คุณหนูสี่ สตรีเปื้อนเลือด – ตอนที่ 565 ถอนกำลัง

ตู้ม ! ตู้ม ! ตู้ม !

เสียงการต่อสู้กลางลานจัตุรัสของเมืองซิ่งหัวยังคงดังอย่างต่อเนื่องและแน่นอนว่าการประจันหน้าระหว่างจอมยุทธ์นภาเซียนสองคนก่อให้เกิดความโกลาหลอย่างยิ่ง

เมื่อเปรียบเทียบกัน การต่อสู้ของฉินอวี้โม่และคนอื่น ๆ ไม่คู่ควรแก่การกล่าวถึงด้วยซ้ำ

พลังงานแรงกล้าที่แผ่มาจากการต่อสู้ระหว่างจอมยุทธ์ขอบเขตนภาเซียนทั้งสองคนไม่เพียงแต่แผ่ออกไปถึงทุกคนในเมืองซิ่งหัวเท่านั้น ทว่ามันยังรับรู้ไปถึงยอดฝีมือทรงพลังอีกหลายคนในดินแดน

“จอมยุทธ์นภาเซียนสองคน !”

ภายในนิกายหงส์มังกร บุรุษวัยกลางคนคนหนึ่งลืมตาโพลงขึ้นมาและสีหน้าแสดงถึงความตกตะลึงไม่น้อย เขาทราบดีว่าจอมยุทธ์ขอบเขตนภาเซียนเป็นดั่งเสือหมอบมังกรซ่อนในดินแดนและยากที่จะเห็นพวกเขาต่อสู้ห้ำหั่นกันเองเช่นนี้

ถึงอย่างไรแล้ว เพียงแค่การเป็นจอมยุทธ์ขอบเขตนภาเซียนก็มากพอที่จะก่อตั้งขุมกำลังทรงพลังของตนเองในดินแดนเทพมายาได้แล้ว และจอมยุทธ์นภาเซียนสองคนก็เพียงพอที่จะโค่นล้มอำนาจส่วนหนึ่งของดินแดนนี้ได้เลย

“เห็นทีข้าต้องเร่งมือแล้ว หากข้าไม่ออกจากสภาวะจำศีลนี้โดยเร็ว เกรงว่าอาจจะเกิดเรื่องบางอย่างในดินแดนได้ !”

คนผู้นี้คือผู้นำนิกายหงส์มังกรและเป็นจอมยุทธ์ผู้ที่มีพลังอยู่ในขอบเขตนภาเซียนเช่นกัน ระหว่างช่วงที่ผ่านมา ความแข็งแกร่งของเขาก็พัฒนาเพิ่มขึ้นและยังคงเก็บตัวฝึกฝนอยู่อย่างต่อเนื่อง

หลายคนอาจคิดว่าขอบเขตนภาเซียนคือจุดสูงสุดของการฝึกยุทธ์ ทว่ามีเพียงจอมยุทธ์ที่บรรลุขอบเขตนภาเซียนอย่างแท้จริงเท่านั้นที่จะตระหนักได้ว่าเส้นทางแห่งการฝึกยุทธ์ยังไม่สิ้นสุดเพียงเท่านี้ เหนือกว่านภาเซียนก็ยังมีขอบเขตของพลังที่ทรงพลังมากกว่าซึ่งเรียกว่าขอบเขตราชาเซียนและเป็นขอบเขตที่ยากจะบรรลุได้ อย่างไรก็ตาม หากทะลวงพลังไปถึงขอบเขตดังกล่าว จอมยุทธ์จะสามารถทะลวงผ่านขีดจำกัดทุกอย่างและกลายเป็นจ้าวแห่งโลกมิติ เมื่อเวลานั้นมาถึง ผู้ที่มีพลังอยู่ในขอบเขตนภาเซียนก็จะเป็นเพียงแค่มดปลวกในสายตาเท่านั้น

ณ นครเวหา สตรีงามนางหนึ่งค่อย ๆ ลืมตาด้วยท่วงท่าสง่างาม รูปลักษณ์ของนางดูเหมือนจะมีอายุอยู่ในช่วงวัยสามสิบปี กลิ่นอายความทรงพลังและลักษณะท่าทางที่สง่างดงามก็เผยให้เห็นเสน่ห์ของสตรีเต็มวัย

“โอ้ ตลอดหลายปีที่ผ่านมา ในที่สุดก็มีบางคนที่อดใจไม่ไหวสินะ…”

นางพึมพำกับตัวเองพลางหัวเราะเบา ๆ โดยไม่มีท่าทีตื่นตระหนกตกใจกับการปรากฏตัวของจอมยุทธ์นภาเซียนทั้งสองคนแม้แต่น้อย จากนั้นนางก็ค่อย ๆ หลับตาลงเพื่อฝึกวิชาด้วยจิตใจสงบนิ่งและปลีกวิเวกจากโลกภายนอกอีกครั้ง

สตรีผู้นี้มิใช่ใครอื่น หากแต่เป็นจ้าวนครเวหา—หนึ่งในยอดฝีมือระดับแนวหน้าของดินแดนเทพมายา—อวิ๋นซื่อเทียน นางทั้งทรงพลังและองอาจกล้าหาญ อีกทั้งยังเป็นผู้นำที่เป็นสตรีเพียงคนเดียวในบรรดาขุมกำลังใหญ่ทั้งหลาย แม้มีบุรุษมากมายมาเกี้ยวพาน นางก็ยังไม่ตกลงปลงใจและตบแต่งกับผู้ใด นอกจากนี้นางก็เป็นที่เคารพและชื่นชมของผู้คนมากมาย

นอกเหนือจากความแข็งแกร่ง อวิ๋นซื่อเทียนก็ยังเป็นช่างฝีมือนักประดิษฐ์ที่เก่งกาจซึ่งเป็นความชำนาญด้านเดียวกับเยว่ชิงเฉิง นางเองก็มาจากดินแดนหวนหลิงเช่นกันรวมถึงเคยศึกษาในโรงเรียนราชสำนักในช่วงเวลาหนึ่ง ซึ่งถือได้ว่าเป็นศิษย์รุ่นพี่ของฉินอวี้โม่

ภายในวิหารทมิฬ ผู้นำของวิหารทมิฬและผู้อาวุโสหลายคนก็กำลังหารือกันตามปกติทั่วไป ทันใดนั้น เมื่อสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายทรงพลังของคนสองคนอย่างกะทันหัน พวกเขาทั้งหมดก็ชะงักค้างไปทันทีและสีหน้าบ่งบอกถึงความตกตะลึงอย่างเห็นได้ชัด

“ดูเหมือนมันจะมาจากทิศทางของเมืองซิ่งหัว !”

อู่ซิงขมวดคิ้วเล็กน้อยขณะพยายามสัมผัสถึงแหล่งที่มาของพลังนั้นก่อนยืนยันได้ว่าพลังมหาศาลดังกล่าวแผ่มาจากทิศทางของเมืองซิ่งหัว

ครานี้วิหารทมิฬไม่ได้ส่งตัวแทนไปเข้าร่วมงานรวมพลที่เมืองซิ่งหัว ประการแรกเป็นเพราะเกิดเรื่องบางอย่างในวิหารทมิฬที่จะต้องจัดการโดยด่วน และประการที่สองเป็นเพราะเขาทราบอยู่แล้วว่าฉินอวี้โม่จะไปที่นั่น

อย่างไรก็ตาม ไม่คิดเลยว่าจะเกิดการต่อสู้ปะทะระหว่างจอมยุทธ์นภาเซียนสองคนจนแผ่พลังมหาศาลไปทั่วดินแดนเช่นนี้ สถานการณ์ที่นั่นช่างน่าสงสัยยิ่งนัก

“มีบางอย่างเกิดขึ้นที่เมืองซิ่งหัว อู่ซิง…ส่งคนไปสืบเรื่องนี้”

ผู้นำวิหารทมิฬที่ดูอ่อนโยนและมีรูปลักษณ์หล่อเหลาด้วยใบหน้ารูปร่างอยู่ในช่วงวัยกลางคน พลังของเขาก็อยู่ในขอบเขตนภาเซียนเช่นกันและในบรรดาผู้นำของขุมกำลังใหญ่ทั้งหมด พลังที่แท้จริงของเขาก็น่าจะเป็นรองเพียงผู้นำของนิกายหงส์มังกรเท่านั้น

“ขอรับ”

อู่ซิงพยักศีรษะก่อนแยกตัวออกไปและสั่งการให้คนไปสืบเรื่องราวที่เกิดขึ้นในเมืองซิ่งหัวโดยเร็ว

“ข้าหวังไว้จริง ๆ ว่าเทพมายาคนใหม่จะสามารถนำพาความประหลาดใจมาสู่พวกเราได้และทำให้ดินแดนเทพมายารอดพ้นไปจากวิกฤตที่กำลังจะมาถึง”

ผู้นำวิหารทมิฬทอดถอนหายใจเบา ๆ ด้วยความสงสัยใคร่รู้เกี่ยวกับตัวตนของฉินอวี้โม่ ผู้อาวุโสอู่ซิงแสดงความชื่นชมต่อฉินอวี้โม่อย่างออกนอกหน้า ในขณะที่ความองอาจกล้าหาญของนางก็ทำให้ตัวเขาชื่นชมมากเช่นกัน น่าเสียดายที่เขาไม่เคยพบหน้าฉินอวี้โม่ผู้นี้เลยสักคราและไม่ทราบว่าแท้จริงแล้วนางมีรูปลักษณ์หน้าตาเป็นอย่างไร

ณ อารามโชติช่วง เซิ่งเซียวก็กำลังศึกษาทักษะยุทธ์อยู่ จู่ ๆ ร่างกายของเขาก็สั่นสะท้านขึ้นมา เขาขมวดคิ้วมุ่นเล็กน้อยก่อนหยิบลูกแก้วกลมสีขาวขุ่นออกมา

“จอมยุทธ์นภาเซียนสองคน !”

เมื่อเห็นแสงสว่างจ้าส่องวาบออกมา เขาก็ประหลาดใจยิ่งกว่าเดิม ลูกแก้วแสงดังกล่าวถือเป็นสมบัติล้ำค่า แม้ไม่มีประสิทธิภาพในการต่อสู้ ทว่ามันก็มีคุณสมบัติพิเศษอย่างหนึ่งซึ่งก็คือการตรวจจับตำแหน่งของจอมยุทธ์นภาเซียน และเมื่อจอมยุทธ์ขอบเขตนภาเซียนปรากฏตัว มันก็จะส่องแสงสว่างวาบออกมา ในเมื่อครานี้แสงของมันสว่างเจิดจ้ายิ่งนัก เขาก็เชื่อว่ามันน่าจะหมายถึงจอมยุทธ์ขอบเขตนภาเซียนสองคนที่กำลังประจันหน้ากัน

“จิ๊จิ๊จิ๊ ดินแดนนี้ชักจะน่าสนุกมากขึ้นเรื่อย ๆ เสียแล้วสิ ไม่คิดเลยว่านอกจากขุมกำลังใหญ่ไม่กี่แห่ง จะยังมีจอมยุทธ์นภาเซียนคนอื่นอยู่ด้วย”

เขากล่าวกับตัวเองพร้อมยิ้มอย่างมีเลศนัยก่อนชำเลืองสายตามองไปที่ตราสัญลักษณ์ของอารามโชติช่วงและแววตาฉายชัดถึงความล้ำลึกซับซ้อนบางอย่าง

“ท่านโอรสศักดิ์สิทธิ์ ท่านจ้าวอารามเรียกท่านไปพบที่ห้องโถงเพื่อหารือเรื่องสำคัญบางอย่างขอรับ”

ใครคนหนึ่งกล่าวมาจากข้างนอกด้วยน้ำเสียงเคารพนอบน้อม

“เข้าใจแล้ว”

เซิ่งเซียวตอบกลับทันทีและเหยียดกายลุกขึ้นก่อนเดินตรงไปยังห้องโถงกว้าง เขาพอจะคาดเดาได้อยู่แล้วว่าจ้าวอารามเรียกหาเขาเพราะเหตุใด แม้ว่าจะรังเกียจเหยียดหยาม ทว่าในฐานะโอรสศักดิ์สิทธิ์แห่งอารามโชติช่วง เขาก็ยังต้องเชื่อฟังและปฏิบัติตามเป็นการชั่วคราว

เมื่อทั้งดินแดนสัมผัสได้ถึงคลื่นพลังของหานโม่ฉือและผู้นำฝ่ายมาร ขุมกำลังใหญ่ทั้งหลายก็เริ่มหารือกันภายในทันทีและมีหลายคนส่งตัวแทนมุ่งหน้าตรงมาที่เมืองซิ่งหัวเพื่อตรวจดูสิ่งที่เกิดขึ้นด้วยตัวเอง

แน่นอนว่าฉินอวี้โม่และคนอื่น ๆ ไม่ทราบถึงความเคลื่อนไหวดังกล่าว เวลานี้ทุกคนยังคงต่อสู้กันอย่างดุเดือด ณ ลานจัตุรัสของเมือง

ฉินอวี้โม่ไม่ยั้งมือแม้แต่น้อยและเรียกอสูรมายาทั้งหมดของตนออกมาเข้าร่วมการประจันหน้าในครานี้อย่างเต็มที่

นางมิใช่คนกระหายเลือดคลั่งไคล้ในสงคราม ทว่าคนจากฝ่ายมารก็หัวรั้นเกินไปและพร้อมที่จะสร้างปัญหาให้กับดินแดนทุกเมื่อ ยิ่งไปกว่านั้น การลงมือสังหารศัตรูเหล่านี้ก็จะถือว่าเป็นการขจัดสิ่งสกปรกไปจากดินแดน เพราะเหตุนั้น ฉินอวี้โม่จึงไม่ยั้งมือและกระหน่ำการโจมตีอย่างดุเดือดเพื่อจัดการกับจอมยุทธ์มากฝีมือของฝ่ายมาร

แน่นอนว่าหลินจิ้งหงและคนอื่น ๆ ก็ไม่ลังเลเช่นกัน พวกเขาปลิดชีพคนจากฝ่ายมารอย่างไม่ปรานีและเป็นฝ่ายได้เปรียบในช่วงหนึ่ง

เดิมทีผู้อาวุโสลั่วของฝ่ายมารก็ต้องการที่จะเข้าไปจัดการกับฉินอวี้โม่เป็นอันดับแรกและหาทางจับตัวนางกลับไป ไม่คิดเลยว่าเขาจะลงเอยด้วยการติดพันอยู่ในการต่อสู้กับบุรุษวัยกลางคนผู้หนึ่งและไม่สามารถเข้าไปถึงตัวฉินอวี้โม่ได้

บุรุษวัยกลางคนผู้นั้นก็มิใช่ใครอื่น หากแต่เป็นฉินเทียน—บิดาบังเกิดเกล้าของฉินอวี้โม่นั่นเอง

ผู้ใดก็ตามที่คิดจะทำร้ายบุตรสาวต่อหน้าเขา นั่นก็หมายความว่าคนผู้นั้นต้องการรนหาที่ตาย แม้ความแข็งแกร่งของผู้อาวุโสฝ่ายมารจะถือว่าไม่อ่อนแอ ทว่าตัวเขาเองก็มีพลังในขอบเขตพสุธาเซียนขั้นสูงและไม่หวาดหวั่นแม้แต่น้อย

กระบี่ในมือของฉินเทียนวาดลวดลายอย่างคล่องแคล่วรวดเร็วและประจันหน้ากับผู้อาวุโสลั่วได้โดยไม่เสียเปรียบแม้แต่น้อย เขาไม่แสดงความปรานีใด ๆ ต่อบุรุษชั่วช้าตรงหน้า ในเมื่อคิดจะทำร้ายบุตรสาวของเขา คนผู้นี้ก็จะต้องได้รับกรรมอย่างสาสม

ว่านเจียงเองก็ถูกขวางไว้โดยอวิ๋นเฟิงจากนครเวหาและทั้งสองต่อสู้กันอย่างดุเดือดโดยไม่มีเวลาสนใจฉินอวี้โม่และคนอื่น ๆ

บรรดาสมาชิกของฝ่ายมารก็คิดไปว่าการที่ฉินอวี้โม่ยังเยาว์วัยเช่นนี้ นางก็คงจะมิได้แข็งแกร่งเท่าใดนัก เพราะเหตุนั้นพวกเขาจึงประมาทฉินอวี้โม่ไปโดยปริยาย

อย่างไรก็ตาม หลังจากที่ได้ต่อสู้กันระยะหนึ่ง ด้วยทักษะอันน่าสะพรึงกลัว กอปรกับวิธีการที่โหดเหี้ยมไร้ความปรานีของฉินอวี้โม่ก็ทำให้พวกเขาตกใจไปตาม ๆ กันและไม่กล้าที่จะเสี่ยงประจันหน้ากับนางอีกต่อไป

ในช่วงหนึ่ง พื้นที่ว่างก่อตัวขึ้นเป็นวงล้อมรอบตัวฉินอวี้โม่และไม่มีผู้ใดกล้าเหยียบย่างเข้าไปใกล้ตัวนางแม้แต่น้อย

โดยรวมแล้วฝ่ายของดินแดนเทพมายามีจำนวนมากกว่าเล็กน้อยและบรรดาอสูรมายาของฉินอวี้โม่ก็ช่วยเพิ่มความได้เปรียบของพวกเขาได้เป็นอย่างยิ่ง

เพียงแต่ทุกคนก็ยังไม่กล้าวางใจและประมาท ยิ่งไปกว่านั้นพวกเขาก็ชำเลืองมองดูการต่อสู้ระหว่างหานโม่ฉือและผู้นำฝ่ายมารกลางอากาศเป็นระยะ ๆ ชัยชนะหรือความพ่ายแพ้ในวันนี้ขึ้นอยู่กับผลลัพธ์การต่อสู้ระหว่างจอมยุทธ์นภาเซียนทั้งสองคน ต่อให้สมาคมช่างหลอมและคนอื่น ๆ คว้าชัยชนะมาได้ ทว่าหากหานโม่ฉือเพลี่ยงพล้ำไป บทลงเอยของพวกเขาก็คงจะไม่ดีนัก

กลางอากาศเหนือลานจัตุรัส หานโม่ฉือและร่างจิตของผู้นำฝ่ายมารต่อสู้กันนับร้อยกระบวนท่า พลังความแข็งแกร่งของอีกฝ่ายคู่ควรกับการเป็นผู้นำของฝ่ายมารอย่างแท้จริง แม้ว่าร่างวิญญาณนี้จะมีพลังเพียงสามในสิบส่วนของร่างหลัก ทว่ามันก็เพียงพอที่จะประจันหน้ากับกระบวนท่าทรงพลังของหานโม่ฉือได้โดยไม่พ่ายแพ้

“เหอะ เจ้าหนุ่ม ข้ายอมรับเลยว่าพลังของเจ้าไม่ธรรมดาทีเดียว อีกทั้งยังมีพรสวรรค์ที่ยอดเยี่ยม หากเจ้ามาเข้าร่วมกับฝ่ายมารของข้า ข้าจะแต่งตั้งให้เจ้าเป็นรองผู้นำของขุมกำลังเรา เจ้าจะมีสถานะที่สูงส่งและทรงเกียรติ”

เมื่อผู้นำฝ่ายมารได้เห็นความสามารถและทราบว่าหานโม่ฉือยังมีอายุที่น้อย เขาก็มีความคิดที่จะทาบทามหานโม่ฉือมาเข้าร่วมกับตนเอง

อย่างไรก็ตาม เขามิได้ทราบถึงตัวตนของหานโม่ฉือแม้แต่น้อยและคาดการณ์ไปผิดถนัด

สำหรับหานโม่ฉือนั้น ไม่ว่าจะเป็นอำนาจ ตำแหน่งหรือว่าชื่อเสียงใด ๆ ก็ไม่ใช่สิ่งสำคัญ สิ่งเดียวที่สำคัญในหัวใจของบุรุษน้ำแข็งผู้นี้ก็คือฉินอวี้โม่ ความเพียรพยายามทุ่มเทฝึกยุทธ์ทุกอย่างที่ผ่านมาล้วนเป็นการทำเพื่อสตรีคนรักเพียงผู้เดียว

สำหรับตำแหน่งรองผู้นำของฝ่ายมารนี้ก็ไม่จำเป็นที่จะต้องคิดเลยด้วยซ้ำ แม้แต่ตำแหน่งผู้ปกครองของทั้งดินแดนเทพมายา เขาก็ไม่สนใจเลยสักนิด

“หากเจ้ามาที่นี่ด้วยตัวเอง ข้าก็อาจจะไม่ใช่คู่มือของเจ้า ทว่าตอนนี้เจ้าเป็นเพียงแค่ร่างจิตเท่านั้น รีบไสหัวออกไปซะ !”

หานโม่ฉือกล่าวอย่างเยือกเย็นและปฏิเสธข้อเสนอของผู้นำฝ่ายมารโดยตรง

ทันใดนั้น กลุ่มเพลิงลุกโชนก็ปรากฏขึ้นในมือของเขาซึ่งเป็นเพลิงของกิเลนอัคคีนั่นเอง

หลังจากใช้เวลาอยู่ในมิติโกลาหลมาเนิ่นนานและฝึกฝนพลังโกลาหลอย่างขยันขันแข็ง กล่าวได้ว่าตอนนี้หานโม่ฉือสามารถควบคุมพลังธาตุต่าง ๆ ได้อย่างชำนาญแล้ว

กิเลนอัคคีเป็นหนึ่งในอสูรศักดิ์สิทธิ์ที่เทียบได้กับพญามังกรและเพลิงของมันเป็นรองเพียงเพลิงจักรพรรดิของฉินอวี้โม่เท่านั้น แน่นอนว่ามันต้องเปี่ยมไปด้วยพลังทำลายล้างที่รุนแรง

“หายไปซะ !”

หลังจากกล่าวเพียงสั้น ๆ ร่างของหานโม่ฉือก็พุ่งออกไปปรากฏข้างกายฉินอวี้โม่ราวกับไม่คิดที่จะต่อสู้อีกต่อไป

ทุกคนก็ตกใจขึ้นมาเล็กน้อยและหยุดการเคลื่อนไหวตาม ๆ กัน จากนั้นพวกเขาก็มองตรงไปยังทิศทางของหานโม่ฉืออย่างสงสัยใคร่รู้

*ซี่ซี่ซี่…*

เสียงประหลาดดังขึ้นในโสตประสาทของทุกคน

เมื่อเงยหน้าขึ้นไปมอง ทุกคนก็เห็นเพียงว่าร่างจิตของผู้นำฝ่ายมารที่อยู่กลางอากาศกำลังถูกห่อหุ้มไปด้วยเพลิงของหานโม่ฉืออย่างรวดเร็ว

เพลิงร้อนระอุคือศัตรูตัวฉกาจของร่างจิตวิญญาณ ด้วยเหตุนั้น ร่างวิญญาณของผู้นำฝ่ายมารจึงเริ่มสลายหายไปในทันที

“อ๊ากกก !”

เสียงร้องด้วยความเจ็บปวดของผู้นำฝ่ายมารดังขึ้นและน้ำเสียงแอบแฝงไปด้วยความไม่เต็มใจอย่างชัดเจน

“รอก่อนเถอะ สักวันข้าจะปลิดชีวิตเจ้าด้วยมือของข้าเอง !”

หลังจากกล่าวข่มขู่ทิ้งท้าย ร่างจิตของผู้นำฝ่ายมารก็หายวับไปกลางอากาศตรงหน้าทุกคน

ทันทีที่เขาหายไป เหล่าผู้อาวุโสของฝ่ายมารก็มีใบหน้าที่ซีดเผือดทันที

.

Comment

Options

not work with dark mode
Reset