ณ ชั้นที่เจ็ดของหอคอยต้องห้ามตระกูลหาน บุรุษและสตรีคู่หนึ่งกำลังอิงแอบแนบชิดเคียงข้างกัน
ทั้งสองมีรูปลักษณ์สง่างามดั่งเทพบุตรเทพธิดามาจุติและมีกลิ่นอายที่โดดเด่นเหนือธรรมชาติแผ่ออกมา ยิ่งไปกว่านั้น ทั้งสองก็ยังดูอ่อนเยาว์ราวกับว่ามีอายุอยู่ในช่วงประมาณสามสิบปีเท่านั้น
รูปลักษณ์ของผู้เป็นบุรุษดูคล้ายกับหานโม่ฉือหลายส่วน แน่นอนว่าเขาคือหานซวนหยวน—บิดาของหานโม่ฉือนั่นเอง และสตรีข้างกายเขาก็คือไป่หลี่จิ่นซิ่วผู้งดงามทรงเสน่ห์และเป็นมารดาของหานโม่ฉือเช่นกัน
“หืม ? ดูเหมือนจะมีคนที่พยายามฝ่าเข้ามาในหอคอยต้องห้าม ?”
เดิมทีทั้งสองกำลังสนทนาพาทีกันอย่างสบาย ๆ ทว่าจู่ ๆ หานซวนหยวนก็สัมผัสได้ถึงคลื่นพลังผันผวนแรงกล้าข้างนอกหอคอยก่อนที่จะกล่าวขึ้นมาด้วยสีหน้าที่ประหลาดใจอย่างชัดเจน
“พี่ซวนหยวน ท่านคิดว่าผู้ที่กำลังฝ่าเข้ามาจะใช่โม่ฉือของเราหรือไม่ ?”
มารดาและบุตรชายมักที่จะมีสายใยเชื่อมต่อกันและวันนี้ไป่หลี่จิ่นซิ่วก็รู้สึกถึงลางสังหรณ์บางอย่างมาตลอดทั้งวัน เมื่อได้ยินวาจาของสามีเมื่อครู่ ข้อสันนิษฐานนี้ก็ผุดขึ้นในใจของนางทันที ในที่สุดหานโม่ฉือ—บุตรชายของทั้งสองก็มาถึง
หานซวนหยวนเพียงยิ้มบาง ๆ และหยิบกระจกบานเล็กออกมา หลังจากเขาหยดเลือดหยดหนึ่งลงบนกระจกดังกล่าว มันก็เปล่งแสงสว่างเจิดจ้าออกมาก่อนที่กระจกบานเล็กเท่าฝ่ามือจะขยายใหญ่ขึ้นจนมีความสูงเท่ากับมนุษย์คนหนึ่งและภาพเหตุการณ์บางอย่างก็ปรากฏขึ้นในนั้น
ภาพสะท้อนในกระจกคือสิ่งที่เกิดขึ้นข้างนอกหอคอยต้องห้ามในตอนนี้ ทว่าเมื่อหานซวนหยวนใช้งานกระจกดังกล่าว มันก็เป็นเวลาประจวบเหมาะกับที่ฉินอวี้โม่ดึงหานโม่ฉือเข้าไปในคฤหาสน์เฟิงหัวพอดิบพอดี เพราะเหตุนั้นเขาจึงเห็นเพียงเงาร่างของคนสองคนหายวับไปอย่างรวดเร็วและไม่อาจเห็นใบหน้าได้อย่างแน่ชัด
“นั่นผู้อาวุโสรองและผู้อาวุโสสามที่คุ้มกันหอคอยมิใช่รึ เหตุใดพวกเขาจึงต่อสู้กันเอง ?”
เมื่อเห็นผู้อาวุโสรองและผู้อาวุโสสามที่กำลังต่อสู้กันอย่างบ้าคลั่ง ไป่หลี่จิ่นซิ่วก็เอ่ยถามด้วยความสับสน เท่าที่นางทราบมาตลอดคือผู้อาวุโสเหล่านี้มีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกันมาตลอด ยิ่งไปกว่านั้น พวกเขาก็ร่วมมือกันคุ้มกันหอคอยต้องห้ามแห่งนี้เพื่อมิให้นางและสามีออกไปจากที่นี่ได้ แน่นอนว่าการที่ได้เห็นผู้อาวุโสสองคนต่อสู้กันอย่างดุเดือดเช่นนี้เป็นภาพที่น่าประหลาดใจยิ่งนัก
“ดูเหมือนว่าผู้อาวุโสทั้งสี่กำลังต่อสู้กับอะไรบางอย่าง สีหน้าของพวกเขาดูไม่ดีเลย”
หานซวนหยวนและไป่หลี่จิ่นซิ่วไม่สามารถมองเห็นข่ายอาคมมายาของฉินอวี้โม่ได้อย่างชัดเจน ทั้งสองมองเห็นเพียงผู้อาวุโสสามคนที่กำลังต่อสู้กับอะไรบางอย่างและคลื่นพลังของพวกเขาก็ค่อย ๆ ลดน้อยลง
“ช่างเป็นข่ายอาคมที่ทรงพลังยิ่งนัก !”
หลังจากสังเกตอย่างจดจ่อเป็นระยะหนึ่ง หานซวนหยวนและภรรยาก็คาดเดาบางอย่างขึ้นมา การที่ผู้อาวุโสห้ำหั่นกันเองเช่นนี้ไม่มีคำอธิบายอื่นนอกจากข่ายอาคม
“เห็นทีคนที่พยายามบุกเข้ามาในหอคอยวันนี้จะไม่ธรรมดาเอาเสียเลย น่าเสียดายที่เราไม่อาจมองเห็นได้ว่าพวกเขาซ่อนตัวอยู่ที่ใดและไม่เห็นแม้แต่เงาของพวกเขาด้วยซ้ำ”
ผู้ที่สามารถวางข่ายอาคมทับซ้อนในข่ายอาคมเดิมที่มีอยู่และทำให้บรรดาผู้อาวุโสที่ทรงพลังตกอยู่ในสถานการณ์ที่น่าอับอายเช่นนี้ได้จะต้องเป็นบุคคลที่มากฝีมือและมากพรสวรรค์เป็นแน่ เพียงแต่ทั้งสองยังไม่ทราบแน่ชัดว่าใช่บุตรชายของตนหรือไม่ พวกเขาเฝ้ารอมานานเหลือเกิน หากพิจารณาจากเวลาที่ผ่านมา ตอนนี้ก็ถึงเวลาที่หานโม่ฉือจะมาที่นี่ด้วยตัวเองแล้ว
“ข้าเชื่อว่าจะต้องเป็นโม่ฉือของเราแน่”
ไป่หลี่จิ่นซิ่วกล่าวด้วยน้ำเสียงหนักแน่นมั่นใจ แม้ว่านางจะเป็นสตรีที่อ่อนโยนอย่างมาก ทว่านางก็เข้มแข็งและกล้าหาญยิ่งกว่าสตรี ๆ ทั่วไปเช่นกัน แม้เกิดเรื่องราวซับซ้อนมากมายในจวนตระกูลหานปีนั้น นางก็ไม่เคยทอดทิ้งสามีอย่างหานซวนหยวน เดิมทีการที่นางเป็นคุณหนูใหญ่ของตระกูลไป่หลี่ เมื่อถูกจับตัวกลับมาที่จวนตระกูลหาน นางก็มีโอกาสเลือกกลับไปที่ตระกูลเดิมของตนได้ ตราบใดที่นางยุติความสัมพันธ์สามีภรรยากับหานซวนหยวน นางก็ไม่จำเป็นต้องรับโทษอยู่ในหอคอยต้องห้ามแห่งนี้และสามารถกลับไปที่ตระกูลไป่หลี่เพื่อเริ่มต้นใหม่ได้อย่างไม่มีสิ่งใดติดพัน
อย่างไรก็ตาม ไป่หลี่จิ่นซิ่วปฏิเสธทางเลือกนั้น นางยินดีที่จะละทิ้งรากฐานการฝึกยุทธ์ของตนและอยู่เคียงข้างสามีในหอคอยต้องห้าม แม้ทั้งสองจะถูกกักขังไว้ที่นี่มาตลอดหลายปี นางและหานซวนหยวนก็ไม่เศร้าโศกแต่อย่างใด หนำซ้ำยังรู้สึกผ่อนคลายอย่างยิ่ง เว้นเพียงแต่ความกังวลในเรื่องหานโม่ฉือที่ถูกส่งตัวไปที่ดินแดนหวนหลิง ทั้งสองก็ไม่มีเรื่องอื่นใดที่ต้องคิดให้หนักใจ
หลังจากหลายปีผ่านมา ทั้งสองก็เฝ้ารอการมาถึงของบุตรชายมาเสมอด้วยเชื่อว่าหานโม่ฉือจะต้องมีฝีมือเก่งกาจอย่างแน่นอน ไม่ว่าจะเป็นพรสวรรค์ ความสามารถหรือลักษณะนิสัย หานโม่ฉือจะต้องยอดเยี่ยมกว่าบิดามารดาอย่างตนเป็นแน่
ยิ่งไปกว่านั้น ด้วยอุปสรรคขวางกั้นที่ทรงพลังมากมายซึ่งถูกเตรียมไว้นอกหอคอยต้องห้าม แม้ว่าหลายปีที่ผ่านมานี้หานซวนหยวนและไป่หลี่จิ่นซิ่วจะฟื้นฟูความแข็งแกร่งมาได้บางส่วนแล้ว ทั้งสองก็ไม่มีทางไปจากที่นี่ได้เลย
ทั้งสองก็เชื่อว่าหานชางไม่กล้ากำจัดตนเพราะความรู้สึกกระดากใจ หานซวนหยวนและไป่หลี่จิ่นซิ่วจึงอยู่อย่างมีความสุขและผ่อนคลายมาตลอดหลายปี
“ไม่ว่าจะใช่หรือไม่ เราจะได้ทราบในไม่ช้า หากหานโม่ฉือลูกของเรามาที่นี่จริง ๆ เขาก็ยังต้องเผชิญหน้ากับบุรุษผู้นั้นก่อน”
หานซวนหยวนก้มมองเท้าของตนเองและความดุดันฉายชัดในแววตา สำหรับ ‘บุรุษผู้นั้น’ ที่เขากล่าวถึง หานซวนหยวนมีเพียงจิตสังหารที่แรงกล้าให้กับอีกฝ่ายเท่านั้น หากมิใช่เพราะบุรุษผู้นั้น ครอบครัวของเขาก็คงจะไม่พลัดพรากจากกันและทนทุกข์ใจเช่นนี้ อีกทั้งบิดาของเขาก็คงไม่ถูกหานชางฆ่าตาย
ไป่หลี่จิ่นซิ่วจับมือสามีและเขย่าเบา ๆ เพื่อปลอบประโลมให้กำลังใจเขา แม้ว่านางไม่ได้เอ่ยวาจาใดออกไป แต่นี่ก็ถือว่าเป็นการให้กำลังใจที่ดีที่สุดสำหรับหานซวนหยวนแล้ว นางยินดีเดินหน้าฝ่าฟันอุปสรรคทุกอย่างไปกับหานซวนหยวน ไม่ว่าอนาคตข้างหน้าจะต้องพบเจอสิ่งใด นางก็ไม่หวาดหวั่นแม้แต่น้อย
ในขณะที่สองสามี-ภรรยากำลังจดจ่อกับสถานการณ์รอบ ๆ หอคอยต้องห้ามอยู่นั้น เวลานี้ ณ ประตูทางเข้าชั้นแรกของหอคอยก็มีบุรุษผู้หนึ่งที่กำลังให้ความสนใจกับสถานการณ์โดยรอบเช่นเดียวกัน
บุรุษผู้นี้สวมอาภรณ์สีขาวและมีสีหน้าเรียบเฉย เขามีรูปลักษณ์หล่อเหลาและแววตาที่ลึกล้ำเกินหยั่งถึง ร่างของเขาแผ่กลิ่นอายความคลุมเครือลึกลับบางอย่างซึ่งให้ความรู้สึกที่น่าสะพรึงกลัวอย่างยิ่ง
รูปลักษณ์ภายนอกของเขาดูเหมือนอยู่ในช่วงอายุเพียงยี่สิบปีเท่านั้นทว่าแท้ที่จริงแล้วเขามีอายุอย่างน้อยหลายร้อยปี
ในอดีตครานั้น เขาพยากรณ์ว่าหานโม่ฉือเป็นตัวกาลกิณีที่จะนำพาหายนะมาสู่ตระกูลหาน และเป็นเพราะวาจาของเขาที่ทำให้หานโม่ฉือถูกส่งตัวไปที่ดินแดนหวนหลิงในขณะที่หานซวนหยวนและไป่หลี่จิ่นซิ่วถูกขังไว้ในหอคอยต้องห้ามแห่งนี้
ตลอดหลายปีที่ผ่านมา เขาไม่เคยออกไปจากจวนตระกูลหานและคุ้มกันทางเข้าหอคอยต้องห้ามของตระกูลหานมาเสมอ ไม่มีผู้ใดทราบจุดประสงค์และความแข็งแกร่งที่แท้จริงของเขา
“ในที่สุดก็ถึงเวลาเสียที”
เขาส่ายศีรษะอย่างจนปัญญาและถอนหายใจเบา ๆ กับตัวเองขณะมองดูภาพในกระจกสะท้อนตรงหน้า
ทว่าแตกต่างจากหานซวนหยวนและไป่หลี่จิ่นซิ่ว เขาผู้นี้มองเห็นตำแหน่งของคฤหาสน์เฟิงหัวได้อย่างชัดเจน
ในความเป็นจริง เขาสัมผัสได้ถึงตัวตนของฉินอวี้โม่และหานโม่ฉือนับตั้งแต่ตอนที่ทั้งสองฝ่าผ่านข่ายอาคมหลายชั้นรอบหอคอยต้องห้ามเมื่อวานนี้ และเมื่อได้เห็นคนหนุ่มสาวที่มีพรสวรรค์อันโดดเด่น เขาก็อดตกตะลึงไม่ได้
เพียงมองแวบเดียว เขาก็เข้าใจได้ว่าทั้งสองคนนี้ควรจะเป็นจอมยุทธ์เยาว์วัยที่มีอนาคตไกลที่สุดในดินแดน หากให้เวลาทั้งสองได้พัฒนาเติบโต ต่อให้เป็นคนจากพิภพเหนือสวรรค์ก็ไม่มีทางเอาชนะทั้งสองได้
หลังจากหลับตาลงและเพิกเฉยต่อภาพสถานการณ์ในกระจกไปอย่างสิ้นเชิง บุรุษผู้นั้นก็นั่งนิ่งอย่างใจเย็นเพื่อรอการมาถึงของหานโม่ฉือและฉินอวี้โม่
ณ ข้างนอกหอคอยต้องห้าม สถานการณ์ของผู้อาวุโสผู้พิทักษ์หอคอยยังคงคุกรุ่น
เดิมทีผู้อาวุโสรองแข็งแกร่งกว่าผู้อาวุโสสามอยู่เล็กน้อย อย่างไรก็ตาม เนื่องจากไม่ต้องการทำร้ายกันเอง เขาจึงยั้งมือและมิได้แสดงพลังออกมาทั้งหมด ในทางกลับกัน เนื่องจากอิทธิพลที่เกิดขึ้นเพราะกลิ่นอายที่แผ่ออกมาโดยเสี่ยวม่าน พลังในการต่อสู้ของผู้อาวุโสสามจึงพุ่งพรวดขึ้นมาก ในชั่วขณะหนึ่ง ผู้อาวุโสรองก็กลายเป็นฝ่ายเสียเปรียบและตกอยู่ในสถานการณ์ที่ไม่สู้ดีนัก
ทางฝ่ายผู้อาวุโสสี่ การเผชิญหน้ากับวงล้อมของอสูรมายาจำนวนมากทำให้เขาตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบอย่างรวดเร็ว เวลานี้เขามีบาดแผลทั่วทั้งร่างและคลื่นพลังของเขาอ่อนแอลงมาก สภาพของเขาในตอนนี้ดูน่าเวทนาไม่น้อยเลย
“พอแค่นี้ !”
ทันใดนั้น เสียงคำรามเสียงหนึ่งก็ดังสนั่นขึ้นจนแม้แต่ฉินอวี้โม่และหานโม่ฉือที่อยู่ในคฤหาสน์เฟิงหัวก็ได้ยินอย่างชัดเจน
“หานโม่ฉือ เราจะถือว่าเจ้าผ่านด่านนี้แล้ว ปลดข่ายอาคมเหล่านี้ออกซะและเราจะปล่อยให้เจ้าผ่านเข้าไปข้างในได้ !”
บุรุษชราคนหนึ่งปรากฏกายขึ้นมาระหว่างผู้อาวุโสรองและผู้อาวุโสสามเพื่อขัดขวางคนทั้งสองไว้ จากนั้นเขาก็หันมองไปในทิศทางของคฤหาสน์เฟิงหัวและกล่าวด้วยเสียงดังฟังชัด
เสียงของผู้อาวุโสใหญ่ถ่ายทอดไปถึงหูของทุก ๆ คนที่อยู่ในบริเวณนี้อย่างชัดเจน เห็นได้ชัดว่าเขาต้องการให้หานชางและคนอื่น ๆ ได้ยินตรงกัน
เมื่อได้ยินเสียงของผู้อาวุโสใหญ่ สีหน้าของหานชางและคนอื่น ๆ ก็เปลี่ยนไปเล็กน้อย ไม่คิดเลยว่าฉินอวี้โม่และหานโม่ฉือจะสามารถฝ่าทะลวงผ่านด่านป้องกันของผู้อาวุโสทั้งสี่ได้สำเร็จ
อย่างไรก็ตาม สถานะของผู้อาวุโสใหญ่ในตระกูลหานก็ถือว่าไม่ธรรมดาเลย แม้แต่หานชางที่เป็นถึงผู้นำตระกูลก็ยังไม่กล้าตั้งคำถามหรือสงสัยในวาจาของเขา
“ฮ่า ๆ ๆ ผู้อาวุโสแห่งตระกูลหาน ข่ายอาคมเหล่านี้จะสลายไปภายในเวลาเพียงสองก้านธูป ในเมื่ออนุญาตให้เราผ่านด่านนี้แล้ว เราก็ขอขอบคุณพวกท่านมาก”
แน่นอนว่าฉินอวี้โม่และหานโม่ฉือก็สัมผัสได้ว่าผู้อาวุโสใหญ่ผู้นี้ไม่ธรรมดาเลย ทว่าพวกนางทั้งสองก็เพียงเดินออกมาจากคฤหาสน์ล่องหนและมองตรงไปที่ผู้มาใหม่ด้วยสีหน้าเรียบเฉยและไม่หวาดหวั่นใด ๆ
“หานซวนหยวนให้กำเนิดลูกชายที่ยอดเยี่ยมจริง ๆ”
ผู้อาวุโสใหญ่มองหานโม่ฉือขณะสีหน้าไม่เปลี่ยนแปลงแม้แต่น้อยราวกับเพียงเผชิญหน้ากับบุรุษหนุ่มคนหนึ่ง มิใช่ผู้ที่ถูกกล่าวว่าเป็นตัวกาลกิณีของตระกูล
“ขอบคุณสำหรับคำชมขอรับ”
หานโม่ฉือกล่าวเพียงสั้น ๆ และไม่สนใจผู้อาวุโสใหญ่อีกต่อไปขณะจับมือฉินอวี้โม่เดินตรงเข้าไปในหอคอยต้องห้าม
ขณะมองดูแผ่นหลังที่เดินจากไปของคนทั้งสอง ประกายความคิดบางอย่างก็ฉายวาบในแววตาของผู้อาวุโสใหญ่ก่อนที่จะหายไปอย่างรวดเร็ว
หานโม่ฉือจับมือฉินอวี้โม่เดินตรงเข้าไปในหอคอยต้องห้ามอย่างช้า ๆ หอคอยแห่งนี้มีความสูงเจ็ดชั้นซึ่งถือว่าไม่สูงมากนัก เวลานี้ประตูหอคอยถูกเปิดไว้แล้วราวกับกำลังรอต้อนรับการมาถึงของคนทั้งสอง
ทั้งสองเดินตรงเข้าไปโดยไม่ลังเลและไร้ความกังวลใด ๆ แม้ไม่เคยพบหน้าบุรุษจากพิภพเหนือสวรรค์ผู้นั้นมาก่อน ฉินอวี้โม่และหานโม่ฉือก็มั่นใจลึก ๆ ว่าจะไม่เกิดอันตรายใด
“ฮ่า ๆ ๆ หลังจากเฝ้ารอมานาน ในที่สุดพวกเจ้าก็มาถึง”
เสียงหนึ่งดังขึ้นในหูของฉินอวี้โม่และหานโม่ฉือ จากนั้นบุรุษคนหนึ่งก็ปรากฏกายตรงหน้าพวกเขา
ทั้งสองไม่แปลกใจแม้แต่น้อยเมื่อได้พบหน้าบุรุษที่ปรากฏกายอย่างไร้ที่มาเช่นนี้ ในเมื่อมาจากพิภพเหนือสวรรค์ เขาก็ย่อมต้องมีคุณสมบัติที่โดดเด่นเหนือธรรมดา
บุรุษตรงหน้าในเวลานี้โดดเด่นทั้งด้านรูปลักษณ์และพลังอำนาจ ใบหน้าของเขาประดับด้วยรอยยิ้มเรียบเฉยที่ไม่บ่งบอกถึงความรู้สึกใดและแววตาของเขาก็ลึกล้ำจนผู้ที่สบตาอาจพลัดหลงเข้าไปได้ อีกทั้งร่างของเขาก็แผ่กลิ่นอายความดึงดูดที่น่าสนใจเป็นอย่างมากซึ่งทำให้ผู้คนสงสัยใคร่รู้ทว่าไม่กล้าสำรวจมากไป
“ท่านคือสมาชิกของพิภพเหนือสวรรค์ผู้นั้น…”
ฉินอวี้โม่กล่าวโดยไม่ลังเล หากมิใช่คนผู้นี้ก็ไม่มีใครอื่นแล้ว
“ฮ่า ๆ ๆ คู่ควรกับการเป็นผู้สืบทอดของกายเทพมายาจริง ๆ เฉลียวฉลาดไม่เบา”
บุรุษผู้นั้นยิ้มเล็กน้อยขณะมองฉินอวี้โม่ด้วยความพึงพอใจในความสามารถรวมถึงความแข็งแกร่งของนาง การที่สตรีผู้นี้ได้รับสืบทอดกายเทพมายาถือว่าเหมาะสมมากทีเดียว
“สิ่งที่เกิดขึ้นในอดีตเป็นเพราะท่าน…”
หานโม่ฉือกล่าวขึ้นเบา ๆ ทว่าสีหน้าของเขาไม่เปลี่ยนแปลงแม้เผชิญหน้ากับคนที่เขาควรจะโกรธแค้นเป็นที่สุด
“เจ้าไม่โกรธแค้นข้าอย่างนั้นหรือ ?”
เมื่อไม่รู้สึกถึงความโกรธแค้นไม่พอใจในน้ำเสียงของหานโม่ฉือ บุรุษชุดขาวก็เอ่ยถามด้วยความไม่เข้าใจนัก แม้ทราบว่าตัวเขาคือต้นเหตุของชะตากรรมอันเลวร้ายทั้งหมด หานโม่ฉือผู้นี้กลับยังนิ่งเฉยอยู่ได้ สิ่งนี้ช่างเหนือความคาดหมายอย่างแท้จริง…