หลังจากฉินอวี้โม่และทุกคนเก็บสมบัติของล้ำค่าทั้งหมดในซากปรักหักพังและย้อนกลับขึ้นไปตามเส้นทางบันไดจนถึงทางเข้า ประตูบานเดิมก็เปิดออกอีกครั้ง
ทันทีที่พวกนางก้าวพ้นออกไป เสียงถล่มก็ดังขึ้นเบื้องหลัง พื้นดินใต้ฝ่าเท้าของฉินอวี้โม่และสหายถล่มทลายและยุบลงไปทันทีจนเกิดความรู้สึกราวกับแผ่นดินไหว
ฉินอวี้โม่และคนอื่น ๆ เตรียมตัวไว้ล่วงหน้าแล้วและลอยตัวขึ้นจากพื้นอย่างรวดเร็ว
ภายในเวลาเพียงหนึ่งก้านธูป หลุมขนาดใหญ่ที่ดูไร้ที่สิ้นสุดก็ปรากฏใต้ฝ่าเท้าของพวกนาง จากนั้นเสียงน้ำไหลเชี่ยวก็ดังขึ้นขณะน้ำปริมาณมหาศาลหลั่งไหลออกมาใต้หลุมใหญ่อย่างฉับพลัน เพียงพริบตาเดียว พื้นที่โล่งก็เปลี่ยนกลายเป็นบ่อน้ำขนาดใหญ่
หากมองจากข้างบนจะไม่สามารถมองเห็นก้นบ่อได้และไม่อาจทราบได้ว่ามวลน้ำเหล่านี้มาจากที่ใด ทว่ามันใสชัดอย่างยิ่ง แม้ว่ามันเพิ่งปรากฏตรงหน้า ทุกคนก็มองเห็นปลาตัวน้อย ๆ ที่แหวกว่ายไปมาอย่างมีชีวิตชีวาอยู่ในนั้น
“โอ้ ยอดฝีมือผู้นี้มหัศจรรย์อย่างแท้จริง”
เมื่อเห็นความเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วที่เกิดขึ้นในซากปรักหักพัง อวิ๋นซื่อเทียนก็กล่าวด้วยน้ำเสียงเจือความชื่นชมไม่ได้
สิ่งที่เกิดขึ้นเกือบทั้งหมดถูกเตรียมการไว้โดยเจ้าของซากปรักหักพังเมื่อนานมาแล้ว เมื่อสมบัติและของล้ำค่าในนั้นถูกหยิบออกไป กลไกสุดท้ายของมันจะเริ่มทำงานโดยที่ซากปรักหักพังจะสูญสลายหายไปและเปลี่ยนกลายเป็นบ่อน้ำต่อหน้าทุก ๆ คน
“กลับไปที่นครเวหากันก่อนเถอะ”
ฉินอวี้โม่ไม่กล่าวสิ่งใดให้มากความ นางเพียงหันไปกล่าวกับอวิ๋นซื่อเทียนและทุกคนเพื่อเริ่มออกเดินทางมุ่งหน้าตรงไปในทิศทางของนครเวหา
เวลานี้หัวใจของนางเต็มไปด้วยข้อสงสัยมากมาย คำพูดทิ้งท้ายของจอมยุทธ์เจ้าของซากปรักหักพังก่อนหน้านี้ทำให้นางคิดไม่ตก
ก่อนหน้านี้บรรพชนของนาง—เทพมายาคนก่อนก็เคยกล่าวไว้ว่าวันหนึ่งพวกนางอาจได้พบกันอีกครั้ง ในขณะที่ยอดฝีมือผู้นี้ก็กล่าวสิ่งเดียวกันทิ้งท้ายก่อนจากไป
อย่างไรก็ตาม ในสิ่งที่ทราบโดยทั่วกันคือคนเหล่านั้นล้มตายไปนานแล้ว และหากเสียชีวิตไปแล้วจริง การพบกันอีกครั้งจะเป็นไปได้อย่างไร ?
เว้นเพียงแต่… ยอดฝีมือผู้แกร่งกล้าเหล่านั้นยังไม่ล่มสลายและยังมีชีวิตอยู่ในที่ใดสักแห่ง
“ภรรยาที่รัก โลกนี้ยังมีดินแดนอีกมากมายนอกเหนือจากดินแดนเทพมายาแห่งนี้ บางทีบรรดายอดฝีมือที่เราคิดว่าล้มตายไปแล้วอาจจะยังมีชีวิตกันอยู่ พวกเขาอาจจะจากดินแดนนี้ไปเพราะกฎหรือข้อจำกัดที่เฉพาะเจาะจงบางอย่างและอาศัยอยู่ในดินแดนอื่น เช่นเดียวกับท่านแม่ยายที่ไม่ได้อยู่ในดินแดนนี้เช่นกัน”
หานโม่ฉือและฉินอวี้โม่มีความคิดจิตใจตรงกันและเขาคาดเดาความคิดของฉินอวี้โม่ได้ทันทีจึงกล่าวออกไปพร้อมจับมือนางไว้ไม่ห่าง
คำพูดของหานโม่ฉือราวกับจุดประกายความคิดและฉินอวี้โม่กล่าวออกไปทันที
“บางทีความแข็งแกร่งของพวกเขาอาจแกร่งกล้าเกินกว่าจะอยู่ในดินแดนเทพมายาจึงต้องไปอาศัยอยู่ในมิติอื่น หากวันหนึ่งเราแข็งแกร่งมากพอ เราก็อาจทะลวงผ่านข้อจำกัดที่มีและไปที่มิติอื่นด้วยตัวเองได้ แน่นอนว่ามีความเป็นไปได้ที่เราจะพบกับพวกเขาเหล่านั้น”
ก่อนหน้านี้นางก็คิดมาตลอดว่าตัวตนในระดับเทพมายาจะล่มสลายไปง่าย ๆ ได้อย่างไร และเรื่องราวต่าง ๆ มากมายที่เกิดขึ้นตลอดช่วงเวลาที่ผ่านมาก็ทำให้นางทราบและเข้าใจเกี่ยวกับดินแดนทั้งหมดมากขึ้นเรื่อย ๆ
ไม่ว่าจะเป็นดินแดนหวนหลิงหรือว่าดินแดนอ้างว้าง พวกมันก็ล้วนมีขีดจำกัดพิเศษอยู่ นั่นคือผู้ที่แข็งแกร่งกว่าขอบเขตจ้าวพิภพไม่สามารถอยู่ในดินแดนหวนหลิงและจอมยุทธ์ขอบเขตพสุธาเซียนก็ไม่สามารถเข้าไปดินแดนอ้างว้างได้
เทพมายาคนก่อนและเจ้าของซากปรักหักพังแห่งนี้ล้วนมีพลังดุจดั่งตัวตนในสวรรค์ชั้นฟ้า บางทีอาจเป็นเพราะพลังของพวกเขาแกร่งกล้าเกินไปจนฝ่าข้ามระดับของขีดจำกัดบางอย่างและเผชิญกับข้อจำกัดใหม่ เพราะเหตุนั้นพวกเขาจึงต้องไปจากดินแดนเทพมายาแห่งนี้
หากเป็นเช่นนั้น วาจาของพวกเขาก็ฟังดูสมเหตุสมผลขึ้นมา หากมีบุญวาสนาต่อกัน ฉินอวี้โม่ก็อาจได้พบกับคนเหล่านั้นอีกครั้ง
“เอาล่ะ อย่าเพิ่งคิดมากในตอนนี้เลย สิ่งสำคัญที่เราต้องทำในตอนนี้คือหาทางพัฒนาพลังให้แกร่งกล้ามากขึ้นเพื่อที่จะต่อกรกับสมาชิกของฝ่ายมารให้ได้และสะสางปัญหาสงครามที่กำลังจะปะทุภายในดินแดนเทพมายาแห่งนี้”
อวิ๋นซื่อเทียนกล่าวพร้อมรอยยิ้ม นางพอจะคาดเดาสิ่งนี้ได้แล้ว ยิ่งไปกว่านั้น หากไม่มีขุมกำลังมารร้ายที่เป็นปัญหากวนใจ นางก็คงจะเดินไปในเส้นทางของการฝ่าทะลวงข้อกำจัดที่ว่านั้นนานแล้วและคงไม่อยู่ในดินแดนเทพมายามาถึงจนทุกวันนี้
การเดินทางใช้เวลานานพอสมควรและก่อนฟ้ามืด ทุกคนก็มาถึงนครเวหาอย่างปลอดภัย
ตระกูลเถียนมีอาคารและธุรกิจอยู่ในนครเวหาเช่นกัน เถียนเข่อเอ๋อร์ เถียนหมิงและคนอื่น ๆ จึงแยกย้ายไปยังที่พักของตระกูลเถียนโดยตรง ฉินอวี้โม่และหานโม่ฉือก็ได้รับเชิญโดยอวิ๋นซื่อเทียนไปยังจวนจ้าวนครและนางกล่าวว่าจะให้การต้อนรับทั้งสองอย่างอบอุ่น
ทันทีที่มาถึงจวนจ้าวนครเวหา กำไลสื่อสารของฉินอวี้โม่ก็ดังขึ้น
หลังจากที่เชื่อมต่อสาย เสียงของเสี่ยวโร่วก็ดังขึ้นมาอย่างชัดเจน
“คุณหนู…”
เมื่อคำนวณจากเวลา ในตอนนี้เสี่ยวโร่วก็ควรจะกลับถึงตระกูลเหมยเป็นระยะหนึ่งแล้ว และการที่นางติดต่อมาครานี้น่าจะเป็นเพราะมีความคืบหน้าต้องการแจ้งให้ฉินอวี้โม่ทราบ
ก่อนแยกย้ายจากกันก่อนหน้านี้ ฉินอวี้โม่ได้หลอมอุปกรณ์สื่อสารจำนวนหนึ่งและแจกจ่ายให้กับบรรดาสหายทุกคน
ในตอนนี้เสี่ยวโร่ว ฉินอี้เฟย ฉินเทียน มู่อวิ๋นและคนอื่น ๆ สามารถติดต่อกับนางได้อย่างสะดวกและง่ายดาย
“คุณหนูเจ้าคะ ข้าบอกท่านปู่เรื่องท่านทั้งสองแล้วและท่านปู่ให้สัญญากับข้าว่าจะช่วยพาพวกท่านเข้าไปที่จวนตระกูลหาน”
เสี่ยวโร่วยิ้มกว้างและบอกข่าวดีกับฉินอวี้โม่เป็นอันดับแรก
นับตั้งแต่กลับมาถึงตระกูล นางก็แจ้งให้ท่านปู่ของตนทราบถึงเรื่องของหานโม่ฉือทันที
ท่านปู่ของเสี่ยวโร่วรักและเอ็นดูนางอย่างที่สุด อีกทั้งเขายังชื่นชมบิดามารดาของหานโม่ฉืออย่างยิ่ง เมื่อได้ทราบเรื่องราวและสถานการณ์เลวร้ายที่เกิดขึ้นกับหานโม่ฉือ เขาก็รีบให้คำมั่นทันทีว่าจะช่วยหานโม่ฉือและฉินอวี้โม่อย่างเต็มที่ รวมถึงช่วยสืบข่าวเรื่องบิดามารดาของหานโม่ฉือ
“ขอบคุณมากสำหรับความทุ่มเทของเจ้า หลังจากนี้ไม่นานเราจะมุ่งหน้าไปที่จวนตระกูลเหมยและเยี่ยมเยือนท่านปู่ของเจ้าก่อน จากนั้นเราก็จะไปที่ตระกูลหานพร้อมกับเจ้า”
“คุณหนู ข้ามีข่าวอีกเรื่องหนึ่ง มันเป็นเรื่องเกี่ยวกับคุณชาย…เอ่อ…มันมิใช่ข่าวดีเท่าไหร่นัก ท่านทั้งสองอยากฟังรึไม่ ?”
เสี่ยวโร่วกล่าวด้วยน้ำเสียงลังเล นางไม่มั่นใจเลยว่า ‘เรื่อง’ ที่นางทราบมาจะเป็นข่าวดีหรือข่าวร้าย
ฉินอวี้โม่และหานโม่ฉือได้ยินความลังเลในน้ำเสียงของเสี่ยวโร่วอย่างชัดเจน ทั้งสองมองหน้ากันและเอ่ยออกไปทันที “ข่าวอะไรรึ ? ว่ามาเถอะ”
เสี่ยวโร่วสูดหายใจเข้าลึก ๆ และกล่าวอย่างช้า ๆ “ดูเหมือนว่าคุณชายจะมีคู่หมั้นคู่หมายอยู่แล้วเจ้าค่ะ”
“เอ่อ…”
เมื่อได้ยินเช่นนั้น ทั้งฉินอวี้โม่และหานโม่ฉือก็ตกตะลึงไปทันทีและไม่เข้าใจแม้แต่น้อยว่าเสี่ยวโร่วหมายความว่าอย่างไร
“ท่านปู่พอจะทราบข้อมูลเกี่ยวกับตระกูลหานอยู่บ้าง และท่านพ่อของคุณชายก็น่าจะมีชื่อว่าหานซวนหยวน…”
เสี่ยวโร่วเริ่มเล่าเรื่องที่ทราบจากท่านปู่ให้ฉินอวี้โม่และหานโม่ฉือฟังอย่างช้า ๆ จนทั้งสองชะงักงันและพูดไม่ออกไปพักใหญ่
หานซวนหยวน—บิดาของหานโม่ฉือน่าจะเป็นลูกพี่ลูกน้องของผู้นำตระกูลหานคนปัจจุบัน ส่วนมารดาของหานโม่ฉือก็คือธิดาของตระกูลไป่หลี่หนึ่งในสี่ตระกูลลับ—ไป่หลี่จิ่นซิ่ว
ทั้งสองตกหลุมรักกันและให้กำเนิดหานโม่ฉือในภายหลัง เดิมทีด้วยพรสวรรค์และความแข็งแกร่งที่ยอดเยี่ยมของหานซวนหยวน เขาเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุดสำหรับตำแหน่งผู้นำตระกูลคนต่อไปของตระกูลหาน อย่างไรก็ตาม เนื่องจากบุตรชายอย่างหานโม่ฉือเกิดมาพร้อมนัยน์ตาสีแดงฉานและถูกมองว่าเป็นตัวกาลกิณีนำพาความอัปมงคลมาสู่ตระกูล เขาจึงเผชิญสถานการณ์ที่เลวร้ายหลังจากนั้น
หานโม่ฉือและฉินอวี้โม่ทราบเรื่องนี้มาก่อนแล้วและนั่นมิใช่เรื่องสำคัญที่เสี่ยวโร่วต้องการเล่าให้ทั้งสองฟัง
สิ่งที่เสี่ยวโร่วกล่าวอย่างลังเลก่อนหน้านี้คือข้อตกลงการแต่งงานระหว่างตระกูลหานและตระกูลไป่หลี่
ในอดีต ความสัมพันธ์ระหว่างตระกูลหานและตระกูลไป่หลี่เป็นไปด้วยดีอย่างยิ่ง และความสัมพันธ์ระหว่างทั้งสี่ตระกูลลับก็ไม่ตึงเครียดเช่นทุกวันนี้
เมื่อไป่หลี่จิ่นซิ่วให้กำเนิดหานโม่ฉือ ตระกูลไป่หลี่ก็ทำข้อตกลงเรื่องการแต่งงานกับตระกูลหานโดยกล่าวว่าหากผู้นำตระกูลคนปัจจุบันอย่างพี่ใหญ่และพี่สะใภ้ของไป่หลี่จิ่นซิ่วมีบุตรสาว บุตรของทั้งสองคู่จะต้องครองคู่และแต่งงานกัน ยิ่งไปกว่านั้น ทั้งสองตระกูลได้กล่าวคำปฏิญาณอย่างเป็นพิธีไปแล้ว เว้นแต่ว่าตระกูลยกเลิกสัญญานี้ ข้อตกลงการแต่งงานระหว่างทั้งสองจะต้องเกิดขึ้น
หลังจากเหตุการณ์ไม่คาดฝันระหว่างหานซวนหยวนและไป่หลี่จิ่นซิ่ว พี่สะใภ้ของไป่หลี่จิ่นซิ่วก็ได้ให้กำเนิดบุตรสาวซึ่งเป็นคุณหนูใหญ่ของตระกูลในตอนนี้และมีนามว่าไป่หลี่ชิงโร่ว
ไป่หลี่ชิงโร่วผู้นี้ถือว่าไม่ธรรมดาแม้แต่น้อย นางเป็นที่รู้จักในฐานะสตรีงามอันดับหนึ่งในสี่ตระกูลลับและมีพรสวรรค์ที่เหนือชั้น รวมถึงมีลักษณะนิสัยที่เย็นชาและเข้าถึงได้ยาก
หลังจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับบิดาและมารดาของหานโม่ฉือ คนจากตระกูลไป่หลี่ก็เคยเสนอล้มเลิกข้อตกลงการแต่งงาน ทว่าไป่หลี่ชิงโร่วกลับไม่ยินยอม
จากวาจาของนางก็คือ เว้นแต่ว่าหานโม่ฉือตายไปแล้ว นางจะรอเขากลับมาและให้เขาอธิบายสิ่งที่เกิดขึ้นกับนาง
บัดนี้นางมีอายุประมาณสามสิบปีเช่นกัน ด้วยความแข็งแกร่งที่เหนือชั้นและด้วยรูปลักษณ์ที่โดดเด่นจึงมิใช่เรื่องแปลกที่จะมีบุรุษหมายปองนางมากมาย อย่างไรก็ตาม นางไม่เคยหวั่นใจกับผู้ใดและเฝ้ารอเพียงให้หานโม่ฉือกลับมา กล่าวได้ว่าหัวใจของนางลุ่มหลงอย่างยิ่ง
ว่ากันว่าแม้แต่หานเฟย บุตรชายคนโตของผู้นำตระกูลหานคนปัจจุบันก็หมายปองและมีความรักต่อไป่หลี่ชิงโร่วอย่างเต็มเปี่ยมและเคยขอนางแต่งงานหลายครั้งหลายครา
หลายคนในตระกูลไป่หลี่ก็พยายามโน้มน้าวใจให้นางตอบรับด้วยหวังว่านางจะคิดไตร่ตรองอย่างดีทว่านางก็ไม่เคยคล้อยตาม ดูเหมือนว่านางยอมรับหานโม่ฉือเพียงคนเดียวและเฝ้ารอให้เขากลับมาในสักวัน
หลังจากฟังเรื่องราวจากเสี่ยวโร่ว ฉินอวี้โม่และหานโม่ฉือก็เริ่มเข้าใจมากขึ้น
ฉินอวี้โม่หันมองสบตากับหานโม่ฉือข้างกาย แม้ทราบดีว่าเรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับหานโม่ฉือ หัวใจของนางเกิดความกังวลเล็กน้อย ไม่คิดเลยว่าที่ดินแดนแห่งนี้จะมีสตรีอีกคนที่ได้รับความชอบธรรมจากบิดาและมารดาของหานโม่ฉือ เมื่อไล่เรียงเรื่องราวเช่นนี้…คนมาทีหลังอย่างนางก็คือผู้ที่ทำลายความสัมพันธ์ของคนอื่นมิใช่รึ ?
ราวกับคาดเดาความคิดของฉินอวี้โม่ได้ หานโม่ฉือจึงรีบตัดการเชื่อมต่อของอุปกรณ์สื่อสารและดึงร่างของฉินอวี้โม่เข้ามาในอ้อมแขน
“ที่ตรงนี้ของข้ามีเพียงเจ้าเท่านั้น”
หานโม่ฉือจับมือบางของฉินอวี้โม่ขึ้นมาแนบตำแหน่งหัวใจของตนเองและกล่าวด้วยน้ำเสียงหนักแน่น
เขาไม่เคยทราบเรื่องการให้คำมั่นเกี่ยวกับการแต่งงานหรือคู่หมั้นคู่หมายใด ๆ ยิ่งไปกว่านั้น ต่อให้ทราบก่อนหน้านี้ เขาก็คงจะไม่สนใจแม้แต่น้อย
สตรีที่เขารักมีเพียงคนเดียวเท่านั้นและนั่นก็คือฉินอวี้โม่ ไม่ว่าร่างกายหรือหัวใจ ทุกอย่างของเขาล้วนเป็นของฉินอวี้โม่เพียงผู้เดียว และไม่ว่าเวลาผ่านไปนานเพียงใด มันก็จะไม่มีวันเปลี่ยนแปลง
สำหรับคุณหนูใหญ่ของตระกูลไป่หลี่ หานโม่ฉือไม่เชื่อเลยสักนิดเมื่อได้ยินว่านางหลงใหลในตัวเขาอย่างยิ่ง
ทั้งสองไม่เคยพบหน้ากันมาก่อน นางจะมีความรักที่ลึกซึ้งจนกลายเป็นความลุ่มหลงต่อเขาได้อย่างไร ? การที่นางเฝ้ารอเขามานานหลายปีเช่นนี้ เกรงว่านางอาจมีแผนการบางอย่างของตนเองอยู่
เมื่อสัมผัสได้ถึงความวิตกกังวลของหานโม่ฉือ ฉินอวี้โม่ก็อดยิ้มกว้างไม่ได้
“ตาทึ่มเอ๊ย เราอยู่ด้วยกันมานานขนาดนี้แล้ว เจ้าคิดหรือว่าเรื่องเล็ก ๆ เช่นนี้จะทำให้ข้าโมโหได้”
นางมิได้โมโหหรือไม่พอใจและเพียงแต่ทอดถอนหายใจเท่านั้น ทั้งนางและหานโม่ฉือไม่เคยทราบเรื่องนี้กันมาก่อน ยิ่งไปกว่านั้น ทั้งสองก็ฝ่าฟันอุปสรรคขวากหนามมาด้วยกันมากมาย ความรักที่ทั้งสองมีต่อกันนั้นลึกซึ้งอย่างแท้จริง ไม่ว่าคุณหนูใหญ่ตระกูลไป่หลี่จะคิดอย่างไร ฉินอวี้โม่ก็ไม่มีทางปล่อยมือจากบุรุษคนรักผู้นี้
เพียงแต่จู่ ๆ นางก็นึกสงสัยใคร่รู้เกี่ยวกับคุณหนูใหญ่ตระกูลไป่หลี่ผู้นี้ยิ่งนัก ด้วยหัวใจที่แน่วแน่และชื่อเสียงเลื่องลือในตระกูลลับทั้งสี่ คู่หมั้นคู่หมายของหานโม่ฉือผู้นี้แท้จริงแล้วเป็นคนอย่างไรกันแน่ ?
.