เถียนจ้งและคณะของเขาใช้เวลาอยู่ในป่าใบไม้เขียวนานหลายวันจึงคุ้นชินกับมันพอสมควร แม้จะทราบความแข็งแกร่งของหานโม่ฉือดี เขาก็เลือกนำทางทุกคนไปตามทางอ้อมโดยเลี่ยงพื้นที่หลายจุดที่เป็นศูนย์รวมของอสูรมายาเพื่อหลีกเลี่ยงการปะทะที่อาจเกิดขึ้น
ตลอดการเดินทาง เถียนเข่อเอ๋อร์ก็เกาะแขนฉินอวี้โม่ไว้แน่นและพูดคุยเจื้อยแจ้วอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย
เมื่อได้ทราบว่าฉินอวี้โม่มีอายุมากกว่าตนเพียงเล็กน้อยและเป็นมารดาของบุตรน้อยสองคนแล้ว เถียนเข่อเอ๋อร์ก็ทั้งประหลาดใจและตื่นเต้นโดยต้องการพบเด็กแฝดทั้งสองโดยเร็ว
ฉินอวี้โม่รู้สึกจนปัญญาเล็กน้อยกับความมีชีวิตชีวาที่มากล้นของอีกฝ่ายจนต้องส่ายศีรษะเบา ๆ นางจึงให้สัญญาว่าจะพาเถียนเข่อเอ๋อร์ไปพบบุตรทั้งสองของตนหลังจากนี้และพาเที่ยวชมคฤหาสน์เฟิงหัว เมื่อได้ยินเช่นนี้ คุณหนูตากลมจึงยอมเงียบลงในที่สุด
“อวี้โม่ หากในอนาคตท่านต้องการความช่วยเหลือก็มาหาข้าที่ตระกูลเถียนได้เสมอ รับป้ายหยกนี้ไป…ท่านจะได้ส่วนลดครึ่งหนึ่งเมื่อไปที่ร้านค้าทั้งหมดภายใต้กิจการของตระกูลเถียน”
เถียนเข่อเอ๋อร์ยื่นป้ายหยกให้กับฉินอวี้โม่และกล่าวเบา ๆ
เถียนจ้งสังเกตเห็นการกระทำของหลานสาว ทว่าก็ไม่คิดขัดขวางหรือห้ามปรามแต่อย่างใด
ป้ายหยกดังกล่าวคือป้ายสิทธิพิเศษซึ่งโดยทั่วไปจะมอบให้กับสหายที่ไว้วางใจและแขกผู้มีเกียรติคนสำคัญของตระกูลเท่านั้น การที่เถียนเข่อเอ๋อร์มอบให้ฉินอวี้โม่ทั้งที่เพิ่งรู้จักกันเพียงระยะสั้น ๆ เช่นนี้แสดงให้เห็นว่านางยอมรับและถูกชะตากับฉินอวี้โม่มากเพียงใด
ฉินอวี้โม่ก็ไม่ปฏิเสธและรับป้ายหยกนั้นไว้ นางยอมรับมิตรไมตรีของเถียนเข่อเอ๋อร์ด้วยความยินดี
“เข่อเอ๋อร์ ข้าได้ยินมาว่าตระกูลเถียนมีวิธีการของตัวเองในการสืบหาข้อมูล หลังจากไปถึงที่นครเวหา ข้ามีข่าวบางอย่างที่ต้องการให้ท่านช่วยสืบหา”
เมื่อนึกถึงหลายเรื่องที่นางต้องการทราบ ฉินอวี้โม่ก็กล่าวบอกสหายคนใหม่เป็นการล่วงหน้า
เถียนเข่อเอ๋อร์ตบหน้าอกของตนเองเบา ๆ และตอบตกลงทันที ในดินแดนแห่งนี้ แทบไม่มีสิ่งใดที่ตระกูลเถียนจะไม่รู้
หลังจากเดินเท้านานตลอดวัน ทุกคนก็เข้ามาถึงส่วนลึกของป่าใบไม้เขียว ทันทีที่เข้ามาถึงเขตป่าลึก ฉินอวี้โม่และหานโม่ฉือก็สัมผัสได้ถึงกลิ่นอายที่ทรงพลังหนาแน่นรอบตัว
ป่าใบไม้เขียวแห่งนี้ไม่ธรรมดาเลยจริง ๆ และมันเป็นที่อยู่ของอสูรมายาทรงพลังจำนวนมาก ต้องกล่าวเลยว่าแม้แต่เทือกเขากายสิทธิ์ที่เต็มไปด้วยอสูรมายาก็อาจมีอสูรไม่มากเท่าที่นี่ด้วยซ้ำ
“นายหญิง ถึงแม้ป่าใบไม้เขียวจะไม่กว้างใหญ่เท่ากับเทือกเขากายสิทธิ์ ทว่าที่นี่ก็มีสภาวะพลังที่ไม่ได้ด้อยไปกว่าเทือกเขากายสิทธิ์เลย ยิ่งไปกว่านั้น ป่าใบไม้เขียวนี้ดูจะมีข้อจำกัดที่พิเศษบางอย่างซึ่งทำให้อสูรมายาของที่นี่ฝึกวิชาและบ่มเพาะได้อย่างปลอดภัยมากกว่าที่เทือกเขากายสิทธิ์ ดังนั้นอสูรมายาของที่นี่จึงไม่ถือว่าอ่อนแอและอาจถึงขั้นแกร่งกล้ากว่ามาก”
เสียงของจิ้งจอกเก้าหางดังขึ้นในโสตประสาทของฉินอวี้โม่ แม้มันเป็นอสูรมายาของฉินอวี้โม่แล้ว สัญชาตญาณการรับรู้ของการเป็นอสูรมายาของมันก็ยังคงไม่เปลี่ยนแปลง
“สหายทั้งสอง ก่อนหน้านี้เรามาถึงที่นี่และเผชิญกับการห้อมล้อมของอสูรพสุธาเซียนขั้นสูงสุดหลายตัว หากเราไม่ได้พกพาสมบัติพิเศษมาด้วยละก็ เกรงว่าเราคงกลายเป็นผีเฝ้าที่นี่ไปแล้ว”
เถียนจ้งกล่าวด้วยน้ำเสียงระแวดระวัง แม้เขาทราบดีว่าตอนนี้ฝ่ายของตนมีจอมยุทธ์นภาเซียนอยู่ด้วย เขาก็ยังหวาดหวั่นใจไม่น้อยเมื่อนึกถึงอสูรบ้าคลั่งทรงพลังเหล่านั้น
สีหน้าท่าทางของทั้งหานโม่ฉือและฉินอวี้โม่ยังคงเรียบเฉยไม่เปลี่ยนแปลง ทั้งสองไม่เกรงกลัวต่ออสูรมายาเท่าใดนักทว่ากลับสงสัยใคร่รู้ยิ่งกว่า สิ่งใดกันที่ทำให้อสูรทั้งป่าบ้าคลั่งและก่อเรื่องวุ่นวายพร้อมกันได้ ?
“ท่านลุงเถียน ท่านทราบรึไม่ว่าไม้ฟืนวิญญาณอยู่ที่ใด ?”
ระหว่างทาง เถียนเข่อเอ๋อร์เล่าให้ฉินอวี้โม่และหานโม่ฉือได้ฟังว่าถึงสาเหตุที่ออกมาตามหาไม้ฟืนวิญญาณในครานี้ เป็นเพราะพิษเย็นลุกลามเข้าไปในร่างกายของน้องชายนางมาเป็นเวลานานและรุนแรงมากขึ้นเรื่อย ๆ ตามเวลาที่ผันผ่าน ซึ่งต้องใช้พืชดังกล่าวเพื่อถอนพิษร้าย แม้ตั้งรางวัลตอบแทนอย่างงามให้กับสมาคมทหารรับจ้างและโรงประมูลก็ไม่เคยมีผู้ใดตามหามันพบ เมื่อเห็นว่าอาการจากพิษเย็นของน้องชายเลวร้ายมากขึ้นทุกที พวกนางจึงต้องออกมาตามหาไม้ฟืนวิญญาณด้วยตนเองโดยหวังว่าจะพบมันในที่สุด
“ก่อนเดินทางมาที่นี่ ผู้นำตระกูลได้มอบอุปกรณ์ตรวจจับให้กับพวกเราไว้…”
เถียนจ้งหยิบวัตถุบางอย่างที่ดูเหมือนคทาวิเศษออกมาจากแหวนมิติ ปลายบนของคทานั้นฝังก้อนแสงบางอย่างไว้ซึ่งตอนนี้มันส่องแสงสลัวริบหรี่อย่างยิ่ง
“ก้อนแสงนี้สามารถตรวจจับพิกัดของไม้ฟืนวิญญาณได้และจุดที่มันส่องสว่างมากที่สุดจะต้องเป็นพิกัดของไม้ฟืนวิญญาณอย่างแน่นอน ก่อนหน้านี้เราเข้ามาได้ถึงตรงนี้และเผชิญหน้ากับอสูรมายาพวกนั้นเสียก่อน เราจึงไม่มีทางเลือกนอกจากต้องถอนกำลังออกไป เดิมทีเราตั้งใจที่จะส่งจดหมายกลับไปที่ตระกูลเพื่อให้ส่งผู้ช่วยมาสมทบกับพวกเราที่นี่ ทว่าเราบังเอิญพบท่านทั้งสองเสียก่อน”
เถียนเข่อเอ๋อร์ยิ้มและไม่ปิดบังสิ่งใด นางเชื่อว่าหานโม่ฉือและฉินอวี้โม่จะสามารถช่วยตามหาไม้ฟืนวิญญาณจนพบได้อย่างแน่นอน
เมื่อเห็นก้อนแสงส่องสว่างริบหรี่ดังกล่าว ฉินอวี้โม่ก็พยักศีรษะเบา ๆ และกล่าว “ท่านลุงเถียน เชิญท่านนำทางไปได้เลย พวกข้าทั้งสองจะช่วยท่านตามหาไม้ฟืนวิญญาณก่อน”
เถียนจ้งไม่รอช้าและถือคทาวิเศษยื่นออกไปรอบทิศ เมื่อหันไปทิศทางหนึ่งและแสงสว่างเจิดจ้ามากขึ้น เถียนจ้งจึงรู้ได้ว่าตนเองควรมุ่งหน้าไปในทิศทางใด
พวกเขาก็ไม่รอช้าและเริ่มออกเดินมุ่งหน้าไปในทิศทางนั้นทันที
หลังจากเดินต่อไปประมาณหนึ่งก้านธูป ต้นไม้พืชพรรณรอบตัวก็เริ่มห่างหายไปมากและมีหมอกทึบที่หนาขึ้นเรื่อย ๆ จนมองไม่เห็นเส้นทางข้างหน้า
“แปลกจริงเชียว เหตุใดจู่ ๆ ถึงได้มีหมอกหนาทึบเช่นนี้ ?”
เถียนเข่อเอ๋อร์เอ่ยด้วยความฉงนสนเท่ห์
ท่ามกลางแสงแดดส่องในตอนกลางวัน เหตุใดจู่ ๆ จึงมีหมอกหนาทึบที่แทบมองไม่เห็นเส้นทางเช่นนี้ ?
“ทุกคนหยุดก่อน ที่นี่มีค่ายกลอยู่”
ทันใดนั้น หานโม่ฉือก็ตะโกนเรียกให้ทุกคนหยุดฝีเท้ากันก่อน
เมื่อได้ยินเช่นนั้น เถียนจ้งซึ่งเดินนำหน้าสุดก็ชะงักฝีเท้าหยุดลงเช่นกัน
“เสี่ยวชวน เสี่ยวชวนหายไปไหน ?!”
ทันใดนั้น น้ำเสียงตื่นตระหนกของศิษย์ตระกูลเถียนคนหนึ่งก็ดังขึ้นดึงดูดความสนใจของทุกคน
ทุกคนหันขวับไปมองตามต้นเสียงนั้นทันทีและพบว่าศิษย์สองคนของตระกูลที่รั้งท้ายกลุ่มในตอนนี้เหลือเพียงคนเดียวเท่านั้น
เถียนจ้งและศิษย์ตระกูลเถียนคนหนึ่งเดินนำหน้า ส่วนฉินอวี้โม่ หานโม่ฉือและคุณหนูรองอยู่ตรงกลางในขณะที่ศิษย์อีกสองคนปิดท้ายอยู่ด้านหลัง เมื่อครู่นี้ทุกคนก็ไม่ได้รู้สึกถึงความผันผวนใด ๆ ทว่าศิษย์คนหนึ่งกลับหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอยซึ่งทำให้ทุกคนตื่นตระหนกกันไม่น้อย
“ไม่ต้องห่วง ทุกคน เสี่ยวชวนอาจเดินช้าจึงถูกทิ้งท้ายอยู่ข้างหลังก็เป็นได้”
เมื่อเห็นสีหน้าตื่นตระหนกของศิษย์อีกสองคน เถียนจ้งก็กล่าวออกไปเพื่อปลอบประโลมให้ทุกคนคลายกังวลทว่าสีหน้าของเขาก็ไม่สู้ดีนัก ก่อนหน้านี้เขาพาศิษย์มาด้วยหลายคน ในตอนนี้เขาจะสูญเสียศิษย์ไปไม่ได้อีกเด็ดขาด
“สหายทั้งสอง ในบรรดาพวกเราไม่มีใครเชี่ยวชาญในด้านค่ายกลเลย พวกเราควรทำอย่างไรต่อไป ?”
ในเวลานี้ เถียนจ้งก็มองฉินอวี้โม่และหานโมฉือเป็นกระดูกสันหลังของกลุ่มไปโดยที่ไม่รู้ตัวด้วยซ้ำ หลังจากทำใจสงบลง เขาจึงเอ่ยถามความเห็นของทั้งสองอย่างใจเย็น
“พวกเราจัดการเอง”
ฉินอวี้โม่ยิ้มและกล่าวเพื่อให้ทุกคนสบายใจ จากนั้นนางก็มองตรงไปที่หมอกหนาดูประหลาดรอบตัวพร้อมขมวดคิ้วมุ่น
หมอกเหล่านี้มิใช่ข่ายอาคมลวงตา ทว่าเป็นค่ายกลบางอย่าง และหมอกหนาทึบรอบตัวทุกคนมิใช่ภาพลวงทว่าเป็นหมอกของจริงเช่นกัน
“นี่คือค่ายกลหมอกทึบ—ค่ายกลที่สามารถกีดกันการกระทำและควบคุมผู้คนได้ หมอกหนานี้มีควันพิษบางอย่างที่คนทั่วไปไม่อาจสังเกตได้ หากอยู่ในค่ายกลนี้นานติดต่อกันมากกว่าสามชั่วโมง ควันพิษจะแทรกซึมเข้าสู่ร่างกายอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เมื่อถึงตอนนั้นจอมยุทธ์ผู้นั้นก็จะสูญเสียพลังมายาในร่างกายไปชั่วคราวและไม่ต่างอะไรจากขยะไร้ค่า”
หานโม่ฉือกล่าวด้วยน้ำเสียงราบเรียบ เขาเคยศึกษาศาสตร์ด้านค่ายกลมาก่อนจึงพอจะทราบข้อมูลอยู่บ้าง
หากเป็นข่ายอาคม ฉินอวี้โม่คงจะทำลายมันได้ไม่ยาก ทว่านางไม่ชำนาญด้านการวางค่ายกลแม้แต่น้อย เมื่อหานโม่ฉือกล่าวเช่นนี้ นางจึงทราบได้ทันทีว่าเขาน่าจะมีหนทางแก้ไข เพราะเหตุนั้นนางจึงยกหน้าที่จัดการค่ายกลนี้ให้กับหานโม่ฉือไปโดยปริยาย
“เพลิงจักรพรรดิของเจ้าเป็นสิ่งที่หมอกเหล่านี้หวาดกลัวที่สุด หากเป็นเจ้า การที่จะขจัดหมอกเหล่านี้ออกไปก็เป็นเรื่องที่ง่ายดายอย่างมาก”
หานโม่ฉือยิ้มให้ฉินอวี้โม่และกล่าวถึงวิธีแก้ไขปัญหานี้
เมื่อได้ยินว่าเพลิงจักรพรรดิของตนคือสิ่งที่หมอกหนาทึบหวาดกลัวที่สุด ฉินอวี้โม่ก็ไม่ลังเลอีกต่อไป
ฟึ่บ!
เพลิงกลุ่มเล็ก ๆ ปรากฏบนปลายนิ้วมือของนางอย่างรวดเร็ว
ทันทีที่เพลิงปรากฏขึ้น หมอกหนาทึบก็ถอยร่นไปอย่างรวดเร็วราวกับพบศัตรูตัวฉกาจและเปิดเส้นทางโล่งให้เห็นโดยตรง
ฟึ่บ !
ฉินอวี้โม่สะบัดปลายนิ้วเล็กน้อยและกลุ่มเพลิงทะลุทะลวงเข้าไปในกลุ่มหมอกหนาจนเกิดเสียงดังสนั่น หลังจากผ่านไปครู่หนึ่ง หมอกที่เคยรายล้อมรอบตัวจนมองไม่เห็นทางก็สลายหายไปทั้งสิ้นราวกับไม่เคยปรากฏขึ้นมาก่อน
สิ่งที่ฉินอวี้โม่ไม่ได้ยินคือหลังจากหมอกนั้นถูกกำจัดออกไป เสียงหนึ่งก็ดังขึ้นในส่วนลึกของป่าใบไม้เขียวราวกับมีบางอย่างที่กำลังจับตาดูพวกเขาอยู่…
“เสี่ยวชวน !”
เมื่อไม่มีหมอกบังตาอีกต่อไป ทุกคนก็มองเห็นร่างของเสี่ยวชวนอยู่ไม่ไกล
เวลานี้เสี่ยวชวนนอนราบอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่ไม่ไกลจากจุดที่ทุกคนอยู่ในตอนนี้ ทว่าไม่อาจทราบได้ว่าเขายังมีชีวิตอยู่หรือไม่
เถียนจ้งพุ่งตรงเข้าไปหยุดลงข้างเสี่ยวชวนทันทีและรีบอังจมูกตรวจลมหายใจ เมื่อพบว่าเสี่ยวชวนเพียงหมดสติและไม่มีอาการบาดเจ็บใด ๆ เขาก็โล่งใจขึ้นมาก
เขาหยิบโอสถเม็ดหนึ่งจากแหวนมิติและป้อนเข้าปากเสี่ยวชวนทันที หลังจากนั้นเพียงไม่นาน เสี่ยวชวนก็ค่อย ๆ ตื่นลืมตาขึ้นมา
“เสี่ยวชวน เมื่อครู่นี้เกิดอะไรขึ้น ?”
ทุกคนมองตรงไปที่เสี่ยวชวนเป็นตาเดียวและเอ่ยถามด้วยความสงสัย พวกเขาไม่รับรู้ถึงการเคลื่อนไหวหรือพลังปั่นป่วนใด ๆ ทว่าเสี่ยวชวนกลับนอนหมดสติอยู่เช่นนี้ซึ่งเป็นเรื่องที่ประหลาดอย่างยิ่ง
เสี่ยวชวนมองทุกคนด้วยสีหน้าประหลาดและเริ่มไตร่ตรองย้อนไปถึงสิ่งที่เกิดขึ้น
“ระหว่างเดินทางเมื่อครู่นี้ ข้ารู้สึกเหมือนมีคนตามพวกเราอยู่ข้างหลังจึงหันกลับไปมองขอรับ ไม่คิดเลยว่าเมื่อหันกลับไปและไม่พบสิ่งใด จู่ ๆ ข้าก็หมดสติและมานอนอยู่ตรงนี้โดยที่ไม่รู้ตัว”
เขารู้สึกประหลาดใจอย่างยิ่ง ก่อนหน้านี้เขารู้สึกอย่างชัดเจนว่ามีใครบางคนตามหลังมา ทว่าเมื่อหันกลับไป เขาก็พบเพียงแค่ความว่างเปล่า ยิ่งไปกว่านั้น เสี่ยวชวนไม่รู้สึกถึงการโจมตีใด ๆ และเพียงหมดสติไปเสียดื้อ ๆ หากฉินอวี้โม่และคนอื่น ๆ ไม่ปัดเป่าหมอกทึบออกไปและพบตัวเขา เสี่ยวชวนคงลงเอยด้วยการที่ไม่มีใครรู้ด้วยซ้ำว่าเขาตายอยู่ที่นี่
ฉินอวี้โม่และคนอื่น ๆ ประหลาดใจยิ่งนักเมื่อได้ยินคำบอกเล่าของเสี่ยวชวน ในบรรดาคนทั้งกลุ่ม ผู้ที่ทรงพลังมากที่สุดก็คือหานโม่ฉือ ทว่าแม้แต่เขาเองก็ไม่รู้สึกว่ามีใครซุ่มตามหลัง แล้วเสี่ยวชวนรู้สึกเช่นนั้นได้อย่างไร ? ในขณะเดียวกัน พลังวิญญาณของฉินอวี้โม่ก็แกร่งกล้าที่สุดในคนทั้งกลุ่ม และนางก็ไม่รู้สึกถึงสิ่งใดเช่นกัน
อย่างไรก็ตาม เมื่อมองดูสีหน้าแววตาของเสี่ยวชวนและน้ำเสียงของเขา มันก็ไม่น่าจะเป็นคำโกหกพกลมไปได้เลย นั่นหมายความว่าเสี่ยวชวนรู้สึกจริง ๆ ว่ามีคนตามหลังพวกนางอยู่
หรือว่ามีใครตามหลังพวกนางอยู่จริง ? และคนผู้นั้นคือใครกัน ?
คนทั้งกลุ่มต่างก็สับสนและคิดหาคำตอบไม่ได้ ทุกคนรู้สึกเช่นเดียวกันว่าเรื่องนี้ยากเกินจะเข้าใจ
.