ณ ชั้นที่เจ็ดของหอคอยต้องห้าม เวลานี้หานซวนหยวนและไป่หลี่จิ่นซิ่วสังเกตเห็นสถานการณ์ในกระจกสะท้อนและเริ่มกังวลขึ้นมาเล็กน้อย
ทั้งสองรู้สึกได้ว่าสถานการณ์การต่อสู้รอบหอคอยก่อนหน้านี้สงบลงแล้ว ผู้อาวุโสทั้งหมดก็กลับสู่สภาวะปกติและกลับไปจดจ่อกับหน้าที่ความรับผิดชอบของตน
“มีคนกำลังมา”
เมื่อได้ยินเสียงฝีเท้าของคนสองคนดังใกล้เข้ามาเรื่อย ๆ หานซวนหยวนและไป่หลี่จิ่นซิ่วก็หันมองหน้ากันด้วยสีหน้าแสดงถึงความประหม่ากังวลใจ
แม้ทั้งสองจะผ่านร้อนผ่านหนาวมามาก ทว่าเมื่อนึกถึงผู้ที่กำลังจะได้พบในอีกไม่กี่อึดใจข้างหน้า มันก็ยากที่สองสามี-ภรรยาจะระงับความตึงเครียดในหัวใจ
สายตาของทั้งสองจับจ้องไปในทิศทางของบันไดขณะสีหน้าบ่งบอกถึงความรู้สึกมากมาย ไม่ว่าจะเป็นความคาดหวัง ความกังวลและความสุขต่างก็ฉายวาบสลับไปมาอยู่ในแววตาของพวกเขา
“ท่านพ่อ… ท่านแม่…”
เสียงเอ่ยเรียกเบา ๆ ดังขึ้นมาสองเสียง จากนั้นหานโม่ฉือและฉินอวี้โม่ก็ปรากฏขึ้นมาตรงหน้า
ไป่หลี่จิ่นซิ่วบ่อน้ำตาแตกทันทีขณะน้ำตาใสไหลอาบพวงแก้มเมื่อเห็นใบหน้าที่คล้ายกับหานซวนหยวนของบุรุษผู้มาใหม่นี้
“โม่ฉือ…ลูกแม่”
นางไม่อาจห้ามใจได้อีกต่อไปและวิ่งปรี่เข้าไปโผกอดหานโม่ฉือพร้อมกับใบหน้าที่อาบไปด้วยน้ำตาแห่งความสุข
มารดาและบุตรชายมีสายสัมพันธ์เชื่อมต่อกันทางความคิดและจิตใจ นี่คือบุตรชายของนางที่ต้องพลัดพรากจากกันนานเกือบสามทศวรรษ ตลอดเวลาของการอยู่ในหอคอยต้องห้ามที่ผ่านมา สิ่งเดียวที่นางกังวลไม่คลายและเฝ้าโหยหามาเสมอก็คือหานโม่ฉือ—บุตรชายที่ถูกส่งตัวไปที่ดินแดนหวนหลิง ในที่สุดตอนนี้เมื่อบุตรชายปรากฏตัวขึ้นมาตรงหน้า แล้วไป่หลี่จิ่นซิ่วจะไม่ตื่นเต้นและสุขใจได้อย่างไร ?
เมื่อสัมผัสได้ถึงความรักอย่างสุดหัวใจของผู้เป็นมารดา ใบหน้าของหานโม่ฉือก็คลี่ยิ้มกว้างและน้ำตาเริ่มรื้นในดวงตาเล็กน้อย ดวงตาของฉินอวี้โม่ซึ่งอยู่ด้านข้างก็รื้นขึ้นมาเช่นกันและนางสัมผัสได้ว่ามารดาของหานโม่ฉือมีความรักที่แท้จริงต่อเขา
“ซิ่วเอ๋อร์ อย่าลืมว่าลูกสะใภ้ของเราก็อยู่ที่นี่ด้วย”
ดวงตาของหานซวนหยวนแดงก่ำด้วยความดีใจจนน้ำตาแทบไหลออกมาเช่นกัน และรอยยิ้มกว้างก็ประดับอยู่บนใบหน้าของเขา เขากวาดสายตามองไปที่สตรีโฉมงามด้านข้างหานโม่ฉือและยิ้มให้กับนาง จากนั้นเขาก็ประคองไป่หลี่จิ่นซิ่วกลับมาและปาดน้ำตาจากใบหน้าของภรรยา
“โอ้ จริงด้วย ใช่ ใช่ ข้าตื่นเต้นมากเกินไป !”
ไป่หลี่จิ่นซิ่วเช็ดน้ำตาด้วยความดีใจขณะมองไปที่ฉินอวี้โม่
หานโม่ฉือจับมือฉินอวี้โม่ก่อนทั้งสองคุกเข่าลงและก้มศีรษะแสดงความเคารพต่อหานซวนหยวนและไป่หลี่จิ่นซิ่วอย่างนอบน้อม
“ลุกขึ้นเถอะ ลุกขึ้นเถอะลูกรักทั้งสอง”
ไป่หลี่จิ่นซิ่วเดินตรงเข้าไปหาฉินอวี้โม่และประคองสะใภ้คนงามลุกขึ้นยืน นางมองฉินอวี้โม่ด้วยแววตาอ่อนโยนพลางพยักศีรษะอย่างพึงพอใจ
“ลูกชายโม่ฉือของเราพบสะใภ้ที่ยอดเยี่ยมจริงเชียว”
ไม่ว่าจะเป็นคุณสมบัติด้านใด ฉินอวี้โม่ก็ล้วนคู่ควรกับหานโม่ฉืออย่างแท้จริง เพียงเรื่องที่นางฝ่าฟันอุปสรรคเข้ามาในหอคอยต้องห้ามเคียงข้างเขาโดยไม่หวาดหวั่นก็พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าความรักของทั้งสองแนบแน่นเพียงใด
เมื่อได้ยินคำเอ่ยชมของไป่หลี่จิ่นซิ่ว แม้แต่ฉินอวี้โม่ที่คุ้นชินกับคำเยินยอมาแล้วมากมายก็ใบหน้าระเรื่อขึ้นมา แม่สามีของนางช่างเป็นสตรีที่เอ่ยวาจาตรงไปตรงมาจริง ๆ
“ฮ่า ๆ ๆ ลูกพ่อ เจ้าดูโดดเด่นมากพรสวรรค์เหมือนพ่อของเจ้าในอดีตไม่มีผิด”
หานซวนหยวนตบไหล่หานโม่ฉือปุ ๆ และกล่าวด้วยรอยยิ้มภาคภูมิใจ
“ท่านพ่อ ท่านแม่ ครานี้เรามาที่หอคอยต้องห้ามก็เพื่อพาท่านทั้งสองไปจากที่นี่ขอรับ”
หานโม่ฉือกล่าวออกมา ก่อนที่จะตัดสินใจบุกเข้ามาที่นี่ เขาและฉินอวี้โม่วางแผนเตรียมการไว้ล่วงหน้าแล้วโดยจะใช้คฤหาสน์เฟิงหัวของฉินอวี้โม่เพื่อพาบิดาและมารดาออกไปจากหอคอยต้องห้ามแห่งนี้
“ไม่ได้หรอก เรายังไปไม่ได้…”
ทันทีที่หานโม่ฉือกล่าวจบ หานซวนหยวนก็ปฏิเสธทันควัน แม้ต้องการไปจากที่นี่เต็มที ตอนนี้ก็ยังมิใช่เวลาที่เหมาะสม
“โม่ฉือ อวี้โม่ เราเข้าใจความตั้งใจของเจ้าทั้งสอง หากเป็นก่อนหน้านี้ เราคงจะเลือกไปจากที่นี่โดยไม่ลังเล ทว่าตอนนี้เราเพิ่งค้นพบเรื่องบางอย่าง หากไม่ได้สืบสวนเรื่องนี้ให้ชัดเจนเสียก่อน เราก็ไม่อาจไปจากที่นี่ได้อย่างสบายใจ”
ร่องรอยความระแวดระวังฉายชัดบนใบหน้าของไป่หลี่จิ่นซิ่วราวกับมีบางสิ่งบางอย่างที่ทำให้นางและหานซวนหยวนรู้สึกถึงวิกฤตร้ายแรงจนไปจากที่นี่ไม่ได้
เมื่อเห็นสีหน้าของคนทั้งสอง ฉินอวี้โม่และหานโม่ฉือก็ฉงนสนเท่ห์ยิ่งนัก
“เมื่อไม่นานมานี้ เราเพิ่งค้นพบบางอย่างที่เกี่ยวข้องกับความเป็นอยู่ของตระกูลหาน แม้จะเคยเกิดเรื่องที่เลวร้ายในตอนนั้น ตระกูลหานก็ยังถือว่าเป็นตระกูลของเรา ยิ่งไปกว่านั้น ในตอนนั้นท่านปู่ของเจ้าก็ต้องการเก็บเจ้าไว้และไม่ปฏิบัติตามคำทำนายใด ๆ ทว่าท้ายที่สุดเขาก็ถูกบีบบังคับจนไม่มีทางเลือก ก่อนที่เขาจะตายไป เขาก็ได้สั่งเสียให้ข้าดูแลตระกูลหานให้ดีที่สุดไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ตาม เพราะฉะนั้นเราจึงไปจากหอคอยต้องห้ามไม่ได้ในตอนนี้”
หานซวนหยวนกล่าวกับหานโม่ฉือและฉินอวี้โม่เพียงคร่าว ๆ โดยไม่อธิบายขยายความมากนัก
“ท่านพ่อ ท่านแม่ มันเกี่ยวข้องกับหานชางหรือไม่ ?”
ฉินอวี้โม่และหานโม่ฉือพอจะสังเกตเห็นสัญญาณบางอย่างได้แล้วทว่ายังไม่อาจยืนยันได้ สีหน้าท่าทางของหานซวนหยวนและไป่หลี่จิ่นซิ่วในตอนนี้พิสูจน์ข้อสันนิษฐานของทั้งสองมากยิ่งขึ้น หานชางจะต้องวางแผนสมคบคิดบางอย่างที่เป็นภัยต่อพวกเขาอย่างแน่นอน
“พี่ซวนหยวน โม่ฉือและอวี้โม่ตัดสินใจเองได้ อย่าปิดบังข้อมูลจากทั้งสองเลย ยิ่งไปกว่านั้น ข้าเชื่อว่าพรสวรรค์และความแข็งแกร่งของพวกเขาก็แกร่งกล้ากว่าเราในอดีตเสียอีก บางทีหากได้ทราบเรื่องนี้ เราอาจมีวิธีรับมือกับมันได้ดียิ่งขึ้นก็เป็นได้”
ไป่หลี่จิ่นซิ่วมองไปที่ฉินอวี้โม่และหานโม่ฉือก่อนกล่าวกับสามีด้วยแววตาภาคภูมิใจ ตลอดหลายปีที่ผ่านมา นางและหานซวนหยวนไม่มีโอกาสทำหน้าที่ความรับผิดชอบในฐานะบิดามารดา ทว่าการที่บุตรชายของตนยังสามารถพัฒนาจนประสบความสำเร็จและมีความแข็งแกร่งที่มากถึงเพียงนี้ มันก็เป็นสิ่งที่ทำให้นางภาคภูมิใจอย่างที่สุด
หานซวนหยวนก็สัมผัสได้ถึงความแข็งแกร่งของฉินอวี้โม่และหานโม่ฉือเช่นกัน เขาพยักศีรษะเบา ๆ และตัดสินใจที่จะบอกทั้งสองเกี่ยวกับเบาะแสที่ได้รับมา
“ท่านพ่อ ท่านแม่ เราเปลี่ยนที่คุยกันก่อนเถอะเจ้าค่ะ”
ฉินอวี้โม่ยิ้มอย่างเป็นมิตรก่อนหยิบคฤหาสน์เฟิงหัวของตนออกมาและผายมือส่งสัญญาณให้หานซวนหยวนและไป่หลี่จิ่นซิ่วก้าวเข้าไปข้างใน
สองสามีภรรยาก็เป็นบุคคลที่มากความรู้มากความสามารถ ทันทีที่ได้เห็นคฤหาสน์ล่องหน หานซวนหยวนและไป่หลี่จิ่นซิ่วก็ทราบได้ทันทีว่ามันคือสิ่งใด
“มิติที่สอง ไม่คิดเลยว่าจะมีสิ่งที่วิเศษเช่นนี้อยู่บนดินแดนจริง ๆ”
ไป่หลี่จิ่นซิ่วสำรวจคฤหาสน์เฟิงหัวอย่างพินิจพิจารณาก่อนจับมือหานซวนหยวนเดินตรงเข้าไปอย่างไม่ลังเล ฉินอวี้โม่และหานโม่ฉือก็เดินตามเข้าไปด้วยกันก่อนที่คฤหาสน์หลังน้อยจะหายวับไปจากหอคอยชั้นที่เจ็ดแห่งนี้
ภายในคฤหาสน์เฟิงหัว หานซวนหยวนและไป่หลี่จิ่นซิ่วก็มองสำรวจไปรอบ ๆ ด้วยความทึ่งใจยิ่งกว่าเดิม สองสามี-ภรรยาไม่เคยพบเห็นมิติที่สองที่สมบูรณ์แบบเช่นนี้มาก่อน
“คฤหาสน์หลังนี้เป็นผลงานของอวี้โม่เอง”
หานโม่ฉือยิ้มและกล่าวเบา ๆ ส่งผลให้บิดามารดาของเขาหันขวับมองไปที่ฉินอวี้โม่ด้วยความตกตะลึง ทั้งสองไม่คิดเลยว่าบุตรชายของตนจะพบสะใภ้ที่ทรงพลังเช่นนี้
ทั้งสี่นั่งลงอย่างสบาย ๆ ก่อนที่หานซวนหยวนจะเริ่มกล่าวข้อมูลที่เขาเพิ่งค้นพบเมื่อไม่นานมานี้ให้ฉินอวี้โม่และหานโม่ฉือได้ทราบอย่างช้า ๆ
อันที่จริง เขามิใช่คนที่ค้นพบเบาะแสดังกล่าว หากแต่เป็นหานหยวน—น้องชายต่างมารดาของเขา
แม้หานหยวนจะหาทางทำให้หานชางไว้ใจได้สำเร็จตลอดหลายปีที่ผ่านมานี้ เขาก็แทบไม่มีโอกาสได้เข้าไปในหอคอยต้องห้าม ทว่าเมื่อไม่นานมานี้ เขาก็หาข้ออ้างเข้ามาในหอคอยได้ครั้งหนึ่งและแจ้งข่าวที่ทำให้หานซวนหยวนและไป่หลี่จิ่นซิ่วต้องเป็นกังวลขึ้นมา
“โม่ฉือ อวี้โม่ เจ้าทั้งสองเคยได้ยินเกี่ยวกับทักษะหุ่นเชิดหรือไม่ ?”
หานซวนหยวนมองคนหนุ่มสาวและเอ่ยถาม เห็นได้ชัดว่า ‘ทักษะหุ่นเชิด’ ที่ว่านี้ทำให้เขากังวลไม่น้อยเลยทีเดียว
“ทักษะหุ่นเชิดงั้นรึ ?”
ฉินอวี้โม่และหานโม่ฉือหันมองหน้ากันทันทีขณะข้อมูลที่มีเกี่ยวกับศาสตร์ด้านวิชาหุ่นเชิดปรากฏในความคิดอย่างรวดเร็ว
กล่าวได้ว่าทักษะหุ่นเชิดเป็นหนึ่งในทักษะต้องห้ามในดินแดนเทพมายา ผู้ที่ศึกษาทักษะวิชาดังกล่าวจะสามารถควบคุมผู้อื่นและทำให้คนผู้นั้นกลายเป็นเหมือนหุ่นเชิดในกำมือของตนได้ เว้นเพียงแต่ว่าผู้ใช้ทักษะนั้นตายไป ผู้ที่เป็นหุ่นเชิดก็จะถูกควบคุมไปตลอดชีวิต
ในสงครามครั้งประวัติศาสตร์ของดินแดนเมื่อพันปีก่อน หนึ่งในสมาชิกของฝ่ายมารก็เป็นผู้ที่เชี่ยวชาญในทักษะหุ่นเชิดนี้ เขาใช้วิชาต้องห้ามนี้เพื่อควบคุมคนมากมายในดินแดนส่งผลให้เกิดเหตุการณ์รบราฆ่าฟันที่โหดเหี้ยมครั้งใหญ่
หากมิใช่เพราะมียอดฝีมือคนหนึ่งสังหารคนผู้นั้นได้สำเร็จ คาดการณ์ได้ว่าสมาชิกฝ่ายดินแดนเทพมายาคงจะตกอยู่ภายใต้การควบคุมของทักษะหุ่นเชิดของเขาไปอีกมากและบทลงเอยของสงครามครานั้นจะเปลี่ยนแปลงไปอย่างสิ้นเชิง
เพราะเหตุนั้น ทักษะหุ่นเชิดจึงกลายเป็นสิ่งที่คนมากมายในดินแดนต่างก็หวาดกลัว แม้แต่จอมยุทธ์ในขอบเขตนภาเซียนก็ยังหวาดหวั่นต่อทักษะต้องห้ามอันชั่วร้ายนี้อย่างยิ่ง
“ท่านพ่อ ท่านหมายความว่าหานชางคิดจะใช้ทักษะหุ่นเชิดนี้เพื่อควบคุมท่านและท่านแม่ รวมถึงทุกคนในตระกูลหานอย่างนั้นหรือเจ้าคะ ?”
แม้ฉินอวี้โม่จะยังสงสัยอยู่ แต่ในใจของนางก็พอจะมั่นใจบางส่วนแล้ว หากมิใช่เพราะสาเหตุนี้ นางคิดไม่ออกเลยว่าสิ่งใดที่จะทำให้หานซวนหยวนมีท่าทีหวาดหวั่นอย่างชัดเจนถึงเพียงนี้
“เกรงว่ามันคงมิใช่เพียงแค่นั้น หากข้าเดาไม่ผิด เขาคิดที่จะใช้ทักษะหุ่นเชิดเพื่อควบคุมทุกคนที่เข้าร่วมงานรวมพลสี่ตระกูลลับครานี้ ตราบใดที่ควบคุมศิษย์มากฝีมือเหล่านั้นได้ มันก็จะเทียบเท่ากับการมีทั้งสี่ตระกูลโบราณอยู่ในกำมือ และหากเขาร่วมมือกับฝ่ายมารอีกละก็ ผลที่เกิดขึ้นจะเป็นหายนะอย่างแน่นอน”
หานซวนหยวนกล่าวพร้อมถอนหายใจออกมา หากเขาทราบถึงความทะเยอทะยานอันโหดร้ายของหานชางมาตั้งแต่แรก ในอดีตเขาก็คงหาทางกำจัดหานชางไปนานแล้วและไม่ปล่อยให้คนใจหยาบผู้นั้นได้มีโอกาสก่อกรรมทำชั่วมากมายเช่นนี้
หานโม่ฉือขมวดคิ้วมุ่นเล็กน้อยและกล่าวออกไป “นี่ยังไม่ใช่สถานการณ์ที่แย่ที่สุด เพราะหากหานชางถูกควบคุมโดยฝ่ายมารและกลายเป็นหุ่นเชิดของฝ่ายมารไปแล้วนั้น เมื่อใดที่แผนการร้ายของเขาประสบความสำเร็จ ตระกูลหานของเราก็จะถึงคราวล่มสลายและไม่อาจฟื้นคืนได้อย่างแน่นอน ทั้งดินแดนเทพมายาก็จะต้องเผชิญกับหายนะครั้งรุนแรง”
วาจาของหานโม่ฉือทำให้หานซวนหยวนและไป่หลี่จิ่นซิ่วหันมองหน้ากันด้วยความกังวลยิ่งกว่าเดิม ข้อสันนิษฐานของหานโม่ฉือสมเหตุสมผลและเป็นไปได้มากอย่างแท้จริง หากหานชางถูกควบคุมแล้วจริง ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นหลังจากนี้ก็จะต้องเลวร้ายจนเหนือจินตนาการของพวกเขาทุกคน
“เพราะเหตุนั้น ท่านพ่อและท่านแม่จึงปฏิเสธที่จะไปจากหอคอยต้องห้ามเพราะต้องการพิสูจน์ว่ามันเป็นความจริงหรือไม่ หากเป็นจริงดังที่คิด หานชางจะต้องถือโอกาสนี้มาที่หอคอยเพื่อพยายามควบคุมท่านทั้งสองก่อน และเมื่อถึงตอนนั้น ท่านพ่อและท่านแม่ก็จะหาทางตอบโต้กลับและทำลายแผนการสมคบคิดที่ชั่วร้ายนี้เสีย”
ฉินอวี้โม่มองตรงไปที่สองสามี-ภรรยาและกล่าวข้อคาดเดาของตน
หานซวนหยวนและไป่หลี่จิ่นซิ่วพยักศีรษะเบา ๆ โดยไม่คิดที่จะปฏิเสธหรือปิดบัง นี่เป็นแผนการที่ทั้งสองวางไว้อย่างแท้จริงและเป็นสาเหตุที่ยังไม่ต้องการออกจากหอคอยต้องห้ามในตอนนี้
“ท่านพ่อ ท่านแม่ แผนการของท่านถือว่าสมเหตุสมผลทีเดียว เพียงแต่หานชางมิใช่คนที่จะรับมือได้ง่ายเลย หากเขาคิดจะใช้ทักษะหุ่นเชิดควบคุมพวกท่านจริง นั่นก็หมายความว่าเขาเตรียมแผนการมาดีแล้ว ด้วยความแข็งแกร่งในปัจจุบันของพวกท่าน ข้ากังวลว่าท่านทั้งสองอาจไม่สามารถรับมือกับไพ่ในมือของหานชางได้”
ฉินอวี้โม่ส่ายศีรษะเบา ๆ อย่างไม่เห็นด้วยกับการกระทำของทั้งสอง หานชางผู้นั้นจอมเจ้าเล่ห์และชั่วร้ายยิ่งนัก และด้วยการสนับสนุนของฝ่ายมาร สถานการณ์นี้ก็หนักหนาเกินกว่าที่พวกเขาจะรับมือได้ง่าย ๆ
ยิ่งไปกว่านั้น นอกจากหานชางก็ยังมีความไม่แน่นอนอีกอย่างหนึ่ง…
.