“เชื่อหรือไม่ว่าข้าตัดศีรษะของเจ้าขาดได้ง่ายๆ ”
ฉินอวี้โม่ยิ้มอย่างเยือกเย็นขณะมองดูหลี่หลินที่กำลังกลัวจนตัวสั่นด้วยสายตาเย้ยหยัน
ยังไม่ทันที่คนของหลี่หลินจะตอบสนองก็ต้องพบว่าหัวหน้าของตนตกอยู่ในมือของฉินอวี้โม่แล้ว การเคลื่อนไหวของสตรีอาภรณ์ขาวผู้นั้นรวดเร็วเสียจนพวกเขามองตามไม่ทัน สถานการณ์ในตอนนี้น่าวิตกยิ่งนักเพราะนางอาจจะฆ่าเขาได้ทุกเวลา!
“ปล่อยนายน้อยเดี๋ยวนี้นะ!”
คนของหลี่หลินรีบส่งเสียงออกมาอย่างกระวนกระวายแล้วตรงเข้าจู่โจมฉีอวี้ ฉีฉี และหลิงเฟิง อย่างไม่ลังเล
“ข้าล่ะเชื่อพวกเจ้าจริงๆ”
ฉีอวี้หันไปสบตาหลิงเฟิง เขากลอกตาพลางกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงเบื่อหน่ายก่อนจะเตะเข้าใส่กลุ่มคนที่พุ่งเข้ามาจนร่วงลงไปกองกับพื้นทีละคนสองคน
“นี่พวกเจ้ามีสมองกันอยู่หรือไม่ พวกเจ้าอ่อนแอและไร้ความสามารถถึงเพียงนี้ แต่กลับกล้ามาที่ป่าแสงจันทร์ เท่านั้นยังไม่พอ ยังอาจหาญมาแย่งชิงของของพวกข้าโดยไม่ประมาณตัว ไม่กลัวตายกันรึยังไง?!”
ฉินอวี้โม่ดึงกริชของตัวเองกลับมาและจ้องมองหลี่หลินที่กำลังหน้าซีดเผือดตัวสั่นเทาด้วยสายตาดูถูก
“เหอะ จะ เจ้า! เจ้ากล้ามารังแกข้า กลับไปข้าจะไปรายงานท่านลุง รอให้ถึงตอนนั้นก่อนเถอะพวกเจ้าไม่รอดแน่”
แม้ว่าหลี่หลินจะหวาดกลัว แต่ปากของเขาก็ยังกล่าววาจาข่มขู่ ครั้งนี้เขาเอ่ยอ้างถึงท่านลุงเพื่อกดดันพวกฉินอวี้โม่
“ลุงของเจ้าเป็นใคร?”
ฉินอวี้โม่แสร้งทำเป็นใสซื่อและถามออกไปอย่างใคร่รู้
“ท่านลุงของข้าคือเจ้าเมืองเยว่กวาง ถ้าเขารู้ว่าพวกเจ้ากล้ารังแกข้า พวกเจ้าก็น่าจะพอคาดเดาผลลัพธ์ได้!”
หลี่หลินกล่าวอย่างภาคภูมิเมื่อพูดถึงลุงของตน พร้อมกันนั้นความกลัวของเขาค่อยๆ สลายไป
“หากพวกเจ้าขอโทษข้าและยอมส่งของมา ข้าจะยอมเมตตาไว้ชีวิตพวกเจ้าสักครั้ง”
หลี่หลินกล่าววาจาโอหังราวกับตนเป็นผู้กุมชีวิตของอีกฝ่าย เขาคิดว่าที่แห่งนี้คือเมืองเยว่กวาง ฉะนั้นแล้วลุงของเขาคือผู้ที่มีอำนาจมากที่สุด แม้ว่าฉินอวี้โม่และพวกพ้องจะแข็งแกร่ง แต่ก็ควรจะยอมขอโทษเขาหากได้ยินชื่อของท่านลุง
“พรวด ฮ่าฮ่าฮ่า!”
คำข่มขู่ของหลี่หลิน ทำให้ฉีอวี้ ฉีฉี และหลิงเฟิงขำพรวดออกมาอย่างกลั้นไม่อยู่ราวกับได้ยินมุขที่ตลกเป็นอย่างมากอีกครั้ง
“ฮ่า ฮ่า ฮ่า เจ้าโง่ เจ้าคิดว่าลุงตัวเองเป็นเจ้าเมืองเยว่กวางแล้วจะวิเศษนักรึไง?”
ฉีฉีมองดูหลี่หลินด้วยสายตาดูถูกเป็นอย่างมาก “พวกเราเป็นถึงองค์หญิงและองค์ชายแห่งจักรวรรดิไป๋อวิ๋น ทีนี้เจ้าลองบอกซิว่าสถานะของเจ้ากับสถานะของพวกเราใครสูงส่งกว่ากัน!”
แต่ทว่าทันทีที่หลุดปากเอ่ยออกไปเช่นนั้น ฉีฉีก็ฉุกคิดเรื่องบางอย่างขึ้นมาได้
“พี่อวี้โม่ พอรู้สถานะของพวกเราแล้ว พี่จะไม่อยากเป็นเพื่อนกับพวกเราแล้วใช่หรือเปล่า?”
พวกนางไม่ได้ตั้งใจจะปกปิดสถานะของตนเองกับฉินอวี้โม่เลย ทว่าในโลกกว้างใหญ่ใบนี้มีผู้คนมากมาย อีกทั้งสถานะของพวกนางก็ไม่ธรรมดาแม้แต่น้อย ผู้ใดจะล่วงรู้ว่าหากนางบอกสถานะที่แท้จริงออกไปแล้วอีกฝ่ายจะคิดอย่างไร อีกฝ่ายอาจจะเกรงกลัวจนไม่กล้าที่จะคบหาด้วยเลยก็เป็นไปได้ ด้วยเหตุนั้นทำให้พวกเขาเลือกที่จะไม่บอกเรื่องนี้กับฉินอวี้โม่แต่แรก
“เจ้าคิดมากไปแล้ว”
ฉินอวี้โม่บีบจมูกของหนูน้อยฉีฉีพลางกล่าวด้วยรอยยิ้ม
เรื่องสถานะของฉีฉีและพี่ชายนางพอจะดูออกมาตั้งนานแล้ว อย่างไรก็ตามถ้าอีกฝ่ายยังไม่ต้องการบอกให้รู้ นางเองก็ไม่กล้าเป็นฝ่ายถามก่อน และแน่นอนว่าฉินอวี้โม่จะไม่เปลี่ยนไปเพียงเพราะรู้เรื่องสถานะของสหายอย่างแน่นอน
“ฮ่าฮ่า ข้าก็คิดอยู่แล้วเชียว”
เมื่อเห็นว่าฉินอวี้โม่ยังไม่ได้มีท่าทีที่เปลี่ยนไปจากเดิม ฉีฉีก็ยิ้มอย่างมีความสุข
“ฮ่าฮ่าฮ่า ตลกเป็นบ้า ถ้าพวกเจ้าเป็นองค์หญิง องค์ชาย งั้นข้าก็เป็นจักรพรรดิแล้วล่ะ ฮ่าฮ่าฮ่า”
แน่นอนว่าหลี่หลินไม่เชื่อเรื่องนี้ เมื่อได้ฟังคุณชายจอมวางท่าก็หัวเราะขึ้นมาอย่างขบขัน
“ฮ่า ฮ่า ฮ่า”
เหล่าลูกน้องผู้ภักดีของเขาก็พากันหัวเราะ แม้ว่าบางคนจะลงไปนอนกองอยู่ที่พื้นแล้วก็ตาม พวกเขาเองก็ไม่เชื่อคำพูดของฉีฉี
“หุบปาก!”
เมื่อได้ยินวาจาของหลี่หลิน กลุ่มหนุ่มสาวทั้งสามก็กล่าวขึ้นมาด้วยความโกรธอย่างพร้อมเพรียง
เมื่อเห็นสีหน้าที่โกรธจัดของฉินอวี้โม่ หลี่หลินและลูกน้องก็พากันเงียบกริบในทันที พวกเขาสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายและบรรยากาศแห่งความตายจากกายของฉินอวี้โม่ ซึ่งมันก็ทำให้พวกเขารู้สึกขนลุกอย่างบอกไม่ถูก
“หลี่หลิน คำพูดเมื่อครู่ของเจ้าถือว่ามีโทษ ฐานหมิ่นเบื้องสูง หากเจ้าเมืองทราบเรื่องนี้ เจ้าจะต้องถูกลงโทษสถานหนักแน่นอน”
ฉินอวี้โม่กล่าววาจาข่มขู่ หลี่หลินผู้นี้หยิ่งยโสจนน่าขันแถมยังโง่งมอย่างแท้จริง
“ฮ่าฮ่า หากท่านลุงของข้ารู้ว่ามีคนหน้าไม่อายแอบอ้างเป็นเชื้อพระวงศ์ ข้าเองก็อยากจะเห็นเช่นกันว่าใครกันแน่ที่จะถูกลงโทษฐานหมิ่นองค์จักรพรรดิ”
หลี่หลินยังคงหัวเราะออกมาอย่างไม่เกรงกลัว
“เจ้าเดรัจฉาน หุบปากเดี๋ยวนี้นะ!”
ทันทีที่สิ้นเสียงของหลี่หลิน คนกลุ่มหนึ่งก็รีบตรงเข้ามายังจุดที่พวกเขาอยู่
ผู้ที่เดินนำขบวนเป็นชายวัยกลางคนที่กำลังทอแววตาเดือดดาล เขาผู้นี้ก็คือเจ้าเมืองเยว่กวาง–ลั่วชิงซาน ส่วนผู้ที่อยู่ข้างกายเขาและกำลังส่งยิ้มให้ฉินอวี้โม่อยู่ในขณะนี้ก็คือ ลั่วอวิ๋น
ตรงกลางของขบวนนั้น มีรถม้าหรูหราราคาสูงอยู่คันหนึ่ง ซึ่งผู้ที่นั่งอยู่ด้านก็คือเหวินหย่าและเสี่ยวโร่ว เมื่อเห็นตัวเห็นฉินอวี้โม่ เสี่ยวโร่วก็กระโดดลงจากรถม้าทันทีก่อนจะรับตัวนายหญิงเหวินหย่า แล้วพาเดินตรงมายังจุดที่หนุ่มสาวนักล่าหมาป่ารุ่นเยาว์ยืนอยู่