นับตั้งแต่อวิ๋นซื่อเทียนปรากฏตัว ทุกคนก็โล่งใจขึ้นมาเล็กน้อย ความแข็งแกร่งของอวิ๋นซื่อเทียนจัดเป็นอันดับต้น ๆ ของดินแดนแห่งนี้ซึ่งแม้แต่ผู้นำนิกายหงส์มังกรก็ยังต้องหวั่นใจไม่น้อย
ผู้นำฝ่ายมารเองก็ไม่ธรรมดาเช่นกัน ดูเหมือนว่าพลังของเขาจะอยู่ในระดับเดียวกันกับอวิ๋นซื่อเทียนและรูปลักษณ์ที่ไม่ชัดเจนของเขาก็ทำให้ฉินอวี้โม่และคนอื่น ๆ รู้สึกแปลกพิกลไปตาม ๆ กัน
“หึ เจ้าแก่หนังเหนียว ในเมื่อเจ้าเก็บตัวฝึกฝนอยู่ก็ควรจดจ่อกับการฝึกฝนไปเสีย ร่างอวตารของเจ้าในตอนนี้คงจะมีพลังเพียงครึ่งหนึ่งของร่างเดิม หากทำลายร่างนี้ไปเสีย อยากเห็นนักว่ามันจะส่งผลต่อร่างที่แท้จริงของเจ้าอย่างไร !”
อวิ๋นซื่อเทียนแค่นเสียงเย็นชา นางมองทะลุได้ถึงพลังอำนาจที่แท้จริงของร่างเงาเลือนรางของผู้นำฝ่ายมารผู้นี้
แท้จริงแล้วร่างเงาทะมึนที่ไม่อาจมองเห็นรูปลักษณ์ได้อย่างแน่ชัดที่อยู่ตรงหน้าทุกคนในตอนนี้มิใช่ร่างแท้จริงของผู้นำขุมกำลังมารร้าย หากแต่เป็นร่างอวตารของเขา ผู้นำฝ่ายมารเป็นคนที่แกร่งกล้าสามารถอย่างยิ่ง หากเขามาที่นี่ด้วยตัวเอง เกรงว่าอวิ๋นซื่อเทียนและคนอื่น ๆ คงต้องหนีเอาตัวรอดโดยเร็ว
ทว่าร่างอวตารนี้มีความแข็งแกร่งเพียงห้าในสิบส่วนของร่างจริงเท่านั้น และนั่นมิใช่สิ่งที่อวิ๋นซื่อเทียนต้องหวาดหวั่นแต่อย่างใด
ร่างอวตารนี้เป็นวิชาพิเศษที่ผู้นำฝ่ายมารศึกษาเรียนรู้มาและเรียกได้ว่าเป็นทักษะการแยกร่าง อย่างไรก็ตาม แต่ละร่างครอบครองพลังได้เพียงส่วนหนึ่งของร่างหลักเท่านั้น ยิ่งมีร่างอวตารจำนวนมากเพียงใด ความแข็งแกร่งของแต่ละร่างก็จะลดน้อยลงเพียงนั้น
“จิ๊จิ๊จิ๊ อวิ๋นซื่อเทียน การรับมือกับเจ้ายังคงยากไม่เปลี่ยนแปลง ! ฮ่า ๆ ๆ”
จู่ ๆ ผู้นำฝ่ายมารก็หัวเราะออกมาอย่างเปิดเผย แม้ไม่กล่าววาจาเป็นคำตอบยืนยันโดยตรง ทว่าวาจาของเขาก็ยังเป็นการยอมรับในคำพูดของอวิ๋นซื่อเทียนอย่างอ้อม ๆ อยู่ดี
เขาเคยประจันหน้ากับอวิ๋นซื่อเทียนมาก่อนและทราบดีว่าสตรีผู้นี้ลึกลับซับซ้อนและยากเกินรับมือเพียงใด เวลานี้ตัวเขากำลังเก็บตัวฝึกวิชา ทว่าเมื่อสัมผัสได้ถึงสถานการณ์วิกฤตของหนานกงเจี๋ยและศิษย์คนอื่น ๆ เขาจึงส่งร่างอวตารของตนมาที่นี่เพื่อช่วยพวกเขา
เดิมทีเขาคิดว่าความแข็งแกร่งครึ่งหนึ่งของตนเองก็สามารถจัดการกับฉินอวี้โม่และพวกได้อย่างราบรื่นไร้ปัญหากวนใจ ไม่คิดเลยว่าเขาจะคิดผิดไปอย่างสิ้นเชิง
เมื่อได้พบกับคู่ต่อสู้อย่างแท้จริง เพียงฉินอวี้โม่และหานโม่ฉือก็ยากที่จะรับมืออยู่แล้ว บัดนี้เมื่อเพิ่มอวิ๋นซื่อเทียนอีกคนก็ทำให้สถานการณ์ยากลำบากขึ้นอีก เขาตระหนักดีว่าสถานการณ์ในครานี้…ฝ่ายมารของพวกเขาล้มเหลวอย่างแท้จริง
“รอก่อนเถอะ อีกไม่นานดินแดนเทพมายาจะถูกพวกเราขุมกำลังมารร้ายกวาดล้างไปจนสิ้นซากและจะไม่มีพวกเจ้าคนใดที่จะมีตัวตนอยู่อีกต่อไป !”
หลังจากทิ้งท้ายด้วยถ้อยคำโหดร้ายเหล่านี้ กลุ่มหมอกสีดำก็ปกคลุมกลุ่มคนของฝ่ายมารทันทีก่อนที่พวกเขาทั้งหมดจะหายวับไปจากป่าใบไม้เขียว
“เจ้าแก่บัดซบนั่น !”
เมื่อคู่ต่อสู้ทั้งกลุ่มหายวับไปต่อหน้าต่อตา อวิ๋นซื่อเทียนก็คิดว่าตนเองประมาทคู่ต่อสู้เกินไป ทว่านางก็ถอนหายใจกับตัวเองด้วยความโล่งอกเช่นกัน
“ฮ่า ๆ ๆ ไม่คิดเลยว่าท่านจะพูดจาข่มขวัญจนเขาหวาดกลัวและหลบหนีออกไป”
ฉินอวี้โม่อดหัวเราะออกมาไม่ได้ นางรู้สึกถูกใจอวิ๋นซื่อเทียนผู้นี้ยิ่งนัก
“การทหารไม่เบื่อหน่ายกลอุบาย ตาเฒ่าจากฝ่ายมารนั่นก็เจ้าเล่ห์จอมวางแผนเป็นที่สุด หากข้าไม่ข่มขวัญเขา เขาจะถอนกำลังกลับไปง่าย ๆ เช่นนี้ได้อย่างไรเล่า”
* 兵不厌诈 การทหารไม่เบื่อหน่ายกลอุบาย หมายถึงการทำศึกสงครามย่อมต้องใช้กลอุบายหลอกอีกฝ่ายหนึ่ง แม้ว่าจะเป็นอุบายร้ายกาจก็ต้องทำ เพราะหากเราไม่หลอกเขา เขานั่นแหละจะหลอกเรา
อวิ๋นซื่อเทียนกล่าวพร้อมรอยยิ้มกริ่มและฉินอวี้โม่ไม่แปลกใจนักเมื่อได้เห็นทัศนคติเช่นนั้น
เมื่อครู่จ้าวนครเวหาวางท่าขึงขังและจริงจังจนทำให้บุรุษชราจากฝ่ายมารหวาดหวั่นใจ ความแข็งแกร่งของผู้นำฝ่ายมารแท้จริงแล้วเหนือชั้นยิ่งนัก แม้แต่ร่างอวตารที่มีพลังเพียงครึ่งหนึ่งของร่างจริง อวิ๋นซื่อเทียนก็ยังรู้สึกว่ารับมือได้ยาก นอกจากนี้นางก็มีระเบิดมือเพียงน้อยนิดเท่านั้น หากต้องใช้สิ่งที่นางทุ่มเทประดิษฐ์ทั้งหมดไปกับร่างอวตารนี้ นางก็คงไม่อาจทำใจยอมรับได้
เพราะเหตุนั้นนางจึงตีหน้าโหดเหี้ยมและแสดงท่าทางแข็งนอกอ่อนในจนผู้นำฝ่ายมารนึกหวาดหวั่นใจและยอมถอยออกไปโดยไม่ลงมือต่อสู้
ความจริงตรงหน้านี้ก็พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าวิธีการของนางประสบผลสำเร็จ
เมื่อคนอื่น ๆ ได้ยินบทสนทนาระหว่างฉินอวี้โม่และอวิ๋นซื่อเทียน พวกเขาก็พยายามไตร่ตรองและพอจะเข้าใจได้บางอย่าง พวกเขาอดรู้สึกไม่ได้เลยว่าจ้าวนครเวหาผู้นี้มีส่วนที่คล้ายกับฉินอวี้โม่หลายส่วนทีเดียว อย่างน้อยที่สุดสตรีโฉมงามทั้งสองก็เจ้าเล่ห์จอมแผนการและมากด้วยไหวพริบปัญญาเช่นเดียวกัน
“ข้าเคยเป็นตำรวจอยู่ในเมืองซีของประเทศเฮช และตายในอุบัติเหตุทางรถยนต์ หลังจากนั้นก็ปรากฏตัวขึ้นมาในดินแดนนี้โดยบังเอิญ ด้วยความรู้บางส่วนจากชีวิตก่อนและการทุ่มเทฝึกปรือตลอดหลายปีที่ผ่านมา ข้าจึงประสบผลสำเร็จเช่นในวันนี้ได้”
อวิ๋นซื่อเทียนจับมือฉินอวี้โม่ที่อยู่ข้างกายขณะเล่าเรื่องราวของตน
เมืองที่อวิ๋นซื่อเทียนอาศัยอยู่ในชีวิตก่อนบังเอิญเป็นเมืองเดียวกับที่ฉินอวี้โม่อาศัยอยู่ นางก็เคยได้ยินเรื่องอุบัติเหตุทางรถยนต์ครั้งดังกล่าวเช่นกัน เหตุการณ์ครานั้นสลดใจอย่างยิ่งและกล่าวว่ามีผู้เสียชีวิตอย่างน้อยหนึ่งร้อยคนและทำให้คนทั้งเมืองสะเทือนใจ
ไม่คิดเลยว่าอวิ๋นซื่อเทียนจะข้ามเข้ามาในโลกนี้โดยบังเอิญหลังจากที่เผชิญกับอุบัติเหตุทางรถยนต์จนเสียชีวิต
“ข้าก็มาจากเมืองซีเช่นกัน แต่ชีวิตของข้าแตกต่างกับท่านอย่างสิ้นเชิง ข้าเคยเป็นทหารรับจ้างและนักฆ่า”
ฉินอวี้โม่ยิ้มบาง ๆ และเล่าเรื่องการเดินทางที่ผ่านมาในดินแดนนี้ของตนให้อีกฝ่ายทราบเช่นกัน
อวิ๋นซื่อเทียนถึงกับหัวเราะเบา ๆ เมื่อได้ยินว่าตัวตนของฉินอวี้โม่ในชีวิตก่อนตรงกันข้ามและเป็นปฏิปักษ์กับตนเองอย่างคนละขั้ว
“ไม่น่าเชื่อเลยว่าโชคชะตาจะลิขิตให้เราได้พบกันในดินแดนนี้ ในเมื่อได้พบกันที่นี่แล้ว เราก็ต้องทุ่มเทอย่างเต็มที่เพื่อไม่ให้ผู้คนในยุคโบราณเก่าแก่นี่ดูถูกเราได้ !”
ฉินอวี้โม่พยักหน้าหงึกหงักอย่างแรง ด้วยการที่นางและอวิ๋นซื่อเทียนร่วมมือกัน มั่นใจได้เลยว่าชื่อเสียงของทั้งสองจะต้องเลื่องลือไปทั่วดินแดนเทพมายาในอนาคตข้างหน้าอย่างแน่นอน
เมื่อเห็นสตรีทั้งสองคนที่กระซิบกระซาบกันเบา ๆ และเห็นสีหน้าท่าทางของพวกนาง พวกเขาก็อดสั่นสะท้านกันไม่ได้ แม้ว่าทั้งสองเพิ่งได้พบกันเพียงไม่นาน ทุกคนก็รู้สึกได้ว่าพวกนางมีส่วนที่คล้ายกันหลายจุดและยังมีความเข้าอกเข้าใจที่ตรงกัน
คลิก !
เสียงหนึ่งดังขึ้นในหูของทุกคนขณะที่อสูรน้อยบนไหล่ของฉินอวี้โม่กระโดดลงไปเหยียบบนประตูทองสัมฤทธิ์ใต้ดิน
ราวกับมันแตะกลไกบางอย่างซึ่งทำให้ประตูเปิดออกอย่างช้า ๆ โดยเผยให้เห็นบันไดทอดยาวที่ดูไร้ที่สิ้นสุด
“ผู้อาวุโสอวิ๋นเฟิง อยู่ที่นี่และจับตาดูสถานการณ์ไว้ ข้าจะลงไปสำรวจกับฉินอวี้โม่และคนอื่น ๆ”
อวิ๋นซื่อเทียนกล่าวกับอวิ๋นเฟิงก่อนเดินนำหน้าลงบันไดไปก่อน
หานโม่ฉือจับมือฉินอวี้โม่อย่างแผ่วเบาและทั้งสองค่อย ๆ ก้าวตามอวิ๋นซื่อเทียนลงไป เถียนเข่อเอ๋อร์และคณะต่างก็สงสัยใคร่รู้ยิ่งนัก เถียนจ้งเป็นคนเฉลียวฉลาด เขาพาคนตระกูลเถียนอีกสองคนมาสมทบกับอวิ๋นเฟิงเพื่อเฝ้าดูสถานการณ์ข้างนอกนี้ ในขณะที่เถียนเข่อเอ๋อร์และบุรุษหนุ่มอีกคนหนึ่งนามว่า ‘เถียนหมิง’ ตามฉินอวี้โม่เข้าไปข้างในไม่ห่าง
อสูรน้อยเดินเข้าไปหลังสุดโดยรั้งท้ายคนทั้งกลุ่ม และเมื่อมันเข้าไปข้างใน ประตูก็ปิดสนิทลงอีกครั้งราวกับไม่เคยเปิดมาก่อน
แม้ประตูจะปิดลงแล้ว ทว่าฉินอวี้โม่และคนอื่น ๆ ก็มิได้รู้สึกอึดอัดแต่อย่างใด สองข้างทางในตอนนี้เต็มไปด้วยไข่มุกราตรีประดับเรียงรายเพื่อส่องสว่างให้กับทางเดินใต้เท้าของทุกคน
“จิ๊จิ๊จิ๊ ข้าอยู่ที่นี่มานานแต่ก็ไม่เคยพบซากปรักหักพังนี้มาก่อน ไม่คิดเลยว่าเจ้าจะค้นพบมันตั้งแต่ที่มาถึงที่นี่ ต้องยอมรับเลยว่าโชคของเจ้าดีกว่าข้ามาก”
ในเวลานี้ อวิ๋นซื่อเทียนและฉินอวี้โม่เป็นดั่งสหายที่รู้จักกันมานานและคุ้นเคยต่อกันเป็นอย่างดี ทั้งสองพูดคุยกันอย่างสบาย ๆ ด้วยคำพูดที่ทำให้คนอื่น ๆ สับสนเล็กน้อยในบางครา
อวิ๋นซื่อเทียนเหลือบไปเห็นมือของหานโม่ฉือที่จับมือของฉินอวี้โม่ไว้แน่นและอดกล่าวออกไปไม่ได้ “จิ๊จิ๊ เจ้านี่มีสายตาเฉียบคมจริง ๆ ที่ได้บุรุษดี ๆ เช่นนี้มาครอง ดูเหมือนข้าคงต้องแก่ชราและอยู่อย่างโดดเดี่ยวลำพังต่อไปโดยไม่พบผู้ใดให้ครองรักด้วย”
ความรักเปี่ยมล้นที่หานโม่ฉือมีต่อฉินอวี้โม่นั้นไม่จำเป็นต้องเอ่ยวาจาออกมาแม้แต่น้อย ทุกคนต่างก็สัมผัสถึงมันได้อย่างชัดเจน
เพราะนางมาจากที่เดียวกับฉินอวี้โม่ อวิ๋นซื่อเทียนจึงทราบดีว่ามันยากเพียงใดที่จะได้พบใครสักคนที่เข้าใจและดีกับตน บุรุษอย่างหานโม่ฉือที่รักเดียวใจเดียวและมองแต่ฉินอวี้โม่ในสายตานั้นมีเพียงน้อยนิดเท่านั้น
ตัวนางเองก็เฝ้ารอบุรุษที่จริงใจเช่นนี้มานานหลายปีทว่าไม่เคยมีผู้ใดเข้าตา
“โอ้ ท่านอิจฉางั้นรึ ? หากข้าบอกว่าข้าเป็นแม่ของบุตรน้อยน่ารักสองคน ท่านจะไม่อิจฉาจนร้องไห้รึ ?”
ฉินอวี้โม่ยิ้มและมองบุรุษคนรักด้วยความภาคภูมิใจ การได้พบคนดีเช่นนี้ย่อมไม่แปลกเลยที่จะมีผู้คนอิจฉาริษยา ยิ่งไปกว่านั้นนางก็ยังมีบุตรตัวน้อยทั้งสองอยู่ในคฤหาสน์เฟิงหัว หากได้พบกัน นางเชื่อว่าอวิ๋นซื่อเทียนจะต้องอิจฉามากขึ้นอย่างแน่นอน
“จริงรึ ? ถ้าเช่นนั้นก็รีบพาเจ้าหนูทั้งสองมาให้ข้าพบเร็วเข้า ดูจากคนเป็นพ่อแม่แล้ว บุตรจะต้องน่ารักน่าชังอย่างแน่นอน เอาล่ะ ข้าตัดสินใจแล้ว ! เมื่อลูกชายของเจ้าโตขึ้น ข้าจะดูแลคอยเอาใจเขาและตบแต่งกับเขา”
อวิ๋นซื่อเทียนแสดงสีหน้าราวกับกำลังตัดสินใจเรื่องสำคัญทว่าใบหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้มแห่งความสุข นางไม่ได้พบใครที่สามารถพูดคุยกันได้อย่างเข้าใจและสบายใจเช่นนี้มานานยิ่งนัก
“ท่านนี่หน้าไม่อายจริงเชียว อายุมากกว่าลูกของข้าตั้งหลายปีทว่ายังต้องการจะเป็นโคแก่กินหญ้าอ่อนอีก ถ้าท่านอยากจะตบแต่งกับลูกชายข้าละก็…เรียกข้าว่าแม่ก่อนสิ”
ฉินอวี้โม่ทราบดีว่าอีกฝ่ายเพียงกล่าวล้อเล่นติดตลกเท่านั้นและนางไม่ขุ่นเคืองใจแต่อย่างใด ในทางตรงกันข้าม นางหัวเราะและกล่าวหยอกเย้าอีกฝ่ายอย่างสบาย ๆ ซึ่งเป็นความรู้สึกที่พบเห็นได้ยากในช่วงที่ผ่านมา
เมื่อได้รู้จักกับอีกคนที่เผชิญชะตากรรมเดียวกัน ไม่ว่าตัวนางหรืออวิ๋นซื่อเทียนต่างก็มีความรู้สึกที่เปลี่ยนไปจากเดิมมาก ทั้งสองรู้สึกราวกับได้พบญาติมิตรคนใกล้ชิดและอบอุ่นเป็นกันเอง ยิ่งไปกว่านั้น พวกนางมีความเข้าใจตรงกันราวกับรู้ใจกัน ซึ่งความเข้าใจโดยปริยายเช่นนี้ไม่จำเป็นต้องฝึกฝนแต่อย่างใด เวลานี้สตรีทั้งสองรู้สึกดีเป็นอย่างยิ่ง
“หึ อย่าฝันไป ! เห็นอยู่ว่าพวกเจ้าเด็กกว่าข้าหลายปี อย่าคิดฉวยโอกาสกับข้า ไม่ล่ะ…ข้าอยากเป็นแม่อุปถัมภ์ของลูกของเจ้า นับจากนี้ไป ลูก ๆ ของเจ้าจะต้องเรียกข้าว่าท่านแม่ !”
เมื่ออวิ๋นซื่อเทียนได้ยินวาจาติดตลกของฉินอวี้โม่ แน่นอนว่านางก็รีบปฏิเสธทันควัน นางท่องมาในโลกใบนี้ก่อนฉินอวี้โม่และสร้างชื่อให้กับตนเองได้ก่อนฉินอวี้โม่ นางถือเป็นบรรพบุรุษผู้บุกเบิกของฉินอวี้โม่ แม้เป็นเพียงเรื่องตลก ทว่าฉินอวี้โม่ก็ต้องการฉวยโอกาสเอาเปรียบและนางไม่มีทางยอมอ่อนข้อให้อย่างแน่นอน
“ถ้าเช่นนั้นท่านก็คงต้องถามว่าสามีของข้าตกลงหรือไม่”
ฉินอวี้โม่ยิ้มบาง ๆ ทว่าสายตามองไปที่หานโม่ฉือเพียงเพื่อได้เห็นความเอาอกเอาใจในสายตาของเขา
“แน่นอนว่าข้าต้องตามใจเมียของข้าอยู่แล้ว”
หานโม่ฉือมองฉินอวี้โม่ด้วยความรักเต็มเปี่ยมและกล่าวโดยไม่ลังเล คำว่า ‘เมีย’ เป็นคำที่ฉินอวี้โม่สอนเขาเมื่อไม่นานมานี้ซึ่งแปลว่าภรรยา แน่นอนว่าเขาก็ย่อมมีความสุขเมื่อได้ยินสตรีคนรักเรียกตนว่าสามี
“โธ่ ไม่คิดเลยว่าเจ้าจะเป็นทาสเมียเช่นนี้”
แม้กล่าวเช่นนั้น อวิ๋นซื่อเทียนก็รู้สึกอิจฉาลึก ๆ ในหัวใจ ไม่รู้เลยว่าเมื่อใดนางจึงจะได้พบกับบุรุษดี ๆ เช่นนี้บ้าง
“ทุกคน ระวังตัวด้วย มีกลไกกับดักบางอย่างอยู่ข้างหน้า !”
ทันใดนั้น อสูรน้อยก็ตะโกนออกมาก่อนร่างเล็ก ๆ ของมันจะพุ่งลงไปอย่างรวดเร็วโดยไม่คิดที่จะนำทางฉินอวี้โม่และคนอื่น ๆ อีกต่อไป
ฉินอวี้โม่และทุกคนในที่นี้ก็เข้าใจความหมายของอสูรน้อยได้เป็นอย่างดีขณะพักเรื่องชวนหัวเราะขำขันไว้ก่อนและระแวดระวังมากขึ้นทันที
.