“ฮ่าๆๆ สหายน้อยอวี้โม่ ส่าวชิง พวกเราได้พบกันอีกแล้ว”
ฉินอวี้โม่และคณะมองเห็นกลุ่มคนที่ปรากฏใกล้เข้ามาตรงหน้าและได้ยินเสียงที่คุ้นเคย แท้ที่จริงแล้วเจ้าของสภาวะพลังที่น่าสะพรึงกลัวเมื่อครู่ก็คือฉินหวยและคนอื่นๆที่เดินทางไปเมืองเพลิงมายาก่อนหน้านี้
“ที่แท้ก็เป็นผู้อาวุโสฉินหวยและผู้อาวุโสทั้งหลายจากเมืองมายานี่เอง”
เมื่อเห็นว่าผู้มาใหม่คือคณะเดินทางของฉินหวย ฉินอวี้โม่และคนอื่นๆก็รู้สึกโล่งใจเล็กน้อย ถึงแม้ว่าท้ายที่สุดแล้วคนเหล่านี้จะกลายเป็นศัตรูของพวกนางในสักวัน ทว่าเวลานี้ฝ่ายของนางและพวกเขายังอยู่ในเรือลำเดียวกันและจะยังไม่มีความขัดแย้งหรือเรื่องบาดหมางใดๆ
“ไม่คิดเลยว่าจะได้พบท่านที่นี่”
ฉินหวยยิ้มอย่างไม่มีร่องรอยความเป็นปฏิปักษ์ เขาเลื่อนสายตามองไปที่ร่างของฉินอวี้โม่และสังเกตเห็นว่าท้องโตของนางได้หายไปแล้ว
“ฮ่าๆๆ ดูเหมือนว่าสหายน้อยอวี้โม่จะกลายเป็นแม่คนไปแล้ว ขอแสดงความยินดีด้วย”
“ขอบคุณผู้อาวุโสฉินหวย”
ฉินอวี้โม่ยิ้มตอบอย่างจริงใจเมื่อไม่รู้สึกถึงการพูดปดหรือความมุ่งร้ายของอีกฝ่าย
“ฮ่าๆๆ ทารกน้อยยังเด็กนัก ในฐานะมารดา เจ้าควรจะอยู่กับลูกไม่ใช่รึ? แล้วเหตุใดจึงยังคิดที่จะเดินทางมาร่วมสนุกที่ภูเขาอเวจีแห่งนี้กันเล่า?”
จู่ๆเซวียเม่ยก็ก้าวออกมาข้างหน้าและกล่าวพร้อมแสยะยิ้ม น้ำเสียงของนางแสดงถึงการเหน็บแนมอย่างชัดเจนราวกับต้องการกล่าวหาว่าฉินอวี้โม่เป็นมารดาที่ไม่มีความรับผิดชอบ
“ฮ่าๆๆ ขอบคุณผู้อาวุโสเซวียเม่ยที่ย้ำเตือนข้าว่าข้าควรอยู่กับลูก แต่อย่างไรเสีย การเดินทางมาร่วมสนุกที่ภูเขาอเวจีนี้ก็มิได้ขัดขวางข้าจากการใช้เวลาอยู่กับลูก ยิ่งไปกว่านั้น ข้ามาที่นี่เพื่อช่วยสยบอสูรระดับสูงให้เมืองเพลิงมายา ในอนาคตข้างหน้า ถ้าหากผู้อาวุโสเซวียเม่ยมีบุตรและผู้นำฉินเหยียนออกคำสั่งมา ข้าเชื่อว่าท่านก็คงจะเลือกเดินทางไปพร้อมกับบุตรเป็นแน่”
ฉินอวี้โม่ตอบกลับโดยไม่แสดงความโกรธแค้นหรือความไม่พอใจใดๆ ทันทีที่พบเซวียเม่ยและมองเห็นสายตาไม่เป็นมิตรของอีกฝ่าย นางก็ทราบดีว่าเซวียเม่ยต้องพยายามหาเรื่องนางอย่างแน่นอน
เพราะเหตุนั้นนางจึงเตรียมตัวเตรียมใจไว้ก่อนแล้ว ไม่ว่าเซวียเม่ยผู้นี้จะกล้ากระทำสิ่งใด นางก็พร้อมที่จะรับมือกับทุกอย่างและจะไม่แสดงความปรานีแน่
สีหน้าของเซวียเม่ยเปลี่ยนไปเล็กน้อยเมื่อได้ยินวาจาถากถางของฉินอวี้โม่ทว่านางก็ไม่ได้ตอบโต้กลับ
“ฮ่าๆๆ ดีเลย หากท่านผู้นำฉินเหยียนทราบเรื่องนี้ นางจะจัดงานเลี้ยงเพื่อเป็นการขอบคุณสหายน้อยอวี้โม่อย่างสมเกียรติแน่ๆ ถึงอย่างไรความแข็งแกร่งที่เพิ่มขึ้นของเมืองเพลิงมายาก็หมายถึงการพัฒนาความแข็งแกร่งของโลกมายาโดยรวม ผู้นำฉินเหยียนคงจะพอใจเป็นอย่างมาก”
ฉินหวยกล่าวพร้อมรอยยิ้มและส่งสายตาไปหาเซวียเม่ยเพื่อห้ามไม่ให้นางเอ่ยสิ่งใดออกมาอีก
“อีกอย่าง..ไม่ทราบว่าสหายน้อยอวี้โม่ได้พิจารณาข้อเสนอของข้าเมื่อคราก่อนแล้วรึยัง? ตำแหน่งประธานสมาคมผู้ฝึกสัตว์อสูรแห่งเมืองมายาของเราจะสงวนไว้ให้ท่านเสมอ ยิ่งไปกว่านั้น หลังจากที่ผู้นำฉินเหยียนได้ฟังเรื่องราวของสหายน้อยอวี้โม่จากข้า นางก็รู้สึกสงสัยและสนใจในตัวของสหายน้อยอวี้โม่เป็นอย่างมาก”
ฉินอวี้โม่ยิ้มเล็กน้อยเมื่อได้ฟังวาจาจริงครึ่งไม่จริงครึ่งของฉินหวย
“เมื่อได้ออกมาจากซากปรักหักพัง ข้าจะคิดเรื่องนี้อีกครา ถึงอย่างไรแล้วประธานสมาคมผู้ฝึกสัตว์อสูรแห่งเมืองมายาก็ถือเป็นตำแหน่งอันทรงเกียรติ อีกทั้งข้าก็รู้สึกเป็นเกียรติอย่างสูงที่ท่านผู้นำฉินเหยียนสนใจที่จะพบข้า”
อย่างไรก็ตาม แท้จริงแล้วฉินอวี้โม่มิได้คิดเช่นนั้น การออกสำรวจครานี้ กองทหารหงเฟิงจะต้องลงมือทำบางอย่างในซากปรักหักพังอย่างแน่นอน เมื่อถึงตอนนั้นก็ไม่แน่ชัดว่าฉินหวยและคณะของเขาจะรอดชีวิตกลับไปที่เมืองมายาหรือไม่ อดีตนักฆ่าสาวไม่มีทางตอบตกลงรับตำแหน่งประธานสมาคมผู้ฝึกสัตว์อสูรดังกล่าว อย่างไรก็ตาม แทนที่จะฉีกหน้าอย่างเปิดเผย นางเลือกที่จะกล่าวตอบอย่างสุภาพเพื่อไม่ให้เกิดปัญหาใดๆ
“ฮ่าๆๆ ในเมื่อสหายน้อยอวี้โม่กล่าวเช่นนั้นก็คงไม่มีอะไรที่น่าเป็นห่วง ข้าเชื่อว่าหลังการสำรวจซากปรักหักพังครานี้เสร็จสิ้น สหายน้อยอวี้โม่คงจะให้คำตอบที่น่าพอใจกับข้าเป็นแน่”
ฉินหวยยิ้มและไม่ถามสิ่งใดต่อ คำตอบเช่นนั้นของฉินอวี้โม่ทำให้ข้อสงสัยก่อนหน้านี้ที่เขามีเกี่ยวกับนางบรรเทาลงเล็กน้อย อย่างไรก็ตาม หากว่านางปฏิเสธอย่างเด็ดขาด เขาก็คงจะสงสัยในตัวนางมากยิ่งขึ้น
“ตอนนี้เราอยู่ไม่ไกลจากภูเขาอเวจีแล้ว พวกเราเดินทางไปด้วยกันเถอะ หากเผชิญหน้ากับอสูรมายาทรงพลัง เราจะได้ช่วยเหลือซึ่งกันและกัน”
ฉินหวยกวาดสายตามองไปทางภูเขาอเวจีซึ่งอยู่ไม่ไกลและเสนอกับทุกคน
เลี่ยหยางชำเลืองมองฉินอวี้โม่และคนอื่นๆ เขาก็ทราบดีว่านี่เป็นข้อเสนอที่ยากจะปฏิเสธได้ เขาจึงพยักศีรษะเพื่อตอบตกลงอย่างรวดเร็ว
“แต่เรายังต้องรอคนของเราอีกจำนวนหนึ่ง หากพวกท่านไม่ต้องการที่จะเสียเวลา ก็เชิญผู้อาวุโสฉินหวยและคณะมุ่งหน้าไปก่อนได้เลย”
หลังจากไตร่ตรองดู เลี่ยหยางในคราบของเจ้าเมืองฉินส่าวชิงก็กล่าวเสริมว่าเขายังรอสมาชิกเพิ่มเติมและหวังว่าฉินหวยจะออกเดินทางล่วงหน้าไปก่อน
“ไม่เป็นไรหรอก ถึงอย่างไรตอนนี้ก็ยังเหลือเวลาอีกมากก่อนที่ซากปรักหักพังจะปรากฏขึ้นมา พวกเรามิได้รีบร้อน”
ผู้อาวุโสฉินหวยยิ้มตอบและไม่มีความคิดที่จะมุ่งหน้าไปก่อน ในทางตรงกันข้าม เขาเดินตรงเข้าหามาฉินอวี้โม่ เลี่ยหยางและคนอื่นๆก่อนทิ้งตัวนั่งลงและกล่าวพร้อมรอยยิ้ม “คราก่อนข้ารีบร้อนกลับจึงไม่มีโอกาสได้สนทนาพาทีกับส่าวชิงและสหายน้อยอวี้โม่มากนัก ทว่าตอนนี้การนั่งและพูดคุยกันคงจะดีไม่น้อย นับตั้งแต่มาที่โลกมายา เราต่างก็ยุ่งกับหน้าที่ความรับผิดชอบต่างๆจนไม่มีเวลาพูดคุยกันอย่างสนุกสนานเหมือนก่อน”
ต้องกล่าวเลยว่าความสัมพันธ์ระหว่างฉินหวยและฉินส่าวชิงก่อนหน้านี้สนิทสนมกันอย่างยิ่ง แม้ว่าฉินส่าวชิงเป็นคนหน้าซื่อใจคด เขาก็มีความเคารพต่อฉินหวยอย่างแท้จริง ทั้งสองมีอายุไล่เลี่ยกันและฝึกยุทธ์ด้วยกันมาตั้งแต่เยาว์วัย พวกเขาจึงมีความสนิทสนมกันไม่น้อย
“ฮ่าๆๆ เป็นจริงอย่างที่ว่า”
ทว่าบัดนี้ ‘ฉินส่าวชิง’ มิใช่คนเดิมอีกต่อไป หากแต่เป็นเลี่ยหยางปลอมตัวมา เขาจึงไม่สามารถพูดคุยกับอีกฝ่ายได้อย่างสนิทชิดเชื้อได้ อย่างไรก็ตาม เขายังแสร้งตีหน้าเป็นมิตรและสนทนาตอบโต้อย่างมีความสุข
“ตลอดหลายปีที่ผ่านมานี้ ความแข็งแกร่งของท่านพัฒนาขึ้นไปมาก ทว่าข้ากลับหยุดนิ่งอยู่ที่เดิม มันช่างน่าอายจริงเชียว”
เลี่ยหยางยิ้มและเป็นฝ่ายกล่าวขึ้นก่อน เขาไม่ต้องการให้ฉินหวยตัดสินใจเลือกหัวข้อสนทนา เพราะหากว่าอีกฝ่ายเอ่ยถึงสิ่งที่เขาไม่มีข้อมูล มันอาจจุดชนวนความสงสัยขึ้นมาได้
“ฮ่าๆๆ ความแข็งแกร่งของเจ้าก็พัฒนาขึ้นมากเช่นกัน อย่างไรก็ตาม ในฐานะเจ้าเมือง เจ้ามีเรื่องที่ต้องจัดการมากกว่าข้า เจ้าจึงไม่อาจจดจ่อกับการฝึกยุทธ์ฝึกวิชาได้เหมือนอย่างข้า ความล่าช้าที่เกิดขึ้นนี้ย่อมเป็นเรื่องปกติ”
ฉินหวยยิ้มและหันไปมองฉินอวี้โม่ก่อนกล่าวต่อ “สหายน้อยอวี้โม่ ท่านอายุเพียงแค่ยี่สิบต้นๆเท่านั้น คราก่อนที่พบกัน ท่านยังตั้งครรภ์อยู่และข้าได้ยินเรื่องราวเกี่ยวกับท่านมามาก.. เพียงแต่ข้าไม่เคยได้ยินเรื่องสามีของท่านเลย ข้าเชื่อว่าเขาต้องไม่ธรรมดาอย่างแน่นอน”
เมื่อได้ยินคำถามของฉินหวย ฉินอวี้โม่ก็ยิ้มมุมปากเบาๆ
“ฮิๆๆ ครานี้อาจารย์ของข้าสั่งให้ข้าออกมาสั่งสมประสบการณ์ ทว่าสามีของข้ายังคงเก็บตัวฝึกฝนอยู่และไม่ได้ออกมาด้วยกัน หากเขาออกมาเมื่อใด ข้าจะพาเขาไปเยี่ยมเยือนผู้อาวุโสฉินหวยอย่างแน่นอน”
นางเตรียมคำตอบสำหรับเรื่องนี้ไว้ก่อนแล้วและรู้สึกว่าฉินหวยผู้นี้รับมือได้ยากยิ่ง หากไม่มีคำตอบที่เหมาะสมและน่าเชื่อถือ มันจะเป็นที่สนใจและจุดประกายความสงสัยของเขาอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยงได้
“ผู้อาวุโสฉินหวย ครานี้ที่ท่านออกมา ผู้นำฉินเหยียนมีคำสั่งพิเศษใดหรือไม่?”
เลี่ยหยางกล่าวขึ้นในเวลาที่เหมาะเจาะพอดีเพื่อเปลี่ยนหัวข้อสนทนาและต้องการสืบข่าวที่เป็นประโยชน์เช่นกัน
“ฮ่าๆๆ ไม่มีอะไรพิเศษหรอก ส่าวชิง เจ้าเองก็ทราบดีว่านี่เป็นซากปรักหักพังของสุดยอดผู้ใช้ข่ายอาคม มันจะต้องมีสมบัติล้ำค่าอยู่ข้างในนั้นมากมาย อีกทั้งกองทหารหงเฟิงและขุมกำลังอื่นๆก็จะปรากฏตัวขึ้นที่นั่น แน่นอนว่าคำสั่งของผู้นำฉินเหยียนคือหาโอกาสกำจัดกองทหารหงเฟิงและครอบครองสมบัติภายในซากปรักหักพังมาให้ได้ เราจำเป็นจะต้องขอความร่วมมือกับเมืองเพลิงมายาและอีกสองเมือง”
ฉินหวยกล่าวพร้อมรอยยิ้มทว่าเขาก็ไม่ได้รู้สึกถึงความผิดปกติจากการที่เลี่ยหยางจงใจเปลี่ยนหัวข้อสนทนาเมื่อครู่
เลี่ยหยางพยักศีรษะและยิ้มอีกครั้ง “ผู้นำฉินเหยียนได้บอกผู้อาวุโสฉินหวยเกี่ยวกับเทพมายาคนใหม่รึไม่?”
เรื่องเทพมายาคนใหม่มิใช่ความลับสำหรับพวกเขา เพราะเหตุนั้นเลี่ยหยางจึงจงใจเอ่ยถามออกไปเพื่อต้องการสืบข้อมูล
“ฮ่าๆๆ ข้าเชื่อว่าเจ้าน่าจะทราบเรื่องเมื่อร้อยปีก่อนอย่างชัดเจน เมื่อนับวันเวลาที่ผ่านมา เทพมายาคนใหม่ก็น่าจะจุติแล้ว ผู้นำฉินเหยียนมีลางสังหรณ์ว่าเทพมายาคนใหม่จะปรากฏกายในซากปรักหักพังครานี้และสั่งให้ข้าจับตาดูว่ามีผู้ใดที่พิเศษและโดดเด่นเกินปกติรึไม่ หากผู้ใดพบเบาะแสของเทพมายาคนใหม่ก็จงพาตัวนางกลับไป กล่าวกันว่าหลายปีที่ผ่านมานี้ ทัศนคติที่มีต่อเทพมายาได้เปลี่ยนไปแล้ว หากเราพบตัวเทพมายาคนใหม่ เราจะจดจ่อกับการส่งเสริมพัฒนาแทนที่จะกำจัดนางไปโดยตรง”
ฉินหวยยิ้มทว่ากล่าววาจาทั้งจริงและไม่จริงปะปนกันในขณะที่แอบสังเกตดูสีหน้าท่าทางของฉินอวี้โม่อย่างลับๆ
แน่นอนว่าฉินอวี้โม่ไม่ได้มีท่าทีเปลี่ยนแปลงแต่อย่างใดเพียงเพราะคำพูดของผู้อาวุโสฉินหวย นางรับรู้ได้ถึงการหยั่งเชิงในวาจาของอีกฝ่าย เห็นได้ชัดว่าผู้อาวุโสจากเมืองมายาผู้นี้กำลังสงสัยในตัวนาง
“ผู้อาวุโสฉินหวย ข้าไม่ค่อยเข้าใจวาจาของท่านนักและสงสัยใคร่รู้ไม่น้อย จากสิ่งที่อาจารย์ของข้าเคยบอก เทพมายาได้หายสาบสูญไปนานนับพันปีแล้วและกายเทพมายาก็หายไปอย่างไร้ร่องรอยเช่นกัน หากผู้ใดต้องการขึ้นเป็นเทพมายาคนใหม่ คนผู้นั้นจะต้องมีสภาวะร่างกายพิเศษที่เรียกกันว่ากายเทพมายา และผู้ที่ได้ครองกายเทพมายาก็จะต้องไม่ใช่คนธรรมดาๆอย่างแน่นอน หากมีเทพมายาคนใหม่อยู่ในโลกมายาจริง คนผู้นั้นก็น่าจะเป็นที่เลื่องลือกล่าวขานไปนานแล้ว ข้าเองก็อยู่ที่นี่มาตั้งแต่เกิด เหตุใดข้าจึงไม่เคยได้ยินเบาะแสเรื่องนี้มาก่อน? และเจ้าเมืองฉินส่าวชิงก็ไม่เคยบอกกล่าวเรื่องนี้กับข้าเช่นกัน”
ฉินอวี้โม่ยิ้มบางๆขณะแสร้งทำเป็นงุนงงและเอ่ยถามออกไป
เมื่อได้ยินเช่นนั้นและเห็นสีหน้าใสซื่อไม่น่าสงสัยของนาง ฉินหวยก็ละสายตาไป ดูเหมือนว่าการคาดเดาของเขาจะผิดพลาดไปเสียแล้ว อวี้โม่ผู้นี้คงจะไม่ใช่เทพมายาคนใหม่ที่ตามหา เพราะหากเป็นนางจริงๆ วาจาของเขาเมื่อครู่น่าจะทำให้อวี้โม่มีอาการตื่นตระหนกและไม่สามารถใจเย็นอยู่เช่นนี้ได้
“ฮ่าๆๆ ส่าวชิง นี่เป็นความผิดของเจ้าแท้ๆ ในเมื่อสหายน้อยอวี้โม่เป็นผู้ฝึกสัตว์อสูรของเมืองเพลิงมายาแล้ว เจ้าก็ควรจะเปิดเผยเรื่องบางเรื่องกับนาง เจ้ายังไม่เคยบอกนางเกี่ยวกับเทพมายาคนใหม่งั้นรึ?”
เลี่ยหยางมิใช่คนโง่เขลาเบาปัญญาเช่นกัน เขาก็รู้สึกได้ถึงการหยั่งเชิงจากวาจาของฉินหวยเมื่อครู่นี้ ทว่าตอนนี้เมื่อได้ยินวาจาของฉินหวยอีกครั้ง เขาก็รู้สึกได้ว่าฉินอวี้โม่รอดพ้นจากข้อสงสัยของอีกฝ่ายแล้วและโล่งใจไม่น้อยทีเดียว
“ผู้อาวุโสฉินหวย ข้าจะกล้าทำเช่นนั้นได้ยังไงเล่า? เทพมายาถือเป็นเรื่องต้องห้ามในโลกมายาของเรา และสำหรับเรื่องเทพมายาคนใหม่นี้ ข้าคิดว่าไม่ควรเอ่ยออกไปหากไม่ได้การอนุญาตจากผู้นำฉินเหยียน”
เลี่ยหยางกล่าวพร้อมรอยยิ้มเจื่อนๆและมีท่าทางที่เสียใจเล็กน้อย
เมื่อเห็นสีหน้าของอีกฝ่ายและฟังคำพูดของเขา ฉินหวยก็อดหัวเราะออกมาไม่ได้
“เจ้าก็เป็นเช่นนี้มาตั้งแต่เด็ก เจ้ามักจะคิดไตร่ตรองอยู่เสมอ เรื่องนี้มิใช่ความลับมากมายนัก ตราบใดที่พยายามสืบหาเพียงเล็กน้อยก็จะได้รับข้อมูลมาอย่างง่ายดาย ทว่าเจ้าก็ต้องให้ความสนใจกับการออกสำรวจซากปรักหักพังครานี้ให้ดี หากเทพมายาคนใหม่ปรากฏตัว เจ้าอย่าคลายสายตาเด็ดขาด หากพบตัวและพานางกลับไปได้ ผู้นำฉินเหยียนจะต้องตบรางวัลอย่างงามแน่นอน”
“ขอบคุณผู้อาวุโสฉินหวยที่เน้นย้ำข้า ข้าจะจับตาดูอย่างแน่นอน”
ฉินส่าวชิงพยักศีรษะและกล่าวขอบคุณ เพียงแต่เขาทราบดีว่าเทพมายาคนใหม่ยืนอยู่ข้างกาย หากเขาไม่เปิดเผยเรื่องนี้ ฉินหวยและคนอื่นๆจะไม่มีทางค้นพบได้เลย
“เอาล่ะ คนของเรากลับมาแล้ว ไปกันเถอะ”
เมื่อหลัวจงและคนอื่นๆกลับมา เลี่ยหยางก็กล่าวขึ้นมาพร้อมกับรอยยิ้ม
ผู้อาวุโสฉินหวยพยักศีรษะ จากนั้นทุกคนก็ออกเดินมุ่งหน้าตรงไปยังภูเขาอเวจี
.