ภายในเวลาอันรวดเร็วราวกับชั่วพริบตา อีกหนึ่งเดือนก็ผ่านไปแล้ว
บุตรทั้งสองของฉินอวี้โม่แข็งแรงดีและสมาชิกชนเผ่าเมฆาครามต่างกระตือรือร้นที่จะจัดงานเลี้ยงพิธีรับขวัญครบเดือน
* 满月宴 พิธีครบเดือนหม่านเย่ว์ ถือเป็นพิธีกรรมที่สำคัญที่สุดในบรรดาพิธีกรรมเกี่ยวกับการเกิด มีมาตั้งแต่สมัยราชวงศ์ถัง ประกอบไปด้วยการโกนผมไฟ การจัดเลี้ยงในหมู่ญาติสนิทมิตรสหาย และการตั้งชื่อให้เด็ก
ทารกน้อยทั้งสองเป็นที่รักและที่สนใจของทุกคนในชนเผ่าเมฆาคราม แม้แต่ฉินอวี้โม่ก็ได้ใช้เวลาอยู่กับบุตรเพียงสั้นๆเท่านั้นโดยในช่วงเวลาอื่นๆทารกทั้งสองจะได้รับการดูแลโดยซูน่า ป้าหลานและคนอื่นๆ
ฉินอวี้โม่ตั้งชื่อเรียกให้กับทารกทั้งสองเป็นการชั่วคราวโดยเรียกแฝดหญิงว่าเซี่ยวเซี่ยวและแฝดชายว่าเล่อเล่อ สำหรับชื่อที่แท้จริง ฉินอวี้โม่หวังว่าจะให้หานโม่ฉือเป็นคนตั้งเมื่อได้พบกัน
ทารกน้อยทั้งสองเป็นเด็กดีและเลี้ยงง่ายอย่างยิ่ง พวกเขาฉลาดมีไหวพริบ ชอบหัวเราะและแทบจะไม่ร้องไห้งอแงซึ่งทำให้ฉินอวี้โม่สบายใจมาก
ภายในกระโจมที่พักของฉินอวี้โม่ ในเวลานี้ ซูน่าและป้าหลานกำลังนั่งอยู่ด้วยกันในขณะที่ฉินอวี้โม่กำลังศึกษาการถักเสื้อผ้าอย่างตั้งใจ
ทารกทั้งสองก่อกวนและเล่นสนุกเพียงพักหนึ่งจนเหนื่อยและผล็อยหลับในเปลที่ฉินอวี้โม่เตรียมไว้ให้โดยที่หลับไปอย่างเงียบสนิท
“โอ๊ย…”
เมื่อถูกเข็มตำอีกครั้ง ฉินอวี้โม่ก็ถึงกับส่ายศีรษะอย่างจนปัญญา ดูเหมือนว่างานประณีตอย่างการถักไหมพรมจะไม่เหมาะกับนางอย่างแท้จริง
“พรืดดด! ข้าก็นึกว่าอวี้โม่ผู้เก่งกาจมากความสามารถจะมีพรสวรรค์ในการทำทุกเรื่องเสียอีก ไม่คิดเลยว่าจะมาสะดุดกับการถักไหมพรมธรรมดาๆเช่นนี้”
เมื่อเห็นท่าทางของฉินอวี้โม่ ซูน่าก็อดหัวเราะพรืดและกล่าวหยอกล้อไม่ได้
“ข้าแทบจะไม่ต้องใช้สมาธิในการหลอมอาวุธอุปกรณ์ ทว่าการถักไหมพรมนี้เป็นเรื่องยากสำหรับข้าจริงๆ”
สีหน้าท่าทางของฉินอวี้โม่ไม่เปลี่ยนแปลงเพราะวาจาหยอกเย้าของซูน่า นางเพียงกล่าวออกไปโดยไม่หยุดการเคลื่อนไหวของตนเอง
แม้ว่าไม่มีพรสวรรค์ด้านนี้ นางก็ต้องการถักอาภรณ์ให้กับทารกน้อยทั้งสองด้วยตัวเอง
นางใช้เวลามากกว่าครึ่งเดือนและอาภรณ์สองชิ้นที่ดูไม่สวยงามนักก็ค่อยๆกลายเป็นรูปเป็นร่างซึ่งทำให้นางพึงพอใจอย่างที่สุด
“ฮ่าๆๆ ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของพวกเราดีกว่า ถึงอย่างไรพวกเราก็ไม่ได้มีอะไรทำมากนัก เรายินดีถักเสื้อผ้าให้กับเจ้าหนูทั้งสอง”
ป้าหลานยิ้มกว้าง หลายวันมานี้นางไม่มีเวลาว่างมากนัก นางง่วนอยู่กับการถักเสื้อผ้าให้กับทารกน้อยทั้งสองและถักไว้อีกหลายชุดสำหรับให้ทั้งสองสวมใส่เมื่ออายุครบสองถึงสามขวบ
แม้ว่าฉินอวี้โม่เคยบอกกับป้าหลานแล้วว่าไม่ต้องกังวลเรื่องเสื้อผ้าอาภรณ์ของทารกทั้งสอง อย่างไรก็ตาม ป้าหลานก็ยังคงดื้อรั้นและต้องการถักเสื้อผ้าให้กับเด็กน้อยด้วยตัวเอง
ในคำพูดของนางก็คือนางไม่อาจล่วงรู้ได้ว่าฉินอวี้โม่และทารกน้อยทั้งสองจะอยู่ที่นี่นานอีกเพียงใด แม้ว่าไม่มีความสัมพันธ์กันทางสายเลือด ฉินอวี้โม่ก็เป็นเหมือนคนในครอบครัวอย่างแท้จริง นางต้องการถักเสื้อผ้าให้กับเด็กทั้งสองเพิ่มมากขึ้น ด้วยวิธีนี้ หากวันหนึ่งไม่ได้อยู่ด้วยกันอีก นางก็จะได้คลายใจ
ฉินอวี้โม่ซาบซึ้งใจอย่างยิ่งกับการกระทำของป้าหลาน อย่างไรก็ตาม นางทำได้เพียงให้คำมั่นว่าในอนาคตหากนางไปจากที่นี่ นางจะต้องพาบุตรทั้งสองกลับมาทักทายในภายหลังอย่างแน่นอน เพราะถึงอย่างไรฉินอวี้โม่ก็ต้องไปจากโลกมายาแห่งนี้ในไม่ช้าก็เร็ว ไม่มีทางที่นางจะอยู่ที่นี่ตลอดไปได้
“พี่อวี้โม่ ท่านลุงและท่านตาเรียกให้ท่านไปหาที่กระโจมของพวกเขาโดยกล่าวไว้ว่ามีบางคนมาเยี่ยมท่าน”
ทันใดนั้น อาอู่ก็วิ่งพรวดเข้ามาและกล่าวพร้อมรอยยิ้ม
ทุกวันนี้ไม่มีความผิดปกติใดในชนเผ่าเพลิงคำราม อาอู่จึงมอบอำนาจให้กับผู้อาวุโสที่ไว้วางใจได้หลายคน เพราะเหตุนั้นเขาจึงมีเวลาว่างและเป็นอิสระอยู่ในชนเผ่าเมฆาครามได้ตลอดเวลา
เมื่อได้ยินว่ามีใครบางคนมาเยี่ยมเยียนตนเอง ฉินอวี้โม่ก็ตกใจเล็กน้อย นางไม่รู้จักผู้ใดในดินแดนนี้ด้วยซ้ำ
“ไปเถอะ พวกเราจะดูแลที่นี่ให้เอง”
ป้าหลานยิ้มและบอกให้ฉินอวี้โม่ออกไปพบแขก ส่วนทารกน้อยทั้งสองนั้น นางจะดูแลเป็นอย่างดี ฉินอวี้โม่ไม่จำเป็นต้องกังวลเลยสักนิด
เมื่อมาถึงกระโจมที่เป็นดั่งศูนย์ประชุมหลักของชนเผ่า ฉินอวี้โม่ก็ได้ยินเสียงเบาๆที่ฟังดูคุ้นหูพอสมควร
เมื่อเดินเข้าไป นางก็เห็นว่าซูวั่งชวนกำลังนั่งอยู่บนที่นั่งหลักและอีกฝ่ายคือคนที่ฉินอวี้โม่คุ้นหน้าคุ้นตาเป็นอย่างดี
“เจ้าเมืองฉินเฟิง ลมอะไรหอบท่านมาถึงที่นี่ได้?”
เมื่อเห็นคนผู้นั้น ฉินอวี้โม่ก็ยิ้มออกมาเล็กน้อย ก่อนหน้านี้ตอนที่ได้พบกัน นางก็รู้สึกถูกชะตากับเจ้าเมืองวารีมายาผู้นี้เป็นอย่างมาก
แม้ไม่ทราบว่าในอนาคตจะต้องเป็นศัตรูกันหรือไม่ อย่างน้อยที่สุดในตอนนี้ทุกคนก็สามารถนั่งลงพูดคุยกันได้อย่างสบายใจ
“ฮ่าๆๆ ฉินหวยและคณะไปที่เมืองวารีมายาเมื่อไม่กี่วันก่อน ข้าได้ยินพวกเขากล่าวบางอย่างเกี่ยวกับสหายน้อยอวี้โม่ และหากนับวันเวลา สหายน้อยอวี้โม่ก็น่าจะให้กำเนิดบุตรแล้ว ข้าจึงมาที่นี่เพื่อแสดงความยินดีด้วยตัวเอง”
ฉินเฟิงกล่าวพร้อมรอยยิ้มและไม่ปิดบังจุดประสงค์ของตน
เมื่อไม่กี่วันก่อน ฉินหวยและคณะของเขาเดินทางไปที่เมืองวารีมายาและสนทนาถึงเรื่องที่เกิดขึ้นในเมืองเพลิงมายา เมื่อทราบว่าฉินอวี้โม่ท้องแก่และใกล้คลอดแล้ว ไม่ทราบเช่นกันว่าเพราะเหตุใดฉินเฟิงจึงตัดสินใจทันทีว่าจะต้องเดินทางมาที่นี่ให้ได้ เขารู้สึกมาตลอดว่ากลิ่นอายของสตรีจอมยุทธ์ผู้นี้ทำให้เขาคุ้นเคยอย่างที่ไม่ทราบสาเหตุ
ยิ่งไปกว่านั้น แม้ว่าเป็นความรู้สึกคุ้นเคยฝ่ายเดียว เขาก็รู้สึกถูกชะตากับฉินอวี้โม่มาก เมื่อไม่มีเรื่องเร่งด่วนหรือเรื่องสำคัญในเมืองวารีมายา เขาจึงเดินทางมาที่เมืองเพลิงมายาด้วยตัวเอง
“ฮ่าๆๆ ขอขอบคุณท่านเจ้าเมืองฉินเฟิง”
เมื่อได้ยินวาจาจริงใจของอีกฝ่าย ฉินอวี้โม่ก็ไม่มีความสงสัยใดๆ สำหรับฉินเฟิงผู้นี้ นางเองก็รู้สึกคุ้นเคยอย่างอธิบายไม่ได้เช่นกันและรู้สึกถูกชะตากับเขาพอสมควร
“ฮ่าๆๆ ไม่ทราบว่าสะดวกรึไม่หากข้าอยากจะพบเจ้าตัวน้อยทั้งสอง ข้าได้ยินจากผู้อาวุโสซูว่าสหายน้อยอวี้โม่ให้กำเนิดแฝดชายหญิง ข้าจึงอยากพบทั้งสองยิ่งนัก”
ฉินเฟิงกล่าวคำขอของตนเองพร้อมรอยยิ้ม
“ข้าต้องขออภัยด้วย ตอนนี้เจ้าหนูทั้งสองกำลังหลับอยู่ เมื่อตื่นแล้วข้าจะบอกให้ซูน่าอุ้มพวกเขาออกมา”
ฉินอวี้โม่ไม่ปฏิเสธ เพียงแต่ทารกน้อยทั้งสองเพิ่งผล็อยหลับไป นางจึงขอให้ฉินเฟิงรอสักระยะหนึ่ง
“ฮ่าๆๆ เจ้าเมืองฉินเฟิง อีกไม่นานซากปรักหักพังของผู้ใช้ข่ายอาคมจะปรากฏขึ้นแล้ว ไม่ทราบว่าเมืองวารีมายาของท่านจะส่งคนไปรึไม่?”
ซูวั่งชวนเอ่ยถามเมื่อนึกถึงประเด็นกล่าว
เมื่อได้ยินวาจาของซูวั่งชวน ฉินเฟิงก็ยิ้มเล็กน้อยและกล่าวตอบ “ผู้อาวุโสซู พวกเราเมืองวารีมายาไม่เคยชื่นชอบการเข้าร่วมกิจกรรมเช่นนั้น ทว่าข้าก็ไม่บังคับใคร หากมีผู้ใดในเมืองที่ต้องการเข้าร่วมการสำรวจด้วยตัวเอง ข้าก็จะไม่ห้ามพวกเขา เพียงแต่พวกเราในนามเมืองวารีมายาจะไม่เข้าร่วมก็เท่านั้น”
ฉินเฟิงไม่ปิดบังข้อมูลจากซูวั่งชวนและฉินอวี้โม่ เขากล่าวแผนการของตนเองออกไปตามตรง
“แล้วผู้อาวุโสซูและสหายน้อยอวี้โม่ล่ะ ท่านทั้งสองจะไปเข้าร่วมด้วยรึไม่?”
หลังจากกล่าวจบ เขาก็มองฉินอวี้โม่ผู้ที่นั่งอยู่ตรงข้ามและซูวั่งชวนที่นั่งอยู่ที่บัลลังก์หลักพร้อมรอยยิ้ม
“ฮ่าๆๆ พวกเราสงสัยใคร่รู้เกี่ยวกับซากปรักหักพังนั่นมาก หากไม่มีข้อผิดพลาดใดๆ พวกเราจะต้องไปที่นั่นให้ได้”
ซูวั่งชวนกล่าวพร้อมยิ้มกว้าง เขาไม่มีความคิดที่จะปิดบังเรื่องนี้จากฉินเฟิง
ฉินเฟิงเป็นสุภาพบุรุษที่คู่ควรแก่การนับถือ หากมันเป็นเรื่องที่มิใช่ความลับ เขาก็ไม่จำเป็นต้องปิดบัง
“ยังไงพวกท่านก็ต้องระวังตัวด้วยล่ะ สหายน้อยอวี้โม่และผู้อาวุโสซู ซากปรักหักพังของผู้ใช้ข่ายอาคมนั่นไม่ได้ธรรมดาเลย มันจะต้องเต็มไปด้วยอันตรายรอบด้าน ตอนนี้สหายน้อยอวี้โม่ก็มีเจ้าตัวน้อยถึงสองคนแล้ว พวกท่านจะต้องระวังตัวให้มากยิ่งขึ้น”
ฉินเฟิงกล่าวเตือนให้ทั้งซูวั่งชวนและฉินอวี้โม่ระวังตัวมากขึ้น
ฉินอวี้โม่รับรู้ได้ถึงความหมายอื่นที่ซ่อนอยู่ในวาจาของฉินเฟิง ดูเหมือนว่าฉินเฟิงผู้นี้จะไม่ต้องการให้นางและผู้อาวุโสซูรวมถึงคณะไปที่ซากปรักหักพังนั่น
“ขอบคุณสำหรับคำเตือน เจ้าเมืองฉินเฟิง ข้าจะระวังตัวให้มากขึ้น”
ฉินอวี้โม่ยิ้มตอบ แม้ว่ายังงุนงงไม่น้อย นางก็ไม่เอ่ยถามให้มากความ ถึงอย่างไรนางและคนอื่นๆก็ต้องไปที่ซากปรักหักพังดังกล่าว พวกนางต้องหาทางติดต่อกับหัวหน้ากองทหารหงเฟิงให้ได้ การร่วมมือกับเขาจะช่วยในการเอาชนะฉินเหยียนและพวกได้
“ข้าจะไปดูสักหน่อยว่าเจ้าหนูทั้งสองตื่นรึยัง เจ้าเมืองฉินเฟิงนั่งรอก่อนเถิด”
ฉินอวี้โม่ยืนขึ้นและกล่าวก่อนเดินออกไป
ทันทีที่ก้าวออกมาได้ระยะหนึ่ง มารยาก็ปรากฏกายข้างนางอย่างกะทันหัน
“นายหญิง ดูเหมือนว่าฉินเฟิงนั่นจะไม่อยากให้ท่านไปที่ซากปรักหักพัง หรือว่าเขาจะรู้อะไรบางอย่างมา?!”
มารยาขมวดคิ้วและกล่าวกับฉินอวี้โม่ด้วยน้ำเสียงสงสัย
“ก็เป็นไปได้ แต่เราก็ยังต้องไปที่ซากปรักหักพังนั่นอยู่ดี ต่อให้ฉินเฟิงไม่อยากให้เราไป เราก็ต้องไป หากเขาอยากบอกอะไร เขาก็คงบอกเราเอง ทว่าหากไม่อยากบอก ต่อให้เอ่ยถามไปก็ไม่มีประโยชน์อันใด เราเพียงต้องเตรียมความพร้อมให้มากขึ้น หากเกิดอะไรขึ้นจริง เราจะได้ปกป้องคุ้มกันตนเองได้”
ฉินอวี้โม่กล่าวด้วยน้ำเสียงราบเรียบและไม่มีความลังเลใดๆเพราะวาจาของฉินเฟิง
ในขณะที่ทั้งสองพูดคุยกัน ฉินอวี้โม่ก็มาถึงกระโจมตีที่พักของตนเองและบุตรทั้งสองตื่นแล้ว ตอนนี้พวกเขาอยู่ในอ้อมแขนของป้าหลานและสวี่ซิ่วขณะยิ้มอย่างมีความสุข
“อวี้โม่ ใครมาเยี่ยมเจ้ารึ?”
เมื่อฉินอวี้โม่เดินเข้ามา ป้าหลานก็ยิ้มพลางอุ้มทารกน้อยเดินเข้ามาใกล้และเอ่ยถาม
ฉินอวี้โม่ยิ้มและรับเซี่ยวเซี่ยวจากป้าหลานก่อนจุมพิตเบาๆให้ชื่นใจ
“ท่านฉินเฟิง..เจ้าเมืองวารีมายา”
นางเอ่ยตอบพร้อมรอยยิ้มขณะรับเล่อเล่อจากสวี่ซิ่วและจุมพิตบุตรชายเช่นกัน
เซี่ยวเซี่ยวลืมตาดูโลกก่อนเล่อเล่อเพียงครู่หนึ่ง เพราะฉะนั้นนางจึงเป็นพี่สาวและเล่อเล่อเป็นน้องชาย
เมื่อได้รับจูบน้อยๆจากมารดา บุตรตัวน้อยทั้งสองก็ยิ้มกว้างด้วยความชอบใจ
“เจ้าเมืองวารีมายางั้นรึ? เขามาที่นี่เพื่ออะไร?”
เมื่อได้ยินว่าผู้ที่มาเยี่ยมฉินอวี้โม่คือฉินเฟิง ป้าหลานและสวี่ซิ่วก็มองหน้ากันและเอ่ยถามด้วยความสงสัย
ฉินอวี้โม่กล่าวเพียงคร่าวๆเกี่ยวกับสิ่งที่ฉินเฟิงกล่าวก่อนหน้าหน้านี้ ทว่าทั้งสองก็ขมวดคิ้วมุ่นยิ่งกว่าเดิม
พวกนางไม่เข้าใจเลยว่าฉินเฟิงมีความหมายใดซ่อนอยู่
“พวกเราจะออกไปกับเจ้า”
ด้วยความกังวล ป้าหลานและสวี่ซิ่วจึงต้องการออกไปกับฉินอวี้โม่เพื่อสังเกตดูสถานการณ์ด้วยตัวเอง
ฉินอวี้โม่ไม่ปฏิเสธและอุ้มบุตรน้อยทั้งสองมุ่งหน้ากลับไปพร้อมกับป้าหลานและสวี่ซิ่ว
เมื่อฉินเฟิงเห็นฉินอวี้โม่เดินกลับมาพร้อมบุตรตัวน้อยในอ้อมแขนทั้งสอง เขาก็ลุกขึ้นยืนพร้อมรอยยิ้มกว้างทันที
ซูวั่งชวนและซูชิงก็เองยืนขึ้นเช่นกัน พวกเขาสบตากันอย่างรู้ทันเพื่อเตรียมพร้อมรับมือกับทุกสถานการณ์
“ฮ่าๆๆ หนูน้อยน่ารักน่าชังทั้งสอง”
ฉินเฟิงเดินเข้าไปใกล้ฉินอวี้โม่และมองทารกตัวน้อยพร้อมรอยยิ้มกว้างประดับบนใบหน้าของตนเอง
“สหายน้อยอวี้โม่ ข้าขออุ้มเด็กน้อยทั้งสองได้รึไม่?”
เจ้าเมืองวารีมายามองฉินอวี้โม่และเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงเกรงใจเล็กน้อย
“ได้สิ ไม่มีปัญหา”
ฉินอวี้โม่ยิ้มตอบและไม่ปฏิเสธ นางไม่ได้รู้สึกถึงความมุ่งร้ายใดๆจากฉินเฟิง เพราะเหตุนั้นนางจึงวางใจ
ฉินเฟิงรับทารกน้อยทั้งสองไปอย่างระมัดระวัง รอยยิ้มกว้างประดับบนใบหน้าของเขาบ่งบอกถึงความสุขอย่างยิ่ง
“เอาล่ะ นี่คือของขวัญที่ข้าเตรียมไว้ให้ท่าน”
หลังจากอุ้มทารกน้อยพักใหญ่ เขาก็ส่งทารกทั้งสองคืนให้กับฉินอวี้โม่ก่อนหยิบของสองสิ่งออกมาจากแหวนมิติและยิ้มออกมา
.