ภายในป่าใบไม้เขียว แม้จะเกิดเหตุการณ์ผิดปกติตลอดช่วงหลายวันที่ผ่านมา แต่ก็ยังคงมีจอมยุทธ์หลายคนที่ไม่สนใจสิ่งเหล่านั้น
พวกเขาหลายคนตระหนักถึงความผิดปกติที่เกิดขึ้นตลอดหลายวันในป่าใบไม้เขียวแห่งนี้และได้เห็นบรรดาอสูรมายามากมายที่คลุ้มคลั่งกว่าก่อน แม้มีความหวาดหวั่นเล็ก ๆ ในใจ ทว่าเมื่อนึกถึงข่าวลือที่ได้ยินมา พวกเขาก็สนใจสิ่งนั้นมากกว่าและมีแผนการอื่นวางไว้
กล่าวกันว่ามีซากปรักหักพังของบรรพชนในป่าใบไม้เขียวผืนนี้ เพียงแต่มีค่ายกลพิเศษที่ปิดผนึกมันไว้และยากที่จอมยุทธ์ธรรมดาจะตามหามันพบ
นอกจากนี้การที่เกิดการก่อจลาจลครั้งใหญ่ขึ้นที่นี่อย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน มันก็ทำให้จอมยุทธ์หลายคนสันนิษฐานได้ว่าซากปรักหักพังใกล้ที่จะปรากฏขึ้นเต็มที
เพราะเหตุนั้น แม้ว่าในเวลานี้ป่าใบไม้เขียวจะอันตรายกว่าแต่ก่อนมาก ทว่าจอมยุทธ์ที่เดินทางมาที่นี่กลับเพิ่มจำนวนมากขึ้นอย่างรวดเร็ว
ฉินอวี้โม่และคนอื่น ๆ จับตัวอสูรน้อยที่จำแลงร่างวิญญาณได้จึงทราบข้อมูลหลายอย่างที่เป็นประโยชน์ ทว่าขณะกำลังจะถามข้อมูลเพิ่มเติม พวกนางก็สัมผัสได้ถึงสภาวะพลังที่ผันผวนราวกับมีคนกำลังสู้กันอย่างดุเดือด
และทิศทางที่คลื่นพลังนั้นแผ่ออกมาคือทิศทางเดียวกันกับซากปรักหักพังดังกล่าว เพราะเหตุนั้นอสูรตัวน้อยที่ใจเย็นลงแล้วก่อนหน้านี้จึงกังวลและอยู่ไม่ติดขึ้นมาทันที
“ไปดูกันเถอะ !”
เมื่อสัมผัสได้ถึงความกังวลอย่างยิ่งของอสูรน้อย ฉินอวี้โม่และทุกคนก็ไม่เอ่ยถามให้มากความและรีบมุ่งหน้าไปในทิศทางนั้นภายใต้การนำทางของอสูรน้อยอย่างรวดเร็ว
แม้อสูรวิญญาณตัวน้อยจะกังวลใจและเร่งรีบ ทว่าเนื่องจากยังห่วงว่าฉินอวี้โม่และคณะอาจตามมันได้ไม่ทัน มันจึงลดความเร็วลงเล็กน้อยเพื่อให้ฉินอวี้โม่และคนอื่น ๆ ติดตามมันมาได้
หลังจากเหาะเหินในป่าใบไม้เขียวระยะหนึ่ง ฉินอวี้โม่และคนอื่น ๆ ก็เข้าใกล้กลิ่นอายของพลังที่แกร่งกล้าของคนหลายคนมากขึ้นเรื่อย ๆ และได้ยินเสียงการต่อสู้อย่างเลือนราง
ทันใดนั้น สิ่งแวดล้อมทุกอย่างรอบตัวก็หายวับไปและคนทั้งกลุ่มของฉินอวี้โม่ปรากฏกายในพื้นที่โล่งของป่าใบไม้เขียว
ลานพื้นที่โล่งนี้คือพื้นที่ที่ซากปรักหักพังของบรรพชนซ่อนอยู่ในส่วนลึกที่สุดของป่าใบไม้เขียวและยังเป็นส่วนที่เด่นชัดที่สุดของป่าทั้งผืน
เนื่องจากมีค่ายกลมากมายหลายชนิดโดยรอบ ผู้ที่สามารถเข้ามาถึงที่นี่จึงมีเพียงน้อยนิดเท่านั้น สำหรับคนธรรมดาทั่วไปนั้นแทบเป็นไปไม่ได้เลยที่จะมาถึงบริเวณนี้ได้
การที่ฉินอวี้โม่และคณะเข้ามาในบริเวณได้อย่างราบรื่นก็เป็นเพราะอสูรน้อยช่วยพาพวกนางข้ามผ่านค่ายกลเหล่านั้น พวกนางจึงไม่ได้เผชิญกับอุปสรรคขวากหนามใดๆ
ในเวลานี้ก็มีการประจันหน้ากันของคนสองฝ่ายในพื้นที่โล่งตรงหน้า
ฟากหนึ่งคืออวิ๋นเฟิงและคณะที่ออกจากเมืองซิ่งหัวเพื่อกลับไปที่นครเวหาก่อนหน้านี้ อีกฟากหนึ่งคือกลุ่มคนสวมอาภรณ์และหน้ากากสีดำดูลึกลับ พวกเขาแต่งกายในแบบเดียวกับคนของฝ่ายมารที่ฉินอวี้โม่เผชิญหน้าในเมืองซิ่งหัว ซึ่งพวกเขาเหล่านี้จะต้องเป็นคนของฝ่ายมารอย่างแน่นอน
เดิมทีอวิ๋นเฟิงนำคณะเดินทางออกจากเมืองซิ่งหัวและข้ามผ่านป่าผืนนี้เนื่องจากป่าใบไม้เขียวเป็นเส้นทางเดียวจากเมืองซิ่งหัวไปยังนครเวหา โดยปกติแล้วพวกเขาก็มักจะนำคนในขุมกำลังออกมาฝึกยุทธ์และสั่งสมประสบการณ์ที่นี่โดยแทบไม่เคยเผชิญกับสถานการณ์พิเศษที่ผิดแปลกใด ๆ
ไม่คิดเลยว่าเมื่อผ่านป่าใบไม้เขียวตามปกติในครานี้ พวกเขากลับพบกับสถานการณ์ผิดปกติไปจากเดิมหลายอย่าง หลังจากไตร่ตรองดู พวกเขาก็รู้สึกได้ว่าน่าจะมีส่วนเกี่ยวข้องกับซากปรักหักพังที่นี่ ด้วยเหตุนั้น อวิ๋นเฟิงจึงส่งคนส่วนหนึ่งกลับไปรายงานสถานการณ์ที่นครเวหา ในขณะที่ตัวเขานำกลุ่มคนที่เหลือมาลองเสี่ยงโชคที่นี่
ไม่น่าเชื่อเลยว่าครานี้โชคจะเข้าข้างพวกเขาอย่างแท้จริงและได้พบกับสถานที่โดดเด่นและเป็นเอกลักษณ์เช่นนี้
อย่างไรก็ตาม สิ่งที่อวิ๋นเฟิงและคณะไม่ทันสังเกตเห็นคือคนจากฝ่ายมารแอบซุ่มตามหลังพวกเขามาตลอดทาง เมื่อพวกเขากำลังจะหาทางเข้าของซากปรักหักพัง คนชั่วเหล่านั้นก็ปรากฏตัวและลอบจู่โจมทันที
โชคดีที่อวิ๋นเฟิงเองก็ถือว่ามีความแข็งแกร่งที่ไม่ธรรมดาและศิษย์ผู้ติดตามทั้งหลายก็มีฝีมือพอสมควร เมื่อเผชิญกับสถานการณ์ซุ่มโจมตีจากฝ่ายมาร พวกเขาจึงไม่ตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบแม้แต่น้อย อย่างไรก็ตาม การจู่โจมดังกล่าวนั้นได้ทำให้ศิษย์หลายคนบาดเจ็บเนื่องจากตั้งตัวไม่ทัน
“เหอะ คนจากฝ่ายมารนี่ถนัดในเรื่องการซุ่มโจมตีผู้อื่นจริง ๆ !”
อวิ๋นเฟิงกวาดสายตามองคนจากฝ่ายมารและแค่นเสียงเย็นชา ครานี้พลังอำนาจโดยรวมของขุมกำลังมารร้ายไม่ใช่สิ่งที่จะประมาทได้เลย พวกเขาจำนวนมากได้ปรากฏตัวที่เมืองซิ่งหัว แต่ก็ไม่คิดเลยว่าจะยังมีอีกกลุ่มหนึ่งซ่อนอยู่ในป่าใบไม้เขียวและซุ่มจู่โจมพวกเขา การกระทำอย่างรอบคอบเช่นนี้น่าหวาดหวั่นไม่น้อย
“เหอะ ผู้อาวุโสอวิ๋นเฟิง ข้าต้องขอบคุณเจ้าจริง ๆ หากมิใช่เพราะมีเจ้านำทาง พวกข้าคงตามหาซากปรักหักพังนี้ไม่พบ”
ท่ามกลางกลุ่มคนของฝ่ายมาร บุรุษคนหนึ่งก้าวออกมาอย่างช้า ๆ คนผู้นี้น่าจะเป็นหัวหน้าของคนกลุ่มนี้ เขามีลักษณะท่าทางคล้ายคลึงกับหัวหน้ากลุ่มฝ่ายมารที่ฉินอวี้โม่และคนอื่น ๆ เผชิญหน้าในเมืองซิ่งหัวก่อนหน้านี้ ทั้งสองคนวางท่าทางยโสไม่ต่างกัน ซึ่งขัดหูขัดตาผู้อื่นอย่างที่สุด
อวิ๋นเฟิงขมวดคิ้วเล็กน้อยเมื่อได้ยินวาจาของคนผู้นั้น เกรงว่าฝ่ายมารทราบอยู่นานแล้วว่ามีซากปรักหักพังซ่อนอยู่ในป่าใบไม้เขียวแห่งนี้ ทว่าพวกเขาก็ไม่เคยตามหาได้พบ เรียกได้ว่าความผิดปกติที่อวิ๋นเฟิงและคณะค้นพบในวันนี้ช่วยให้ฝ่ายมารค้นพบพิกัดของซากปรักหักพังแห่งนี้
อย่างไรก็ตาม ฝ่ายมารเป็นศัตรูตัวฉกาจของดินแดนเทพมายา แน่นอนว่าเขาและพวกไม่มีทางยอมให้ขุมกำลังมารร้ายได้สมบัติในซากปรักหักพังไปครอง
“ขอโทษด้วย ข้าไม่เข้าใจว่าเจ้ากำลังพูดถึงเรื่องอะไร”
ความคิดหนึ่งผุดขึ้นในหัวของเขาอย่างรวดเร็วและอวิ๋นเฟิงกล่าวออกไปอย่างไม่รู้ไม่ชี้ ทว่าวาจาของเขาทำให้คนของฝ่ายมารชะงักไปเล็กน้อย
“โอ้… ยังกล้าเสแสร้งหน้าด้าน ๆ ว่ามิได้มาที่นี่เพราะซากปรักหักพังอย่างนั้นรึ ?”
หัวหน้ากลุ่มของฝ่ายมารกล่าวตอบโต้ด้วยน้ำเสียงเหน็บแนม เขาคาดเดาความคิดของอวิ๋นเฟิงได้ในทันทีว่าต้องการกล่าววาจาเช่นนี้เพียงเพื่อเบี่ยงเบนความสนใจของพวกเขาเท่านั้น
“ซากปรักหักพังงั้นหรือ ?”
อวิ๋นเฟิงแสร้งแสดงสีหน้าประหลาดใจและกล่าวต่อ “นครเวหาของเราเดินทางเข้าออกป่าผืนนี้อยู่เป็นประจำและไม่เคยรู้มาก่อนว่ามีซากปรักหักพังอยู่ที่นี่”
ถึงอย่างไรแล้วพวกเขาก็พบเพียงพื้นที่โล่งแห่งนี้และไม่พบทางเข้าหรือพิกัดของซากปรักหักพังด้วยซ้ำ อวิ๋นเฟิงเพียงต้องการถ่วงเวลาอีกฝ่ายเท่านั้น เมื่อจ้าวนครทราบเรื่องนี้ นางจะต้องส่งคนมาสมทบหรือมาที่นี่ด้วยตัวเองอย่างแน่นอน และเมื่อถึงตอนนั้น พวกเขาก็ไม่ต้องหวาดหวั่นหรือไว้หน้าคนจากฝ่ายมารอีกต่อไป
“อวิ๋นเฟิง ในเมื่อเจ้าไม่ได้มาที่นี่เพื่อซากปรักหักพังนั่นก็รีบไสหัวออกไปเสีย สถานที่แห่งนี้แปลกประหลาดจริง ๆ พวกข้าต้องการสำรวจดูรอบ ๆ สักหน่อย”
หัวหน้ากลุ่มฝ่ายมารก็มีไหวพริบเป็นเลิศไม่แพ้กันและเข้าใจแผนการของอวิ๋นเฟิงอย่างง่ายดาย
อวิ๋นเฟิงมีความแข็งแกร่งที่ไม่ธรรมดาเลยสักนิด แม้ตัวเขาจะพาคนมาเป็นจำนวนมาก หากต้องประจันหน้ากับยอดฝีมือผู้นี้จริง ๆ มันย่อมเกิดความเสียหายอย่างมิอาจหลีกเลี่ยง เขาไม่ต้องการให้เกิดความเสียหายเช่นนั้นจึงไม่คิดที่จะประชันฝีมือกับคณะของอวิ๋นเฟิง
“ฮ่า ๆ ๆ พวกเราแค่เหนื่อยล้าจากการเดินทางและอยากจะนั่งพักสักหน่อย หากพวกเจ้าอยากจะสำรวจหาอะไรก็เชิญเลย เราจะไม่รบกวน”
อวิ๋นเฟิงไม่คิดจะไปจากที่นี่ง่าย ๆ เช่นกัน เพราะเหตุนั้นเขาจึงนั่งลงพร้อมด้วยคณะผู้ติดตามของตนด้วยสีหน้าเรียบเฉยใจเย็น
ในเมื่อเขาไม่สามารถถ่วงเวลาได้อีกต่อไป เขาจึงเลือกอยู่ที่นี่เพื่อจับตาดูฝ่ายมารแทน หากคนจากฝ่ายมารพบสิ่งที่ตามหาจริง อวิ๋นเฟิงก็ยังสามารถฉวยโอกาสในตอนนั้นเพื่อจับปลาในน้ำขุ่นได้
* 浑水摸鱼 จับปลาในน้ำขุ่น ความหมายคือ ผู้ที่ฉวยโอกาสขณะเกิดเหตุการณ์ชุลมุน
เมื่อเห็นการกระทำของอวิ๋นเฟิงและคณะ ฝ่ายมารถึงกับหมดคำพูดไปชั่วขณะ ไม่คิดเลยว่าอวิ๋นเฟิงผู้นี้จะหน้าไม่อายอย่างแท้จริง อีกทั้งยังกล่าววาจาอย่างชัดเจนว่าจะไม่ไปจากที่นี่
“เหอะ ในเมื่อพวกเจ้าอยากอยู่ก็เชิญเลย ทว่าอวิ๋นเฟิง…ข้าต้องขอเตือนเจ้าไว้ก่อน…อย่าคิดทำสิ่งใดไม่ซื่อเด็ดขาด หากข้ารู้ว่าเจ้าคิดตุกติกละก็ ข้าก็ไม่รังเกียจที่จะขุดหลุมฝังเจ้าไว้ที่นี่ !”
หัวหน้ากลุ่มฝ่ายมารแค่นเสียงเย็นชาและไม่สนใจกลุ่มของอวิ๋นเฟิงอีกต่อไป สิ่งที่พวกเขากำลังตามหาในเวลานี้คือซากปรักหักพังของบรรพชน ตราบใดที่พบมัน พวกเขาก็จะได้รับผลประโยชน์อย่างแน่นอน
สำหรับอวิ๋นเฟิงหน้าไม่อายผู้นี้ การที่จะรอจัดการในภายหลังก็ยังไม่ถือว่าสายเกินไป
ความคิดของเขาในเวลานี้คือศิษย์ที่ติดตามผู้อาวุโสลั่วไปที่เมืองซิ่งหัวน่าจะตามมาสมทบกับกลุ่มของตนในไม่ช้า แต่ทว่า…เขาไม่มีทางคาดเดาได้อย่างแน่นอนว่าศิษย์เหล่านั้นได้ทรยศต่อฝ่ายมารและแปรพักตร์ไปเข้าร่วมกับฝ่ายตรงข้ามอย่างดินแดนทางเหนือเสียแล้ว
“สำรวจไปรอบ ๆ เพื่อตามหาว่ามีกลไกหรือว่าสิ่งผิดแปลกอยู่รึไม่ หากใครพบซากปรักหักพังเป็นคนแรก ข้าจะตบรางวัลให้อย่างงาม!”
หลังจากลั่นวาจากับศิษย์ทั้งหลาย หัวหน้ากลุ่มฝ่ายมารก็ไม่บุ่มบ่ามทำสิ่งใดทว่าจ้องมองไปที่กลุ่มของอวิ๋นเฟิงไม่วางตา
บรรดาศิษย์ผู้ติดตามของฝ่ายมารรับคำสั่งและกระจายตัวแยกย้ายออกไปสำรวจและค้นหาโดยรอบทันที
ฉินอวี้โม่และคนอื่น ๆ ซึ่งพบที่ซ่อนที่เหมาะสมแล้วและกำลังซุ่มดูเหตุการณ์ทั้งหมดจากในมุมมืด ในเมื่อคนของฝ่ายมารกำลังตามหาซากปรักหักพัง พวกนางก็จะรอให้โอกาสนั้นมาถึงก่อน เมื่อฝ่ายมารพบสิ่งที่ตามหา พวกเขาก็จะถูกจู่โจมอย่างที่คาดไม่ถึง
“นี่เจ้า… ทางเข้าซากปรักหักพังอยู่ที่ใดรึ ?”
เมื่อเห็นคนมากมายตามหาเป็นเวลานานทว่าก็ไม่พบสิ่งใด เถียนเข่อเอ๋อร์จึงอดเอ่ยถามอสูรน้อยและมองมันด้วยแววตาสงสัยไม่ได้
ซากปรักหักพังดังกล่าวลึกลับยิ่งนัก นางไม่สามารถสัมผัสถึงสิ่งผิดปกติใด ๆ และไม่พบเบาะแสทางเข้าของมันแม้แต่น้อย
“เหอะ กลุ่มคนโง่เขลาเบาปัญญา ต่อให้จะตามหาเช่นนี้ต่อไปก็ไม่มีทางที่จะพบทางเข้านั่นหรอก !”
อสูรตัวน้อยชำเลืองมองกลุ่มคนของฝ่ายมารด้วยแววตาเหยียดหยาม หากทางเข้าซากปรักหักพังของบรรพชนสามารถพบได้ง่ายดายเช่นนั้น เกรงว่าคงมีคนค้นพบไปนานแล้ว
“โฮกกก โฮกกกก !”
เหล่าคนจากฝ่ายมารก็สำรวจหาเป็นเวลานานและยังไม่พบเบาะแสใด ทว่าจู่ ๆ พวกเขาก็ได้ยินเสียงที่ทำให้หวาดหวั่นใจและอดเป็นกังวลไม่ได้
สีหน้าของหัวหน้ากลุ่มบิดเบี้ยวไปเล็กน้อยเช่นกัน เขาขมวดคิ้วมุ่นขณะมองไปที่อวิ๋นเฟิงและคณะที่ยังคงนั่งอยู่ที่เดิมด้วยท่าทางเรียบเฉย
อวิ๋นเฟิงและคณะของเขายังคงนั่งนิ่งอย่างใจเย็น ทว่าแท้จริงแล้วในใจลึก ๆ ของพวกเขาก็เป็นกังวลไม่น้อย
พวกเขาเดินทางเข้าออกในป่าใบไม้เขียวแห่งนี้อยู่เป็นประจำ เมื่อได้ยินเสียงคำรามเหล่านั้น พวกเขาจึงทราบดีว่ามันมาจากบรรดาอสูรมายาที่ทรงพลังที่สุดในป่าผืนนี้ ยิ่งไปกว่านั้น ฟังดูเหมือนว่าอสูรเหล่านั้นกำลังตรงเข้ามาในทิศทางของพวกเขาทุกคน หากต้องเผชิญหน้ากันจริง มันคงเป็นสถานการณ์ที่ไม่น่าอภิรมย์นัก
“เหอะ สถานที่ที่แปลกตาเช่นนี้ ข้าไม่เชื่อหรอกว่าทางเข้าของซากปรักหักพังนั่นจะไม่อยู่ที่นี่ !”
หัวหน้ากลุ่มของฝ่ายมารแค่นเสียงเย็นชาและเริ่มตามหาเช่นกันโดยไม่สนใจอวิ๋นเฟิงอีกต่อไป
เขาเดินตรงไปยังศูนย์กลางพื้นที่โล่งและยืนนิ่งอยู่กับที่ จากนั้นอากาศสีดำทะมึนก็ปรากฏขึ้นรอบตัวเขาและปกคลุมไปทั่วบริเวณในทันทีราวกับเขากำลังตามหาซากปรักหักพังนั้นด้วยพลังวิญญาณ
“ช่างเป็นพลังความมืดที่ทรงพลังยิ่งนัก !”
อสูรน้อยขมวดคิ้วมุ่นทันที เห็นได้ชัดว่ามันไม่ชอบพลังความมืดเหล่านี้แม้แต่น้อย
ฉินอวี้โม่และคนอื่น ๆ ก็รู้สึกอึดอัดขึ้นมาเช่นกันเมื่อเห็นพลังความมืดนั้น ทว่าตอนนี้ยังไม่ใช่เวลาเหมาะสมที่พวกนางจะออกไป
“แม่เจ้า ! พลังความมืดของเขามีพลังกัดกร่อนที่แกร่งกล้าอยู่ด้วย ข้ารู้สึกได้ว่าทางเข้าซากปรักหักพังกำลังถูกกัดกร่อนอย่างช้า ๆ ขืนยังเป็นเช่นนี้ต่อไป พวกคนชั่วนั่นจะต้องค้นพบซากปรักหักพังอย่างแน่นอน !”
อสูรตัวน้อยกังวลและอยู่ไม่ติดมากขึ้นเรื่อย ๆ มันสัมผัสได้ว่าคนเหล่านั้นมิใช่คนดี ซึ่งภายในซากปรักหักพังของบรรพชนมีของดีอยู่ไม่น้อย หากสิ่งเหล่านั้นต้องตกไปอยู่ในมือคนชั่ว มันต้องไม่ใช่เรื่องดีแน่…
.