ภายในจวนเจ้าเมืองแห่งเมืองเพลิงมายา ทุกคนนั่งนิ่งและตั้งตารอคำอธิบายของฉินอวี้โม่อย่างใจจดใจจ่อ
ฉินอวี้โม่ยิ้มอ่อนและกล่าวอย่างช้าๆ
“เมื่อมาคิดดูแล้ว การบังคับให้ทุกขุมกำลังรวมเข้ากับสามขุมกำลังใหญ่คงจะยุ่งยากไม่น้อย ยิ่งไปกว่านั้นมันก็จะล่าช้าซึ่งไม่ใช่วิธีการที่ดีเลย เพราะฉะนั้นความคิดของข้าคือการรักษาขุมกำลังต่างๆไว้ตามเดิม พวกท่านจะรับผิดชอบดูแลกิจการทั่วไปของขุมกำลังตนเองตามเดิม และนอกเหนือจากสามขุมกำลังใหญ่ เราจะจัดตั้งหน่วยองครักษ์ขึ้นมาซึ่งจะเป็นกองกำลังที่ทรงพลังที่สุดในเมืองเพลิงมายาของเรา”
เมื่อได้ยินความคิดของฉินอวี้โม่ ทุกคนก็หันมองหน้ากันทันที
ผู้นำขุมกำลังหนึ่งที่มีชื่อว่าเจียตุ้นซึ่งเป็นขุมกำลังที่เป็นรองเพียงสามขุมกำลังใหญ่ของเมืองเพลิงมายาได้กล่าวขึ้นเป็นคนแรก “ท่านเทพมายา หน่วยองครักษ์ที่ว่านี้ ท่านช่วยอธิบายเพิ่มเติมได้รึไม่?”
พวกเขาไม่เคยได้ยินคำว่า ‘หน่วยองครักษ์’ มาก่อน แน่นอนว่าพวกเขาไม่เข้าใจเกี่ยวกับมัน
“หน่วยองครักษ์เป็นกองกำลังที่ประกอบไปด้วยทหารฝีมือดีซึ่งจะคัดเลือกมาจากขุมกำลังต่างๆของเมืองเพลิงมายา หลังจากที่กลับไปในวันนี้ ท่านทุกคนสามารถคัดเลือกคนจากขุมกำลังของตนเองได้เลย สำหรับตอนนี้ให้ขุมกำลังเล็กทั้งหมดเลือกมาขุมกำลังละสิบคน ส่วนสามขุมกำลังใหญ่จะเลือกมาหนึ่งร้อยคนเพื่อรวมตัวเป็นกองกำลังใหม่ที่ข้ากล่าวถึง คนเหล่านี้ไม่จำเป็นต้องมีพลังที่แข็งแกร่งที่สุด ทว่าพวกเขาต้องมีพรสวรรค์ที่โดดเด่นและจงรักภักดีอย่างแท้จริง พวกเขาจะเป็นกองกำลังที่ทรงพลังที่สุดในเมืองเพลิงมายาของเรา ในภายภาคหน้า พวกเขาจะเหนือกว่าสามขุมกำลังใหญ่และอาจกลายเป็นกองกำลังอันดับหนึ่งของเมืองเพลิงมายา”
ความคิดนี้ของฉินอวี้โม่มีต้นแบบมาจากหน่วยรบพิเศษในยุคสมัยใหม่ที่ ‘เธอ’ จากมา เพื่อต่อสู้กับฉินเหยียน ฝ่ายของนางต้องมีกลุ่มกองกำลังชั้นยอด สมาชิกในกลุ่มดังกล่าวต้องมีความจงรักภักดีอย่างสมบูรณ์และมีพรสวรรค์ที่โดดเด่น ยิ่งไปกว่านั้นจำนวนของสมาชิกในกองกำลังนี้อาจมีไม่มากนัก ทว่าจะเน้นไปที่คุณภาพ
เมื่อได้ยินคำอธิบายของเทพมายาคนใหม่ ทุกคนก็พยักศีรษะและพอจะเข้าใจมากขึ้น
“ท่านเทพมายา หากเป็นเช่นนั้น ไม่ใช่ว่ามันจะไม่เป็นธรรมต่อคนอื่นๆหรอกรึ?”
พวกเขาจินตนาการได้ถึงความแข็งแกร่งของหน่วยองครักษ์และเข้าใจว่าคนเหล่านั้นน่าจะได้รับการฝึกฝนที่ดีกว่าและได้รับทรัพยากรที่มากกว่า ใครคนหนึ่งจึงอดเอ่ยถามออกมาไม่ได้
เขารู้สึกว่าในสถานการณ์เช่นนั้น ผู้อื่นที่ไม่ได้รับคัดเลือกเข้ากองกำลังคงจะผิดหวังซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อสภาวะจิตใจของพวกเขาและทำให้การฝึกยุทธ์ล่าช้าลง
“ฮ่าๆๆ โลกนี้ไม่มีความยุติธรรมที่แท้จริงหรอก สุดท้ายแล้วไม่ว่าจะยุติธรรมหรือไม่นั้น มันก็ขึ้นอยู่กับการตัดสินของผู้ที่แข็งแกร่งเท่านั้น”
ฉินอวี้โม่ยิ้มมุมปากและกล่าวออกไป ทว่านั่นเป็นประโยคที่ทำให้ทุกคนตาสว่างขึ้นมา
สิ่งที่ฉินอวี้โม่กล่าวมานั้นถูกต้องแล้ว บ่อยครั้งที่ความยุติธรรมเป็นสิ่งที่ถูกตัดสินโดยผู้ที่แข็งแกร่ง ผู้อ่อนแอทำได้เพียงแค่รู้สึกว่าตนเองไม่ได้รับความเป็นธรรมเท่านั้น ทว่าไม่อาจทำอะไรได้เลย
“อย่างไรก็ตาม ข้าก็คิดอีกวิธีมาเช่นกัน หากต้องการความยุติธรรม พวกท่านก็ต้องพยายามฝ่าฟันพัฒนาตนเองเพื่อเป็นผู้ที่แข็งแกร่งให้ได้ ตราบใดที่ผู้คนในขุมกำลังต่างๆทำผลงานได้อย่างโดดเด่นหรือมีส่วนร่วมเป็นพิเศษใดๆ คนเหล่านั้นก็จะได้เข้าร่วมเป็นสมาชิกของหน่วยองครักษ์ ส่วนผู้ที่อยู่ในหน่วยองครักษ์ก็จะหลงลำพองไปไม่ได้ หลังจากนี้ ข้าจะหารือกับผู้นำทั้งหลายและเจ้าเมืองเลี่ยหยาง เราจะมีภารกิจและบททดสอบเป็นประจำ หากพวกเขาไม่ผ่านการทดสอบนี้ พวกเขาก็จะถูกลงโทษโดยการถูกส่งกลับไปยังขุมกำลังเดิมของตนเอง”
เมื่อเห็นทุกคนที่เริ่มหมดกำลังใจ ฉินอวี้โม่ก็ยิ้มและกล่าวต่อ
ในโลกนี้ไร้ซึ่งความยุติธรรมอย่างแท้จริง หากต้องการได้รับความเป็นธรรม ทุกคนก็ทำได้เพียงทุ่มเทพัฒนาให้ตนเองแข็งแกร่งขึ้น ส่วนผู้ที่อ่อนแอย่อมไม่มีสิทธิ์มีเสียงที่จะเรียกร้องสิ่งใด!
หลายคนที่ยังงุนงงก่อนหน้านี้ หลังจากได้ยินคำอธิบายเพิ่มเติมของฉินอวี้โม่ พวกเขาก็มองหน้ากันและเข้าใจชัดเจนขึ้นทันที
วิธีการเช่นนั้นจะทำให้ขุมกำลังใหญ่ๆของเมืองเพลิงมายาไม่มีความขัดแย้งอีกต่อไปและเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน หลักการเดียวกันนั้นสามารถทำให้ทุกคนทุ่มเทฝึกฝนตนเองและปรารถนาที่จะแข็งแกร่งมากขึ้น
ต้องกล่าวเลยว่านี่เป็นวิธีการที่ดีมาก
เมื่อเห็นว่าทุกคนเริ่มเข้าใจแล้ว ฉินอวี้โม่ก็ยิ้มและกล่าวต่อ “หลังจากทุกคนกลับไป พวกท่านควรจัดตั้งระบบรางวัลและบทลงโทษในขุมกำลังของตนเอง การทำเช่นนี้จะเป็นแรงจูงใจให้ทุกคนมุ่งมั่นและขยันขันแข็งมากขึ้นแทนที่จะเหยาะแหยะไปวันๆ ข้าจะจัดหาอสูรมายาแข็งแกร่งและอุปกรณ์อาวุธระดับสูงที่ข้าหลอมขึ้นเองเพื่อให้ทุกท่านใช้เป็นรางวัลสูงสุดในขุมกำลัง..
นอกจากนี้ เราจะจัดการแข่งขันหรือกิจกรรมการรวมตัวสำหรับทุกคนจากทุกขุมกำลังในเมืองเพลิงมายา จากนั้นจะมีการจัดตั้งรางวัลซึ่งผู้ที่เข้าร่วมจะได้แสดงความสามารถที่แท้จริงของพวกเขา เมื่อเกิดกิจกรรมเช่นนี้หลายๆครั้ง ข้าเชื่อว่าทุกคนจะคุ้นชินกับมันและเมืองเพลิงมายาของเราจะปรองดองเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันมากขึ้น”
เมื่อได้ยินเช่นนั้น ทุกคนก็พยักศีรษะอย่างพร้อมเพรียง พวกเขารู้สึกถูกใจและเห็นด้วยกับวิธีการนี้มากขึ้นเรื่อยๆ และเชื่อว่าการติดตามฉินอวี้โม่เป็นความคิดที่ถูกต้องอย่างแท้จริง
“เอาล่ะ เช่นนั้นเราก็ควรที่จะเริ่มดำเนินการกันทันทีที่กลับไป ข้าเชื่อว่าตราบใดที่เราเชื่อฟังและทำตามคำพูดของท่านเทพมายา สักวันเมืองเพลิงมายาของเราจะกลายเป็นขุมกำลังที่ทรงพลังที่สุดในโลกมายาอย่างแน่นอน”
จูเฟยชวี่ยืนขึ้นและกล่าวด้วยน้ำเสียงมุ่งมั่นและคาดหวังอย่างเต็มเปี่ยม เขาเชื่อและตั้งตารอที่จะเห็นฉินอวี้โม่นำพาพวกเขาไปสู่จุดสูงสุดของโลกมายา
“ศัตรูของเราคือฉินเหยียนและผู้ติดตามทุกคนของนาง ความแข็งแกร่งของคนเหล่านั้น ต่อให้จะไม่พูดออกมา ข้าเชื่อว่าทุกคนก็คงจะทราบกันดีอยู่แล้ว เพื่อให้เราดำเนินชีวิตต่อไปและฟื้นฟูโลกมายากลับสู่ความรุ่งเรืองเดิมรวมถึงกำจัดคนชั่วช้าออกไป เราต้องร่วมมือกันเพื่อพัฒนาตนเองให้แข็งแกร่งขึ้น ด้วยพรสวรรค์ ความแข็งแกร่งและความสามารถของท่านเทพมายา พวกเราสามารถเชื่อมั่นได้ว่าการติดตามท่านเทพมายาต่อไปจะทำให้เราคว้าชัยชนะในท้ายที่สุดได้อย่างแน่นอน!”
ซูวั่งชวนยืนขึ้นและกล่าวเสริมเช่นกัน ในเมื่อมีเทพมายาผู้แข็งแกร่งและมากพรสวรรค์เช่นนี้ เขาเชื่อว่าโลกมายาจะกลับคืนสู่จุดเดิมในอดีตได้ในสักวัน เขาเชื่ออีกด้วยว่าภายใต้การปกครองของฉินอวี้โม่ โลกมายาจะพัฒนาดีขึ้นยิ่งกว่าเดิมเสียอีก!
ทุกคนยืนขึ้นและเห็นด้วยกับวาจาของซูวั่งชวน พวกเขาทั้งหมดต่างก็ตั้งหน้าตั้งตารออย่างมีความหวัง
ตลอดหลายปีที่ผ่านมานี้ ถึงแม้จะดูเหมือนว่าทุกอย่างราบรื่นดี ทว่าฉินส่าวชิงและฉินเหยียนก็พยายามใช้อำนาจในการกดขี่ข่มเหงในทุกหนแห่งซึ่งทำให้สิ่งต่างๆดำเนินไปได้ยาก
ในสมัยที่ผู้คนในโลกมายายังคงเชื่อมั่นในตัวของเทพมายานั้น มันแข็งแกร่งยิ่งกว่าตอนนี้ถึงหลายเท่าตัวนัก หากไม่ใช่เป็นเพราะการยับยั้งและการควบคุมของฉินเหยียนและพวก โลกมายาก็คงจะไม่ตกต่ำและอ่อนแออย่างในทุกวันนี้
บัดนี้ในเมื่อเทพมายาปรากฏกายอย่างกะทันหัน อีกทั้งพรสวรรค์ ความแข็งแกร่งและเสน่ห์ของนางก็เพียงพอที่จะทำให้ผู้คนเชื่อมั่นในตัวนางได้นั้น พวกเขาตั้งตารอวันที่ฉินอวี้โม่จะนำพาทุกคนขับไล่ฉินเหยียนออกไปจากโลกมายาแห่งนี้
เมื่อเห็นความมุ่งมั่นและความปรารถนาอันแรงกล้าที่ฉายชัดในแววตาของทุกคน ฉินอวี้โม่ก็พยักศีรษะด้วยความพึงพอใจ เมืองเพลิงมายาจะกลายเป็นฐานทัพของนางในโลกมายาแห่งนี้และอีกไม่นานนางก็จะนำทุกคนไปขับไล่ฉินเหยียนและพวกให้ออกไปจากที่นี่
หลังจากหารือกันในห้องโถงก็ได้ข้อสรุปว่าซูวั่งชวนจะรับหน้าที่ควบคุมดูแลหน่วยองครักษ์ในอนาคต หลังจากนั้นทุกคนก็แยกย้ายกันกลับไปเพื่อเริ่มเตรียมความพร้อมในส่วนของตนเอง
ตอนนี้เหลือเวลาอีกครึ่งปีเท่านั้นก่อนที่ซากปรักหักพังจะปรากฏ พวกเขาต้องการจัดตั้งหน่วยองครักษ์ให้เป็นรูปเป็นร่างก่อนถึงวันนั้นเพื่อที่กองกำลังใหม่นี้จะได้มีบทบาทสำคัญในการออกสำรวจซากปรักหักพัง
ซูวั่งชวนและซูชิงกลับไปที่ชนเผ่าเมฆาครามพร้อมคณะเช่นกันและครานี้ซูน่าไม่ได้อยู่กับฉินอวี้โม่อีก มีเพียงป้าหลานที่เป็นกังวลไม่น้อย เพราะครรภ์ของฉินอวี้โม่โตขึ้นเรื่อยๆในแต่ละวันที่ผ่านไปและในจวนเจ้าเมืองก็ไม่มีสตรีคนอื่นๆอีก เพราะเหตุนั้นนางจึงอยู่ต่อเพื่อดูแลฉินอวี้โม่ด้วยตัวเอง
“ผู้นำเลี่ยหยาง หลายวันที่ผ่านมานี้คงจะยุ่งยากสำหรับท่านมาก”
หลังจากทุกคนแยกย้ายกันกลับไป เลี่ยหยางก็เชิญฉินอวี้โม่ไปที่ห้องหนังสือเพื่อบอกข้อมูลทุกอย่างที่ได้มาให้ฉินอวี้โม่ได้ทราบ
“ในตอนแรก ท่านเทพมายาไว้ชีวิตข้าและเชื่อใจข้ายิ่งนักโดยไม่สนใจเรื่องที่ผ่านมา ข้าจึงรู้สึกดีขึ้นเมื่อได้ทุ่มเทเป็นการตอบแทน”
เลี่ยหยางตอบกลับพร้อมรอยยิ้มจริงใจ ตอนนี้เขายอมจำนนต่อฉินอวี้โม่อย่างแท้จริงแล้ว
ก่อนหน้านี้เขามีความสัมพันธ์อันดีกับฉินส่าวชิง ทว่าเขาทราบดีว่าเจ้าเมืองฉินมองเขาเป็นเพียงหมากตัวหนึ่งเท่านั้น บัดนี้เมื่อได้เป็นลูกน้องของฉินอวี้โม่ เขาก็สัมผัสได้ถึงความเคารพและความงดงามของการไว้วางใจกันระหว่างพันธมิตร เพราะเหตุนั้นเขาจึงเคารพฉินอวี้โม่จากก้นบึ้งของหัวใจและหวังว่าจะช่วยนางอย่างเต็มที่ที่สุดเท่าที่สามารถทำได้
“เจ้าเมืองเลี่ยหยาง เมื่ออยู่กันเพียงลำพัง ท่านเรียกข้าว่าอวี้โม่ก็พอ ไม่ต้องพิธีรีตองใดๆ หรอก ถึงอย่างไรท่านก็อาวุโสกว่าข้าและผ่านชีวิตมามากมายกว่าข้า”
ฉินอวี้โม่ยกยิ้มมุมปากและกล่าวเพื่อไม่ให้เลี่ยหยางเป็นทางการมากเกินไป
นับตั้งแต่ตั้งครรภ์ ฉินอวี้โม่ก็อ่อนโยนลงมากโดยไม่รู้ตัว แม้ว่าลักษณะนิสัยเฉยเมยและแรงกดดันมากมายยังคงอยู่ ทว่าโดยรวมแล้วลักษณะนิสัยของนางก็อ่อนลงกว่าเดิมมากและค่อยๆดีขึ้นเรื่อยๆ
หลังจากได้ใช้เวลากับฉินอวี้โม่มาพักใหญ่ เลี่ยหยางก็เริ่มเข้าใจว่านางเป็นคนอย่างไร เพราะเหตุนั้น ไม่ว่าฉินอวี้โม่จะเอ่ยปากกล่าวสิ่งใด เขาก็ไม่คัดค้านแม้แต่น้อย เขาหยิบซองบางอย่างจากในแหวนมิติและยื่นให้ฉินอวี้โม่ก่อนนั่งลงตรงข้ามกัน
“อวี้โม่ ทั้งหมดนี้คือข้อมูลที่ข้ารวบรวมมาได้เกี่ยวกับเมืองมายารวมถึงเบาะแสเกี่ยวกับหอคอยในเมืองมายาที่กลายเป็นสถานที่ต้องห้าม หากท่านลองอ่านดู มันน่าจะมีบางอย่างที่สามารถใช้ประโยชน์ได้”
ฉินอวี้โม่รับซองจดหมายนั้นมาและเปิดดูอย่างคร่าวๆก่อนพยักศีรษะ
“เมืองมายานี่ไม่ธรรมดาเลยจริงๆ ข้าคิดว่าฉินเหยียนเป็นคนเดียวที่มีพลังแข็งแกร่ง ไม่คิดเลยว่านอกจากนางแล้วยังมีจอมยุทธ์ขอบเขตเซียนอย่างน้อยนับร้อยคน อีกทั้งมีหลายสิบคนที่เหนือกว่าขอบเขตเซียนขั้นเจ็ด เห็นทีว่าเราต้องเคลื่อนไหวให้เงียบขึ้นกว่าเดิมเสียแล้ว”
ข่าวที่ทุกคนทราบเหมือนกันก่อนหน้านี้คือเมืองมายามีจอมยุทธ์ผู้แข็งแกร่งจำนวนไม่มากนัก นอกเหนือจากฉินเหยียนที่มีพลังอันน่าสะพรึงกลัว คนอื่นๆล้วนมีความแข็งแกร่งที่พอจะรับมือได้ไม่ยาก
อย่างไรก็ตาม จากข้อมูลที่เลี่ยหยางมีในตอนนี้ ข่าวเหล่านั้นถือว่าผิดถนัด
นับตั้งแต่มาที่นี่ ฉินเหยียนเชื่ออยู่แล้วว่าวันหนึ่งเทพมายาคนใหม่จะปรากฏตัวขึ้น เพราะเหตุนั้นนางจึงจงใจปิดบังความแข็งแกร่งที่แท้จริงของตนเองและปล่อยข้อมูลปลอมๆเพื่อทำให้ทุกคนสับสน
“ใช่แล้ว หากไม่ใช่เพราะข้าปลอมตัวเป็นฉินส่าวชิง ข้าก็คงไม่รู้เรื่องเหล่านี้ ยิ่งไปกว่านั้น ข้าสืบทราบเรื่องที่ไม่น่าอภิรมย์นัก ฉินเหยียนผู้นั้นอาจทะลวงพลังไปถึงขอบเขตพสุธาเซียนแล้ว หากต้องประจันหน้ากับนาง ต่อให้เราหลายขุมกำลังร่วมมือกันก็อาจสู้นางไม่ได้”
เมื่อนึกถึงเรื่องนี้ เลี่ยหยางก็ขมวดคิ้วมุ่นและแจ้งข่าวเรื่องสำคัญที่สุดให้ฉินอวี้โม่ได้ทราบ
เมื่อฟังคำบอกเล่าของเลี่ยหยาง ฉินอวี้โม่ก็ชะงักค้างไปชั่วขณะ เดิมทีหากฉินเหยียนมีพลังในขอบเขตเซียนขั้นเก้า นางก็ไม่จำเป็นต้องหวาดกลัวใดๆ ทว่าหากฉินเหยียนบรรลุไปถึงขอบเขตพสุธาเซียนแล้วจริง พลังในระดับนั้นถือว่าน่าสะพรึงกลัวอย่างที่สุด หากต้องเผชิญหน้ากับจอมยุทธ์ขอบเขตพสุธาเซียน ด้วยความแข็งแกร่งของตัวนางในตอนนี้ ฉินอวี้โม่ก็ไม่มีพลังที่จะตอบโต้ได้เลย
เห็นทีเส้นทางไปสู่เมืองมายาเพื่อปลดผนึกที่สองของนางจะยังห่างไกลอีกมาก!
.