให้พวกเขายอมจำนนนั้นมิใช่เรื่องยาก ดินแดนแห่งนี้คือที่ที่ผู้แข็งแกร่งได้รับความเคารพและฉินอวี้โม่เป็นถึงผู้ฝึกสัตว์อสูรระดับเทวะ การเป็นผู้ใต้บังคับบัญชาหรือผู้ติดตามของนางถือว่าไม่ใช่เรื่องน่าอายเลยสักนิด อย่างไรก็ตาม ความหมายของฉินอวี้โม่คือพวกเขาต้องจำนนต่อ ‘เทพมายา’
ในฐานะประชากรของโลกมายา แน่นอนว่าพวกเขาคุ้นเคยกับเทพมายาดีและมีความรู้สึกคล้อยตามไปในทางที่ดี หากต้องการให้พวกเขาสาบานหรือยอมจำนน พวกเขาก็ต้องทราบความจริงให้ได้เสียก่อน
“ฮ่าๆๆ บรรพชนเทพมายาหายสาบสูญไปแล้ว และเทพมายาคนใหม่ก็อยู่ตรงหน้าพวกเจ้าทุกคน ตราบใดที่พวกเจ้าหลั่งเลือดสาบานว่าจะจงรักภักดีตลอดไป เราก็จะกลายเป็นพันธมิตรที่จะร่วมมือกันกำจัดฉินเหยียนออกไปและนำพาความสงบสุขมาสู่โลกมายาแห่งนี้”
เลี่ยหยางผู้ซึ่งเปลี่ยนรูปลักษณ์เป็นฉินส่าวชิงกล่าวพร้อมรอยยิ้มและแสดงความคิดเห็นของตนเอง
“เจ้าเมืองฉิน ท่าน…”
เมื่อได้ยินวาจาของเลี่ยหยาง คนเหล่านั้นก็สับสนงุนงงยิ่งกว่าเดิม ฉินส่าวชิงเป็นคนของฉินเหยียนมิใช่หรือ? แล้วเหตุใดจู่ๆเขาจึงแปรพักตร์และยอมจำนนต่อเทพมายาเช่นนี้?
“ไม่ต้องสงสัยหรอก ท่านเทพมายาคือผู้ที่ควรได้รับความเคารพจากพวกเราทุกคนในโลกมายา ก่อนหน้านี้ข้าเพียงติดตามผู้นำผิดคนและข้าก็นึกเสียใจเป็นที่สุด ทว่าบัดนี้เมื่อได้พบกับท่านเทพมายา ข้าจึงยอมจำนนโดยที่ไม่ลังเล”
เลี่ยหยางยิ้มพร้อมกล่าวอธิบายอย่างคร่าวๆได้อย่างแนบเนียนและไร้จุดบกพร่อง
“ผู้อาวุโสซู..ผู้นำจู..พวกท่านล่ะ?”
เมื่อได้ยินวาจาที่แสนประหลาดของเจ้าเมืองฉิน พวกเขาก็มองไปที่ซูวั่งชวนและจูเฟยชวี่พร้อมเอ่ยถามด้วยความไม่มั่นใจ
“พวกเราก็สาบานตนว่าจะจงรักภักดีต่อท่านเทพมายาแล้วเช่นกัน”
ซูวั่งชวนเอ่ยตอบและแสดงจุดยืนอย่างชัดเจน พวกเขาทั้งสามชนเผ่าเป็นขุมกำลังที่ทรงพลังที่สุดในเมืองเพลิงมายา ตราบใดที่พวกเขาแสดงจุดยืนที่ชัดเจนออกไป ขุมกำลังเล็กๆที่เหลือย่อมไม่ลังเล
“ยิ่งไปกว่านั้น ก่อนหน้านี้ผู้นำเลี่ยหยางก็ไม่ยอมจำนนต่อเทพมายาและแอบคิดการร้าย เขาจึงถูกท่านเทพมายาประหารไปโดยตรงและจิตวิญญาณแหลกสลายไม่มีเหลือ เพราะฉะนั้นทุกคนจงคิดไตร่ตรองให้ดีก่อนเถิด”
จูเฟยชวี่กล่าวเสริมด้วยน้ำเสียงเจือข่มขู่เล็กน้อย
เมื่อได้ยินเช่นนั้น พวกเขาเหล่านั้นก็กวาดสายตามองไปรอบตัวทันทีและไม่พบแม้แต่ร่องรอยของเลี่ยหยาง ทว่าสิ่งที่สังเกตเห็นกลับเป็นคนที่คุ้นหน้าคุ้นตาหลายคนจากชนเผ่าเพลิงคำรามที่มองฉินอวี้โม่ด้วยแววตาเคารพเทิดทูน
“ท่านจอมยุทธ์อวี้โม่คือเทพมายาคนใหม่อย่างนั้นรึ!?”
ใครคนหนึ่งมองฉินอวี้โม่ด้วยความสงสัยใคร่รู้และไม่คิดมาก่อนว่านางจะเป็นเทพมายาคนใหม่ที่กล่าวถึง
“ฮ่าๆๆ ข้าบังเอิญโชคดีที่ได้สืบทอดกายเทพมายาและก็กลายเป็นเทพมายาคนใหม่ไปโดยปริยาย หากพวกเจ้าจำนนอย่างเต็มใจ ในอนาคตข้าจะปฏิบัติต่อพวกเจ้าเป็นอย่างดี”
ฉินอวี้โม่ยิ้มบางๆขณะกล่าวด้วยน้ำเสียงเปี่ยมไปด้วยความมั่นใจ
เมื่อได้ยินวาจาของฉินอวี้โม่และไตร่ตรองสิ่งที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ ใครคนหนึ่งก็ก้าวออกมาข้างหน้าและคุกเข่าลงตรงหน้านางก่อนหลั่งเลือดสาบานว่าจะจงรักภักดีตลอดไป
เมื่อมีคนหนึ่งเริ่มต้น คนอื่นๆก็ปฏิบัติตามอย่างรวดเร็ว แม้ว่าหลายคนยังลังเลในตอนแรก พวกเขาก็ตัดสินใจที่จะกล่าวสัตย์สาบานว่าจะยอมจำนนชั่วนิรันดร์
“ข้าคิดว่าพวกเราควรที่จะรวมขุมกำลังเล็กๆทั้งหมดเข้ากับสามขุมกำลังใหญ่ ด้วยวิธีนี้ ไม่เพียงแต่ความแข็งแกร่งของทั้งสามชนเผ่าจะเพิ่มขึ้นมากเท่านั้น ทว่าเมืองเพลิงมายาก็จะเป็นปึกแผ่นเดียวกันมากขึ้นกว่าก่อน”
ใครบางคนกล่าวเสนอขึ้นมาทันที
เมื่อได้ยินข้อเสนอดังกล่าว ฉินอวี้โม่ ซูวั่งชวนและคนอื่นๆก็มองหน้ากัน พวกเขาคิดว่ามันก็เป็นข้อเสนอที่ดี
“ฮ่าๆๆ ข้าขอเวลาไตร่ตรองเรื่องนี้สักหน่อย ข้าเองก็เคยคิดเรื่องการรวมขุมกำลังเล็กๆเข้ากับขุมกำลังใหญ่ทั้งสามเช่นกัน ทว่าการทำเช่นนั้นก็ยากที่จะควบคุมระเบียบวินัยของทุกคน เราทั้งหมดจะกลับไปไตร่ตรองและมาหารือกันในอีกสองสามวันข้างหน้าเพื่อดูว่าจะมีทางที่ดีกว่านี้รึไม่”
ฉินอวี้โม่กล่าวพร้อมรอยยิ้ม การรวมขุมกำลังใหญ่ทั้งสามกับขุมกำลังเล็กอื่นๆถือเป็นสิ่งที่จำเป็น อย่างไรก็ตาม นางยังต้องพิจารณาว่าการผนึกกำลังแบบใดที่จะมีประสิทธิภาพมากที่สุดและทำให้เมืองเพลิงมายาแข็งแกร่งขึ้นได้ นอกจากนี้นางยังต้องหาวิธีเพิ่มแรงกระตุ้นในการฝึกยุทธ์ในเมืองเพลิงมายาเพื่อพัฒนาให้เมืองนี้แข็งแกร่งมากขึ้นเรื่อยๆเช่นกัน
“หลังจากนี้อีกสองถึงสามวัน ข้าจะเรียกพบทุกคนเพื่อประชุมกันอีกครา เมื่อถึงตอนนั้นเราจะหารือกันว่าจะจัดการอย่างไร ในช่วงเวลานี้ทุกคนก็สามารถคิดไตร่ตรองกันได้ว่ามีสิ่งใดที่ถูกมองข้ามไปรึไม่ หากมี พวกเราจะได้ยกเรื่องนั้นมาหารือกันในที่ประชุม”
เมื่อทุกคนพยักศีรษะรับทราบ ฉินอวี้โม่ก็ตัดสินใจในทันที
“ทุกอย่างจะเป็นไปตามการจัดการของท่านเทพมายา”
ทุกคนพยักศีรษะอย่างพร้อมเพรียงกันเพื่อบ่งบอกว่าทุกอย่างจะดำเนินไปตามที่ฉินอวี้โม่ต้องการ
ฉินอวี้โม่พยักศีรษะด้วยความพึงพอใจ ด้วยรากฐานเดิมแล้วเมืองเพลิงมายาถือว่าแข็งแกร่งพอสมควร หากสามารถติดต่อกับกองทหารหงเฟิงและร่วมมือกัน นางเชื่อว่านางจะมีพลังเพียงพอที่จะรับมือกับฉินเหยียนและคนอื่นๆได้อย่างแน่นอน ต่อให้ต้องประจันหน้ากัน นางก็ไม่หวาดหวั่นแต่อย่างใด และเมื่อถึงคราวที่นางปลดผนึกที่สองของตนเองได้สำเร็จ ความแข็งแกร่งของนางก็จะเพิ่มขึ้นเป็นอย่างมาก เมื่อถึงตอนนั้น ต่อให้เรื่องกายเทพมายาถูกเปิดเผยออกไป มันก็ไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะจัดการกับนาง
และเมื่อในอนาคตนางเดินทางไปที่ดินแดนเทพมายา นางจะมีความมั่นใจมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการตามหามารดา การไขปริศนามากมายร่วมกันกับซิว หรือว่าการตามหาหานโม่ฉือ ทุกอย่างจะง่ายขึ้นมาก
.