‘ภูเขาอเวจี’ ตั้งอยู่ในป่าแห่งความสับสนทางตะวันตกเฉียงเหนือของโลกมายาและถือเป็นภูเขาที่ลึกลับที่สุดในดินแดนแห่งนี้ กล่าวกันว่าที่ทั่วบริเวณมีอสูรมายาระดับสูงจำนวนมากและมีอสูรเซียนขั้นสูงจำนวนมากเช่นกันซึ่งเป็นสิ่งที่บั่นทอนกำลังใจของจอมยุทธ์มากมาย
แม้ว่าภูเขาอเวจีและป่าแห่งความสับสนจะอุดมสมบูรณ์ไปด้วยวัตถุหายาก ทว่าก็มีคนเพียงน้อยนิดเท่านั้นที่จะเดินทางเข้ามาที่นี่
นั่นเป็นเพราะเมื่อเหยียบย่างเข้าในป่าแห่งความสับสนผืนนี้ จอมยุทธ์จะต้องเผชิญกับภยันตรายที่ร้ายแรง หากไม่มั่นใจอย่างเต็มเปี่ยมก็ไม่มีผู้ใดที่อยากเอาชีวิตมาทิ้งไว้ที่นี่
ฉินอวี้โม่คนอื่นๆใช้เวลารวมเจ็ดวันก่อนปรากฏตัวที่บริเวณรอบนอกของป่าแห่งความสับสน เมื่อมองไปยังยอดเขาสูงตระหง่านและมืดหม่น ไม่มีผู้ใดที่กล้าประมาทแม้แต่คนเดียว
ระหว่างทางที่ผ่านมา ฉินอวี้โม่และคณะไม่พบอสูรมายาหรือภยันตรายใดๆ ถึงกระนั้นก็ไม่มีผู้ใดคลายกังวลแม้แต่คนเดียว ทุกคนทราบดีว่าหนทางเดียวในการไปถึงภูเขาอเวจีคือการเดินทางผ่านป่าแห่งความสับสนนี้
“เดินเข้าไปกันเถอะ ว่ากันว่าในป่าแห่งความสับสนมีอสูรบินทรงพลังไม่น้อย หากเราเข้าไปด้วยวิธีเดิมมันอาจดึงดูดอันตรายเข้าหาตัว”
เลี่ยหยางกล่าวขึ้นก่อนเพื่อเสนอให้ทุกคนเดินเท้าเข้าไป
แน่นอนว่าทุกคนไม่มีข้อคัดค้าน พวกเขาไม่ได้ทราบเกี่ยวกับป่าแห่งความสับสนมากนัก ทว่าเลี่ยหยางเคยสืบข่าวหาข้อมูลเกี่ยวกับที่นี่เป็นพิเศษและถือว่ารู้จักมันพอสมควร
ฉินอวี้โม่เองก็กำชับให้อสูรของตนดูแลบุตรทั้งสองให้เป็นอย่างดีก่อนออกไปจากคฤหาสน์เฟิงหัว
เนื่องจากทราบมาว่าในป่าแห่งความสับสนมีอสูรมายาระดับสูงจำนวนมาก หากเดินเท้าเข้าไปและบังเอิญพบเข้า นางจะสามารถสยบอสูรมายาได้ตามที่ต้องการ
กลุ่มคนจำนวนมากก็เดินมุ่งหน้าเข้าสู่ป่าแห่งความสับสนซึ่งกลุ่มคนที่มีสมาชิกหลายร้อยคนนี้ก็ถือว่าเป็นกลุ่มที่ใหญ่พอสมควร อสูรมายาบางตัวที่สัมผัสถึงสภาวะพลังของคนเหล่านี้ก็รีบหลีกเลี่ยงออกไปไกลอย่างรวดเร็วและไม่กล้าแม้แต่จะเฉียดเข้ามาใกล้
หลังจากเดินเท้าเป็นเวลานานและไม่เกิดสิ่งใดผิดปกติ ทุกคนก็ถึงกับถอนหายใจด้วยความโล่งอกเมื่อเข้าใกล้ภูเขาอเวจีมากขึ้นเรื่อยๆ
“ช่วยด้วย ช่วยด้วย!”
ทันใดนั้นเสียงร้องขอความช่วยเหลือก็ดังขึ้นในโสตประสาทของทุกคน
เลี่ยหยางหันไปสบตากับฉินอวี้โม่ก่อนพยักศีรษะเบาๆ เขาเข้าใจความหมายในแววตาของฉินอวี้โม่เป็นอย่างดี
“หลัวจง ออกไปดูสิว่าใครกันที่กำลังร้องขอความช่วยเหลืออยู่”
เขาหันไปสั่งการผู้ติดตามจากจวนเจ้าเมืองที่ไว้วางใจได้มากที่สุดเพื่อให้ออกไปสำรวจสถานการณ์ที่เกิดขึ้นไม่ไกลจากที่นี่
“เราหยุดพักกันที่นี่ก่อนเถอะ ถึงอย่างไรก็ยังพอมีเวลาก่อนซากปรักหักพังจะปรากฏขึ้นและเราก็ไม่ได้รีบร้อนกันมากนัก ยิ่งไปกว่านั้น หากเราไปถึงเร็วเกินไปก็อาจจะเกิดความขัดแย้งกับขุมกำลังอื่นๆก่อนได้ จุดมุ่งหมายของเราครานี้คือสมบัติในซากปรักหักพังและไม่จำเป็นต้องมีเรื่องกับผู้อื่นเร็วนัก”
เลี่ยหยางประกาศเพื่อให้ทุกคนหยุดพักเอาแรงอยู่ที่นี่ จากข้อมูลที่เขามีเกี่ยวกับผู้นำของเมืองไม้มายาและเมืองทองมายานั้น คาดว่าทั้งสองขุมกำลังใหญ่น่าจะมาถึงแล้ว เพราะฉะนั้นพวกเขาจึงไม่รีบร้อนเข้าไปในตอนนี้ การที่เดินทางล่าช้าไปสองถึงสามวันน่าจะไม่เกิดปัญหาใดๆ
ทุกคนไม่คัดค้านและนั่งลงเพื่อพักผ่อนทันที
“ท่านเจ้าเมืองขอรับ กลุ่มคนห้าคนถูกอสูรมายาจำนวนหนึ่งห้อมล้อมไว้และพวกเขากำลังร้องขอความช่วยเหลือขอรับ”
หลัวจงผู้ที่ออกไปสืบข่าวเมื่อครู่กลับมารายงานสถานการณ์ปัจจุบันให้เลี่ยหยางได้ทราบ
“ไปพาพวกเขามาที่นี่เถอะ ข้าอยากจะถามพวกเขาเช่นกันว่าในช่วงที่ผ่านมานี้พวกเขาพบเห็นขุมกำลังใดบ้าง”
ฉินอวี้โม่กล่าวขึ้นเพื่อให้หลัวจงไปช่วยคนทั้งห้าและพาพวกเขากลับมา
หลัวจงนำคนจำนวนหนึ่งออกไป หลังจากนั้นไม่นาน พวกเขาก็กลับมาพร้อมด้วยกลุ่มคนที่ดูเหนื่อยล้าอ่อนแรงหลายคน
“คารวะท่านเจ้าเมืองฉินส่าวชิง”
คาดว่าหลัวจงน่าจะกล่าวถึงตัวตนของทุกคนให้กลุ่มคนเหล่านี้ได้รับทราบระหว่างทางมาที่นี่ เมื่อมาถึง พวกเขาจึงเอ่ยทักทายเลี่ยหยางก่อน
“คารวะท่านผู้อาวุโสทั้งหลาย”
หลังจากหันมาเห็นฉินอวี้โม่และคนอื่นๆ เขาก็กล่าวทักทายอย่างสุภาพเช่นกัน
“นั่งลงและพักก่อนเถอะ”
เลี่ยหยางกล่าวเพื่อให้อีกฝ่ายนั่งพักก่อน
พวกเขาเหล่านั้นพยักศีรษะ จากนั้นก็กลืนโอสถและหลับตาลงเพื่อฟื้นฟูร่างกายเป็นเวลานานหนึ่งก้านธูปก่อนที่จะยืนขึ้นอีกครั้ง
“ข้าสัมผัสได้ว่าพวกเจ้าไม่ได้มีระดับพลังที่สูงนัก เหตุใดจึงกล้าเข้ามาในป่าแห่งความสับสนแห่งนี้กัน?”
เลี่ยหยางเอ่ยถามด้วยความสงสัย เขาสัมผัสได้ถึงความแข็งแกร่งของคนเหล่านี้และพบว่าผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดในกลุ่มเพิ่งทะลวงพลังเข้าสู่ขอบเขตเซียนเท่านั้น
เป็นที่ทราบกันดีว่าป่าแห่งความสับสนมีภยันตรายมากมาย ด้วยความแข็งแกร่งของคนเหล่านี้ หากต้องการเดินเท้าผ่านที่นี่ก็เท่ากับเป็นการรนหาที่ตาย
เมื่อได้ยินวาจาของเลี่ยหยาง พวกเขาก็ไม่พยายามปิดบังซ่อนเร้นและสีหน้าความรู้สึกผิดก็ปรากฏบนใบหน้าของพวกเขา
“แรกเริ่มเดิมทีเป็นเพราะความอยากรู้อยากเห็นจึงทำให้ข้าต้องการเดินทางมาที่นี่และติดตามคนกลุ่มหนึ่งมาจากเมืองวารีมายา ไม่คิดเลยว่าเมื่อเข้ามาในป่าแห่งความสับสน พวกเขาจะคิดว่าเราอ่อนแอเกินไปและตัดสินใจทิ้งเราไว้ หลังจากนั้นพวกเราก็ต้องการจะออกไปจากที่นี่ทว่าก็หาทางออกไม่พบ สุดท้ายพวกเราก็ตกอยู่ในการห้อมล้อมของอสูรมายาพวกนั้น หากไม่ใช่เพราะความช่วยเหลือของพวกท่าน เกรงว่าข้าและสหายคงตายเป็นผีเฝ้าป่าอยู่ที่นี่แล้ว”
บุรุษคนหนึ่งถอนหายใจยาวและกล่าวด้วยน้ำเสียงเสียใจ
“โอ้? พวกท่านมาจากเมืองวารีมายางั้นรึ?”
ฉินอวี้โม่ยิ้มเล็กน้อยและกล่าวต่อ “ทว่าก่อนหน้านี้เจ้าเมืองฉินเฟิงกล่าวกับข้าว่าเมืองวารีมายาจะไม่เข้าร่วมการสำรวจซากปรักหักพังครานี้มิใช่รึ? พวกท่านมากับผู้ใด?”
บุรุษผู้นั้นมองฉินอวี้โม่และรู้สึกคุ้นตาทว่าก็นึกไม่ออกว่าพบจากที่ใด อย่างไรก็ตาม เขาทราบดีว่าตัวตนของฉินอวี้โม่น่าจะไม่ธรรมดาเลย เขาจึงตอบไปตามตรง
“เฮยรองเป็นคนเชิญชวนผู้ที่สนใจในการสำรวจซากปรักหักพังและก่อตั้งพันธมิตรชั่วคราวขึ้นมา ส่วนเจ้าเมืองของเราและขุมกำลังส่วนใหญ่ในเมืองวารีมายาไม่ได้ส่งใครมาที่นี่”
ฉินอวี้โม่และซูวั่งชวนหันมองหน้ากันทันทีที่ได้ยินว่าเป็นผลมาจากการกระทำของเฮยรอง
พวกนางยังไม่ลืมเลือนเรื่องที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ หากไม่ใช่เป็นเพราะความแข็งแกร่งของพวกนาง เกรงว่าพวกนางคงตกอยู่ในสถานการณ์อันตรายเพราะเฮยรองแล้ว และในตอนนี้ที่เจ้าเฮยรองนั่นนำคนมากมายมาที่นี่ หากมีโอกาสได้พบกัน ฉินอวี้โม่และสหายก็ไม่รังเกียจที่จะสร้างความประหลาดใจให้กับคนเหล่านั้น
“การที่พวกท่านอยู่ในผืนป่านี้มานาน พวกท่านได้พบกับขุมกำลังอื่นๆบ้างรึไม่?”
ซูวั่งชวนมองคนเหล่านั้นและเอ่ยถามเกี่ยวกับขุมกำลังอื่นๆ
“แน่นอนว่าต้องพบบ้าง ทว่าพวกเขาทั้งหมดต่างก็ไม่ถูกกับชาวเมืองวารีมายาอย่างพวกเราและคิดว่าเราอ่อนแอเกินไป พวกเขาจึงไม่ให้การช่วยเหลือ อีกทั้งพวกเราได้พบกับกลุ่มขุมกำลังที่ลึกลับเช่นกัน พวกเขาเสนอให้เราติดตามพวกเขาไป ทว่าคนเหล่านั้นทรงพลังและลึกลับมากเกินไปจนเราไม่กล้าติดตามไปด้วย”
พวกเขาเหล่านี้ไม่ปิดบังซ่อนเร้นข้อมูลแต่อย่างใด พวกเขาเล่าเรื่องราวให้ฉินอวี้โม่และคนอื่นๆได้ทราบเกี่ยวกับผู้คนที่ได้พบระหว่างอยู่ในป่า
ในขณะที่พวกเขาติดอยู่ที่นี่นานพอสมควร พวกเขาย่อมได้พบกับผู้คนหลากหลายกลุ่ม
ในบรรดาคนเหล่านั้นคือขุมกำลังที่นำโดยเจ้าเมืองไม้มายาและเจ้าเมืองเมืองทองมายา เมื่อทราบว่าพวกเขาทั้งห้ามาจากเมืองวารีมายา คนเหล่านั้นเพียงแค่นเสียงเย็นชาและนำคณะเดินทางของตนเองมุ่งหน้าในไปทิศทางของภูเขาอเวจีอย่างไร้เยื่อใย
นอกจากนี้ยังมีขุมกำลังและกลุ่มพันธมิตรขนาดเล็กอีกบางส่วน ทว่าเป็นเพราะคนเหล่านั้นคิดว่าคนทั้งห้าเหล่านี้อ่อนแอเกินไปจึงไม่ให้การช่วยเหลือ
ทว่ายังมีกลุ่มคนลึกลับที่เชิญชวนให้พวกเขาเดินทางไปที่ภูเขาอเวจีด้วยกัน คนเหล่านั้นมีผ้าบดบังใบหน้าและมีความแข็งแกร่งที่ไม่ธรรมดา พวกเขาทั้งห้าจึงไม่กล้าเดินทางไปกับคนเหล่านั้นและปฏิเสธโดยตรงพร้อมเอ่ยขอบคุณสำหรับน้ำใจ
“คนลึกลับเหล่านั้นแต่งกายอย่างไรรึ?”
ฉินอวี้โม่และคนอื่นๆมองหน้าอย่างรู้กันและพอจะคาดเดาตัวตนของคนกลุ่มนั้นได้ หากคิดไม่ผิด มีความเป็นไปได้สูงมากว่ากลุ่มคนลึกลับเหล่านั้นคือคนจากกองทหารหงเฟิง ไม่น่าเชื่อเลยว่าพวกเขาจะเดินทางมาเร็วเช่นนี้
“พวกเขาทั้งหมดสวมอาภรณ์สีแดง ผ้าโพกศีรษะและมีผ้าบดบังใบหน้าจนมองไม่เห็นใบหน้าที่แท้จริง บริเวณอกของพวกเขาก็มีสัญลักษณ์เป็นรูปใบหงเฟิง จากการสันนิษฐานของข้า พวกเขาน่าจะมาจากกองทหารหงเฟิง”
คนทั้งห้ามิใช่คนเขลาเช่นกัน แม้ว่าไม่ได้สนใจในตอนแรก ทว่าตอนนี้พวกเขาก็พอจะคาดเดาตัวตนที่แท้จริงของกลุ่มคนลึกลับเหล่านั้นได้แล้ว
“ดูเหมือนว่าขุมกำลังหลักๆของดินแดนน่าจะมาถึงกันหมดแล้ว”
เลี่ยหยางพยักศีรษะเบาๆก่อนเอ่ยถามออกไป “แล้วพวกท่านพบใครจากเมืองมายาบ้างรึไม่?”
เมื่อได้ยินคำถามของเลี่ยหยาง คนทั้งห้าก็ส่ายศีรษะทันที
“คนของเมืองมายาล้วนเป็นบุคคลที่มีอิทธิพลและยิ่งใหญ่ เราไม่เคยพบพวกเขามาก่อน ยิ่งไปกว่านั้น ต่อให้ได้พบกันจริงๆ เราก็อาจไม่ทราบว่าพวกเขาเป็นใคร”
สีหน้าจริงใจของคนทั้งห้าทำให้ฉินอวี้โม่และทุกคนรู้สึกถูกชะตาไม่น้อย
“พวกท่านอยากจะไปกับพวกเรารึไม่? เรากำลังจะไปที่ภูเขาอเวจี”
ซูน่ากล่าวพร้อมรอยยิ้มกว้างและเชิญชวนพวกเขา
เมื่อคนทั้งห้าได้ยินวาจาของซูน่า พวกเขาก็รู้สึกซาบซึ้งไม่น้อย อย่างไรก็ตาม หลังจากไตร่ตรองอย่างดี พวกเขาก็ส่ายศีรษะเบาๆ
“ช่างมันเถอะ เราไม่รบกวนพวกท่านจะดีกว่า พวกเราพอจะเข้าใจเกี่ยวกับป่าแห่งความสับสนนี้มากขึ้นแล้ว ภูเขาอเวจีเป็นที่ที่มาพร้อมความอันตราย ด้วยความแข็งแกร่งของพวกเราทั้งห้า เกรงว่าหากยังดึงดันไปต่อ เราอาจต้องตาย”
เมื่อได้ยินคำตอบที่ตรงไปตรงไปของอีกฝ่าย ฉินอวี้โม่ก็ยิ่งประทับใจในตัวพวกเขามากขึ้นและรู้สึกพึงพอใจกับพวกเขาเหล่านี้อย่างแท้จริง
“หากเป็นเช่นนั้นข้าจะให้คนไปส่งพวกท่านข้างนอก อย่าปฏิเสธเชียวล่ะ”
เลี่ยหยางยิ้มอย่างเป็นมิตร เส้นทางบริเวณรอบนอกของป่าแห่งความสับสนยังอีกยาวไกล หากคนทั้งห้าออกไปในตอนนี้ก็ยังมีภยันตรายไม่ต่างจากเดิม แม้ว่าไม่ชอบยุ่งเกี่ยวเรื่องของคนอื่น เลี่ยหยางและคนอื่นๆก็รู้สึกถูกชะตากับคนทั้งห้าและยินดีช่วยพวกเขาอย่างจริงใจ
“เช่นนั้นข้าก็ขอขอบคุณท่านเจ้าเมืองฉินส่าวชิงและทุกๆท่าน”
เมื่อได้ยินวาจาของเลี่ยหยาง อีกฝ่ายก็ไม่ปฏิเสธ หากมีคนออกไปส่งพวกเขา พวกเขาก็จะรู้สึกปลอดภัยขึ้นมาก
“หลัวจง นำคนไปกับเจ้าและออกไปส่งจอมยุทธ์ทั้งห้าข้างนอกป่าเถอะ อีกไม่นานพวกเราจะเดินทางต่อและทิ้งร่องรอยสัญลักษณ์เอาไว้ให้เจ้า เจ้าจะพบพวกเราได้ด้วยการตามรอยสัญลักษณ์เหล่านั้น”
เลี่ยหยางกล่าวกับหลัวจงเพื่อให้เขาส่งคนทั้งห้ากลับไป
หลัวจงพยักศีรษะและรับคำสั่ง จากนั้นคนทั้งห้าก็กล่าวขอบคุณอย่างซาบซึ้งใจก่อนตามหลัวจงคนอื่นๆออกไป
“ดูเหมือนว่าคนส่วนใหญ่จะมาถึงกันแล้ว ไม่อาจรู้ได้เลยว่าหากกองทหารหงเฟิงและคนจากเมืองไม้มายาและเมืองทองมายาพบหน้ากัน พวกเขาจะต่อสู้กันทันทีที่ได้พบกันรึไม่”
จูเฟยชวี่ยิ้มบางๆ ทว่าแสดงสีหน้าราวกับกำลังจะได้ชมการแสดงที่น่ารื่นรมย์ แม้ว่าเขาต้องการผูกมิตรกับกองทหารหงเฟิง ทว่าในเมื่อยังไม่อาจทราบได้แน่ชัดว่าพวกเขาจะกลายเป็นศัตรูหรือว่าจะกลายเป็นมิตรสหาย เขาก็ย่อมอยากเห็นคนอื่นๆสู้กันเอง
“ข้าไม่คิดว่าพวกเขาจะต่อสู้กันก่อน ครานี้ทุกคนมาเพื่อซากปรักหักพัง พวกเขาไม่น่าจะสร้างปัญหาความวุ่นวายในตอนนี้”
ฉินอวี้โม่กล่าวพร้อมรอยยิ้ม กองทหารหงเฟิงและสมาชิกจากทั้งสองเมืองมิใช่คนเขลา นางเชื่อว่าพวกเขาเหล่านั้นจะไม่จุดชนวนสงครามหรือก่อความวุ่นวายอย่างรวดเร็วเช่นนี้แน่
เมื่อทุกคนได้ยินวาจาของฉินอวี้โม่ พวกเขาต่างก็ยิ้มออกมา ทว่าทันใดนั้น ขณะที่พวกเขากำลังจะกล่าวบางอย่าง ฉินอวี้โม่ก็ขมวดคิ้วเล็กน้อย
“ทุกคนระวังตัวด้วย มีกลุ่มคนที่ทรงพลังกำลังใกล้เข้ามาในทิศทางของเรา”
เมื่อได้ยินเช่นนั้น ทุกคนก็ยืนขึ้นทันทีและสีหน้าบ่งบอกถึงความระแวดระวังอย่างชัดเจน
.