ฉินอวี้โม่และคนอื่น ๆ ขมวดคิ้วเล็กน้อยทันทีที่ได้ยินคำพูดของอสูรตัวน้อย
เป็นจริงอย่างที่มันว่า พวกนางจะปล่อยให้ซากปรักหักพังตกเป็นของคนชั่วเหล่านี้ไม่ได้โดยเด็ดขาด ฉินอวี้โม่และทุกคนจะต้องหาทางทำลายแผนการของฝ่ายมารให้จงได้
หานโม่ฉือมีพลังอยู่ในขอบเขตนภาเซียน โดยปกติแล้วตราบใดที่เขาลงมือ ต่อให้จะกวาดล้างคนของฝ่ายมารทั้งหมดที่นี่ เขาก็สามารถทำได้โดยไม่เป็นปัญหา
อย่างไรก็ตาม ฝ่ายมารเป็นขุมกำลังที่ลึกลับยากเกินหยั่งถึงยิ่งนัก ฉินอวี้โม่และคนอื่น ๆ ไม่แน่ใจว่ามีจอมยุทธ์นภาเซียนของฝ่ายมารที่เดินทางมาที่นี่ด้วยรึไม่ หากหานโม่ฉือลงมือทำสิ่งใดอย่างบุ่มบ่ามไม่ยั้งคิดและดึงดูดจอมยุทธ์นภาเซียนของฝ่ายมารให้แสดงตัว มันต้องนำไปสู่ปัญหาใหญ่เป็นแน่
เวลานี้หัวหน้ากลุ่มของฝ่ายมารก็มีท่าทีเหมือนจะสัมผัสได้ถึงบางสิ่งบางอย่างและพลังความมืดจากร่างของเขาก็แกร่งกล้ามากขึ้นเรื่อย ๆ ขณะปกคลุมพื้นที่ส่วนใหญ่ของพื้นที่โล่งแห่งนี้
“โฮกกก !”
ทันทีที่ทางเข้าของซากปรักหักพังกำลังจะปรากฏ เสียงคำรามอย่างรุนแรงก็ดังขึ้นในหูทุกคน จากนั้นพวกเขาก็มองเห็นอสูรยักษ์ใหญ่หลายตัวค่อย ๆ ปรากฏกายตรงหน้า
ความแข็งแกร่งโดยเฉลี่ยของอสูรเหล่านี้อยู่ในระดับพสุธาเซียนขั้นสูงสุดและพวกมันก็ไม่ได้จำแลงร่างมนุษย์ ลำตัวใหญ่ดุจเนินเขาย่อม ๆ ของพวกมันล้อมรอบทั่วทั้งพื้นที่โล่งอย่างรวดเร็วโดยที่แววตาของพวกมันไม่บ่งบอกถึงความรู้สึกใดแม้แต่น้อย
“ไม่นะ ! ข้าควบคุมอสูรพวกนี้ไม่ได้เลย”
เมื่ออสูรตัวน้อยมองเห็นอสูรจำนวนมากเหล่านี้ มันก็โพล่งออกไปด้วยความประหลาดใจทันที ก่อนหน้านี้อสูรทั้งหลายล้วนอยู่ภายใต้การควบคุมของมันเพื่อปกป้องคุ้มกันซากปรักหักพังแห่งนี้ ยิ่งไปกว่านั้น เมื่อดูจากลักษณะท่าทางของพวกมันในตอนนี้ ดูเหมือนว่าพวกมันจะสูญเสียสติรับรู้ไปอย่างสิ้นเชิง แววตาของพวกมันไม่บ่งบอกถึงความรู้สึกใดซึ่งถือเป็นเรื่องที่ประหลาดยิ่งนัก
ฉินอวี้โม่กวาดสายตามองอสูรทรงพลังมากมายหลายตัวและสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายของพลังความมืดที่แผ่ออกมาจากร่างของพวกมัน นางอดคิดไม่ได้เลยว่าพลังความมืดที่ประหลาดเหล่านั้นคือสิ่งที่ควบคุมเหล่าอสูรมายาและทำให้พวกมันตกอยู่ในสภาพอย่างที่เห็นในตอนนี้
“เหอะ ไม่คิดเลยว่าอาหารที่ถูกกัดกร่อนจากบุปผาแห่งความมืดจะมีผลต่ออสูรมายามากถึงเพียงนี้ พวกมันไม่มีสตินึกคิดอีกต่อไป ไม่ว่าจะทำอย่างไรกับพวกมัน พวกมันก็จะไม่ต่อต้านขัดขืนแม้แต่น้อย !”
น้ำเสียงที่ฟังดูน่าอึดอัดอีกเสียงหนึ่งดังขึ้นและจู่ ๆ บุรุษชุดดำคนหนึ่งก็ปรากฏกายท่ามกลางคนฝ่ายมาร
บุรุษผู้นี้สวมเสื้อคลุมสีดำสนิททว่าเปิดเผยใบหน้าให้เห็นอย่างชัดเจน
เขาคือบุรุษชราที่ดูมีอายุประมาณหกสิบถึงเจ็ดสิบปีและมีแสงประกายสีเขียวประหลาดที่ส่องสว่างอยู่ในดวงตาซึ่งน่าหวาดหวั่นจนทำให้ผู้คนสั่นสะท้าน
“ผู้อาวุโสหนานกง ไม่คิดเลยว่าท่านจะมาที่นี่ด้วยตัวเอง !”
ก่อนหน้านี้คนจากฝ่ายมารหวั่นใจเล็กน้อยเมื่อเห็นร่างใหญ่ของอสูรมายาจำนวนมาก ทว่าเมื่อเห็นบุรุษชราผู้มาใหม่นี้ พวกเขาก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอกทันที
บุรุษชราผู้นี้คือผู้อาวุโสของฝ่ายมารนามว่า ‘หนานกงเจี๋ย’ เขามีความแข็งแกร่งอยู่ในขอบเขตนภาเซียนครึ่งก้าวซึ่งเชี่ยวชาญด้านศาสตร์การสยบอสูรและมีพลังวิญญาณแกร่งกล้าพอสมควร เขาถือเป็นหนึ่งในผู้ที่มีสถานะสูงส่งในขุมกำลังมารร้าย
เขาเป็นคนโหดเหี้ยมชั่วร้ายและนัยน์ตาสีเขียวดูหม่นทะมึนคู่นั้นคืออาวุธสังหารของเขา อีกทั้งความแข็งแกร่งของเขาก็เพียงพอที่จะจัดอยู่ในสามอันดับแรกของฝ่ายมาร เพราะเหตุนั้นเขาจึงมีสถานะที่สูงพอสมควร สำหรับบุปผาแห่งความมืดที่รู้จักกันว่าเป็นสมบัติล้ำค่าของฝ่ายมารนั้น เขาคนนี้ก็เป็นผู้ที่รับผิดชอบดูแลและฟูมฟักมันด้วยตัวเอง
ครานี้เขาออกมาจากขุมกำลังเพราะได้รับผลลัพธ์บางอย่างมาจากบุปผาแห่งความมืดและอดใจรอเพื่อทดสอบมันไม่ไหว
“พวกเจ้าพบทางเข้าของซากปรักหักพังหรือยัง ?”
หนานกงเจี๋ยกวาดสายตามองคนฝ่ายมารก่อนสังเกตเห็นอวิ๋นเฟิงและคนอื่น ๆ ที่นั่งอยู่ไม่ไกล
“จิ๊จิ๊ นี่มันไม่ใช่ผู้อาวุโสอวิ๋นเฟิงจากนครเวหาหรอกรึ !”
น้ำเสียงของเขาเจือด้วยความอาฆาตมาดร้ายอย่างชัดเจนและเขาทราบถึงตำแหน่งของอวิ๋นเฟิงในนครเวหาเป็นอย่างดี ในเมื่อได้เผชิญหน้ากันอย่างจังในวันนี้ เขาก็ไม่มีทางปล่อยอีกฝ่ายไปง่าย ๆ อย่างแน่นอน
เมื่อเห็นหนานกงเจี๋ยที่ปรากฏตัวอย่างกะทันหัน อวิ๋นเฟิงก็รู้สึกได้ว่าสถานการณ์ตอนนี้ไม่สู้ดีนัก เดิมทีเขาต้องการนำคนของตนไปจากที่นี่ทันทีทว่าก่อนที่จะทำเช่นนั้นได้ หนานกงเจี๋ยก็หันมาเห็นเขาเสียแล้ว
“ฮ่า ๆ ๆ พวกเราเพียงบังเอิญผ่านมาทางนี้และรู้สึกเหนื่อยล้ากันเล็กน้อยจึงได้นั่งพักกันระยะหนึ่ง ทว่าตอนนี้เราก็ได้พักกันอย่างเต็มที่แล้ว เราจะไม่รบกวนพวกเจ้าอีกต่อไปและต้องขอตัวก่อน”
อวิ๋นเฟิงขยิบตาส่งสัญญาณให้กับบรรดาศิษย์ที่ติดตามมากับตนและยิ้มเล็กน้อยขณะค่อย ๆ ก้าวถอยหลังออกไป
“ผู้อาวุโสอวิ๋นเฟิง ในเมื่อโชคชะตาลิขิตให้เราได้พบกันแล้ว ก็อยู่ด้วยกันก่อนเถอะ หรือไม่ก็ติดตามพวกเรากลับไปที่อาณาเขตของฝ่ายมาร พวกเราจะให้การต้อนรับเป็นอย่างดี !”
แน่นอนว่าหนานกงเจี๋ยไม่ยอมปล่อยให้อวิ๋นเฟิงกลับไปง่าย ๆ ไม่อาจทราบได้ว่าเขาใช้วิธีการใด ทว่าอสูรมายาหลายตัวได้ก้าวออกไปขวางคนของนครเวหารวมถึงอวิ๋นเฟิงไว้อย่างรวดเร็ว
เมื่อเห็นอสูรมายาร่างยักษ์เหล่านั้น อวิ๋นเฟิงและบรรดาศิษย์ของนครเวหาก็อดกลืนน้ำลายตนเองไม่ได้ พวกเขาเคยประจันหน้ากับอสูรเหล่านี้มาก่อนแล้วและตระหนักดีว่าพวกมันรับมือได้ไม่ง่ายเลย บัดนี้เมื่อถูกควบคุมโดยหนานกงเจี๋ย เกรงว่าอสูรเหล่านี้คงไม่ยอมปล่อยให้พวกเขาจากไปง่าย ๆ และจิตสังหารรุนแรงก็แผ่ออกมาจากพวกมันอย่างชัดเจนแล้ว
“หากมีโอกาสหลังจากนี้ พวกเจ้าหาทางหลบหนีออกไปจากที่นี่ก่อนเถอะ”
อวิ๋นเฟิงกระซิบกระซาบกับศิษย์หลายคนด้วยเสียงเบาโดยบอกให้พวกเขาหาจังหวะหลบหนีกันออกไปก่อน
ฉินอวี้โม่และคนอื่น ๆ ซึ่งซ่อนตัวอยู่ในมุมมืดก็ล้วนมองเห็นคณะของอวิ๋นเฟิงที่ถูกฝ่ายมารและอสูรมายาหลายตัวปิดล้อมไว้ พวกนางรู้สึกไม่พอใจอย่างที่สุด
“เป็นจริงดังที่คิด มีจอมยุทธ์นภาเซียนอยู่จริง ๆ !”
เมื่อเห็นหนานกงเจี๋ย ฉินอวี้โม่และหานโม่ฉือหันก็หันมองหน้าอย่างรู้กันทันที เคราะห์ดีที่พวกนางไตร่ตรองก่อนและไม่บุ่มบ่ามทำสิ่งใดออกไป มิฉะนั้นสถานการณ์คงจะยากลำบากอย่างแน่นอน
อสูรน้อยที่อิงแอบอยู่บนไหล่บางของฉินอวี้โม่ก็แสดงสีหน้ากังวลอย่างเห็นได้ชัดเมื่อเห็นบรรดาอสูรที่ถูกควบคุมโดยหนานกงเจี๋ย
มันอยู่ที่นี่มานานนับร้อยนับพันปี อสูรมายาเหล่านี้ก็เรียกได้ว่าเติบโตมาด้วยกันและถือเป็นมิตรสหายของมัน เวลานี้เมื่อพวกมันถูกหนานกงเจี๋ยจากฝ่ายมารควบคุมจนไม่มีสตินึกคิดเช่นนี้ แน่นอนว่าอสูรน้อยย่อมกังวลเป็นธรรมดา
“เหอะ เจ้าพวกที่ซ่อนอยู่ในมุมมืด ยังไม่คิดที่จะออกมาอีกรึ ?!”
ด้วยการที่อารมณ์ของอสูรน้อยปั่นป่วนอย่างชัดเจน หนานกงเจี๋ยก็สัมผัสได้ถึงความผิดปกติทันที เขาตะโกนกร้าวตรงมาในทิศทางที่ฉินอวี้โม่และคนอื่น ๆ ซ่อนตัวอยู่พร้อมกับปลดปล่อยก้อนแสงสีดำที่ก่อตัวขึ้นมาจากพลังมายาพุ่งตรงเข้ามาอย่างรวดเร็ว
ตู้ม !
หานโม่ฉือยกมือขึ้นและสร้างม่านป้องกันตรงหน้าเพื่อขวางกั้นก้อนแสงที่พุ่งตรงเข้ามาอย่างรวดเร็ว และในเวลานี้เองที่กลุ่มของพวกเขาก็ปรากฏขึ้นมาต่อหน้าทุกคน
คนของฝ่ายมารชะงักไปเล็กน้อยเมื่อเห็นกลุ่มคนแปลกหน้าเหล่านี้ขณะที่สีหน้าของหัวหน้ากลุ่มในตอนแรกบิดเบี้ยวเหยเกยิ่งกว่าใคร ก่อนหน้านี้เขาไม่รู้สึกเลยสักนิดว่าฉินอวี้โม่และคนอื่น ๆ กำลังซ่อนตัวและเฝ้ามองเขาอยู่ไม่ไกล
สายตาของหนานกงเจี๋ยเลื่อนไปหยุดลงที่อสูรน้อยบนไหล่ของฉินอวี้โม่และแสยะยิ้มชั่วร้าย
“ไม่คิดเลยว่าจะมีอสูรวิญญาณที่ก่อตัวขึ้นจากสติสัมปชัญญะอยู่ที่นี่ด้วย อสูรวิญญาณตัวนี้จะต้องเป็นผู้พิทักษ์คุ้มกันซากปรักหักพังแห่งนี้เป็นแน่ เจ้าหนู…ส่งอสูรวิญญาณนั่นมาให้ข้าเสียดี ๆ และพวกเจ้าจะได้ตายแบบศพสวย ๆ !”
เขาไม่เห็นฉินอวี้โม่และคนอื่น ๆ อยู่ในสายตาแม้แต่น้อย ในหัวใจของหนานกงเจี๋ยผู้นี้ ต่อให้คนตรงหน้าเหล่านี้จะมีฝีมือที่ไม่ธรรมดา ทว่ามันก็ยังไม่มากพอที่จะเป็นคู่ต่อสู้ของเขาได้
การที่เผชิญหน้ากับจอมยุทธ์นภาเซียนครึ่งก้าวที่สามารถควบคุมอสูรพสุธาเซียนขั้นสูงสุดจำนวนมากได้อย่างสบาย ๆ เช่นตน เขาเชื่อว่าต่อให้คณะของฉินอวี้โม่จะมีสามเศียรหกกรก็ไม่มีทางเอาชนะเขาได้
“จอมยุทธ์ฉินอวี้โม่ จอมยุทธ์หานโม่ฉือ เป็นท่านทั้งสองนี่เอง”
เมื่อเห็นฉินอวี้โม่และหานโม่ฉือปรากฏตัว คนของนครเวหารวมถึงอวิ๋นเฟิงก็ตกตะลึงเล็กน้อยในตอนแรกก่อนถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก และใครคนหนึ่งก็อดกล่าวออกไปพร้อมรอยยิ้มประดับบนใบหน้าไม่ได้
ความแข็งแกร่งของฉินอวี้โม่และหานโม่ฉือเป็นที่ประจักษ์ชัดเจนต่อหน้าพวกเขาทุกคน บัดนี้เมื่อยอดฝีมือทั้งสองปรากฏตัวตรงหน้า พวกเขาเชื่อว่าการที่จะจัดการกับฝ่ายมารก็อาจไม่ยากเกินเอื้อมอีกต่อไป
“โอ้ ? พวกเจ้ารู้จักกันงั้นรึ ? ในเมื่อเป็นเช่นนั้น…พวกเจ้าก็ควรกลับไปที่ขุมกำลังของเราพร้อมกันกับคนเหล่านี้เลย”
หนานกงเจี๋ยมองเห็นอวิ๋นเฟิงและคนอื่น ๆ ที่เดินตรงเข้าไปหากลุ่มของฉินอวี้โม่ เขาจึงแผ่จิตสังหารแรงกล้าออกไป
“จิ๊จิ๊จิ๊ พวกฝ่ายมารนี่หลงตัวเองจริงเชียว ข้าไม่เข้าใจเลย ในเมื่อมีหน้าตาเช่นนี้ เหตุใดจึงไม่ยอมปิดหน้าปิดตาเหมือนคนอื่น ช่างกล้ายิ่งนักที่ออกมาเปิดเผยใบหน้าที่น่าเกลียดน่ากลัวให้ผู้คนได้เห็นเช่นนี้ !”
ความสัมพันธ์ระหว่างคนของดินแดนเทพมายาและฝ่ายมารเป็นที่ประจักษ์ชัดเจนสำหรับทุกคนที่อยู่ที่นี่ ในเมื่อสถานการณ์วันนี้อาจไม่ราบรื่นนัก แน่นอนว่าพวกเขาจะไม่มีทางไว้หน้าคนของฝ่ายมาร
เถียนเข่อเอ๋อร์ช่างเป็นสตรีที่ตรงไปตรงมาอย่างยิ่งและวาจาของนางก็เฉียบคมบาดลึกเช่นกัน เมื่อได้ยินวาจาดูหมิ่นของนาง หนานกงเจี๋ยก็แทบจะกระอักเลือดด้วยความเจ็บใจ
“แม่สาวน้อย ระวังปากไว้เถอะ !”
หนานกงเจี๋ยจ้องหน้าเถียนเข่อเอ๋อร์ด้วยแววตาเยือกเย็นและแรงกดดันทรงพลังแผ่ออกไปกดข่มอีกฝ่ายไว้ทันที
สีหน้าของหานโม่ฉือในเวลานี้ยังคงไม่เปลี่ยนแปลงและแรงกดดันแบบเดียวกันก็แผ่ออกไปปะทะกับพลังของหนานกงเจี๋ย
ตู้มมม !
พร้อมด้วยเสียงปะทะที่ดังสนั่น พลังวิญญาณของจอมยุทธ์ทั้งสองฝ่ายก็ปะทะกันกลางอากาศอย่างไม่ยอมน้อยหน้าจนเกิดระลอกคลื่นกลางอากาศอย่างเห็นได้ชัด
“นภาเซียนครึ่งก้าว !”
แรงกดดันอันทรงพลังของหนานกงเจี๋ยถูกขัดขวางไว้โดยอีกฝ่าย และเมื่อสัมผัสได้ถึงพลังความแข็งแกร่งของหานโม่ฉือ ความยโสโอหังในสีหน้าของเขาก็ค่อย ๆ จางหายไปและแทนที่ด้วยแววตาระแวดระวัง
ไม่คิดเลยว่าบุรุษหนุ่มที่ดูเยาว์วัยผู้นี้จะมีความแข็งแกร่งอยู่ในระดับเดียวกับตัวเขา
แรกเริ่มเดิมที เขาคิดว่าครานี้ชัยชนะอยู่ในกำมือของเขา ทว่าการปรากฏตัวของอีกคนที่มีความแข็งแกร่งในระดับเดียวกับเขาทำให้ความมั่นอกมั่นใจของหนานกงเจี๋ยลดน้อยลงทันที
“ต้าหวง… อาฮัว… เสี่ยวไกว… เกิดอะไรขึ้นกับพวกเจ้า ?”
อสูรน้อยลอยตัวขึ้นกลางอากาศขณะมองไปยังเหล่าอสูรที่ไร้สติรู้ตัวและกล่าวออกไปอย่างเป็นกังวล
อสูรมายาเหล่านั้นไม่มีปฏิกิริยาตอบสนองแม้แต่น้อยราวกับว่าพวกมันไม่เคยรู้จักอสูรน้อยมาก่อน พวกมันเพียงยืนนิ่งอยู่กับที่ด้วยแววตาว่างเปล่า
“เหอะ ไม่ว่าเจ้าจะส่งเสียงแหกปากแค่ไหนก็ไม่ได้เกิดประโยชน์อะไร หลังจากที่กินอาหารที่ถูกกัดกร่อนโดยบุปผาแห่งความมืด สติรับรู้ของพวกมันก็ได้ถูกกลืนกินไปหมดแล้ว ตอนนี้พวกมันไม่ต่างจากหุ่นเชิดที่ถูกควบคุมโดยตัวข้า ฮ่า ๆ ๆ !”
เมื่อเห็นสีหน้าและการกระทำของอสูรตัวน้อย ความมั่นใจของหนานกงเจี๋ยก็ฟื้นฟูกลับมาอีกครา แม้คู่ต่อสู้จะมีความแข็งแกร่งในระดับเดียวกันกับตนเอง แต่ฝ่ายของเขาก็มีจำนวนมากกว่าและยังมีอสูรมายาที่ถูกควบคุมไว้อีกเป็นจำนวนมาก อยากเห็นนักว่าคนพวกนี้จะหลบหนีไปจากเงื้อมมือของข้าได้อย่างไร ?
เมื่อได้ยินคำว่า ‘บุปผาแห่งความมืด’ เถียนจ้งและคณะก็ชะงักไปทันที ทว่าฉินอวี้โม่และหานโม่ฉือยังคงมีสีหน้าเรียบเฉย ทั้งสองน่าจะคาดเดาเรื่องนี้ไว้อยู่แล้ว
บุปผาแห่งความมืดคือสิ่งที่น่าหวาดหวั่นอย่างแท้จริงและการที่สามารถกัดกร่อนจิตใจของอสูรมายาระดับสูงเหล่านี้ได้ก็แสดงให้เห็นถึงพลังของมันได้อย่างชัดเจน
ยิ่งไปกว่านั้น ตอนนี้บุปผาแห่งความมืดนี้ก็ยังไม่ได้เจริญเติบโตจนเต็มที่ด้วยซ้ำ หากถึงวันที่มันเบ่งบานเต็มที่ ฉินอวี้โม่และทุกคนก็ไม่อาจจินตนาการถึงผลลัพธ์ที่จะเกิดขึ้นได้เลย
“ว่าอย่างไร ? พวกเจ้าลองคิดใหม่รึยัง ? ส่งอสูรวิญญาณนั่นมาให้ข้าและข้าจะเมตตาสังหารพวกเจ้าด้วยวิธีที่เจ็บปวดน้อยที่สุด !”
หนานกงเจี๋ยกล่าวด้วยน้ำเสียงมั่นใจและทะนงตน
“หึ ฝันไปเถอะ !”
ฉินอวี้โม่เพียงเอ่ยวาจาสั้น ๆ ในเวลานี้นางมีวิธีการโต้ตอบอยู่ในใจแล้ว
.