แท้จริงแล้ว ‘ภูเขากายสิทธิ์’ ที่ฉินอวี้โม่เข้าใจเป็นแนวเทือกเขาลึกลับที่ตั้งอยู่ทางเหนือของเมืองทงหลิง ณ บริเวณพรมแดมเชื่อมต่อระหว่างดินแดนทางเหนือและภูมิภาคกลาง
พื้นที่ของเทือกเขากายสิทธิ์ทอดยาวออกไปอย่างไม่รู้จบและดูราวกับไร้ที่สิ้นสุด แม้มีความสูงที่ไม่มากนัก ทว่าเทือกเขาแห่งนี้ก็มีความกว้างมากและครอบคลุมพื้นที่ในขนาดใหญ่อย่างยิ่ง
บริเวณเชิงเทือกเขากายสิทธิ์แห่งนี้ก็มีป่าผืนเล็กที่เรียกว่า ‘ป่ากายสิทธิ์’ สำหรับการเดินทางขึ้นไปบนยอดเขากายสิทธิ์ ผู้เดินทางจะต้องผ่านทางป่ากายสิทธิ์ผืนนี้อย่างมิอาจหลีกเลี่ยงได้
ภายในป่ากายสิทธิ์ก็มีอสูรมายาที่ลึกลับระดับสูงอยู่เป็นจำนวนมากและมันก็ไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะผ่านพวกมันไปได้อย่างปลอดภัย
“นายหญิง เหตุใดป่ากายสิทธิ์แห่งนี้ถึงดูไม่ค่อยมีผู้คนนักเลย ?”
ฉินอวี้โม่เดินเข้ามาในป่าผืนนี้ในอาภรณ์แบบบุรุษพร้อมด้วยมารยาและฉู่เจี๋ยข้างกาย
สำหรับการเดินทางไปจุดหมายปลายทางในครานี้ซึ่งก็คือเทือกเขากายสิทธิ์ แม้ฉินอวี้โม่จะไม่พาผู้ติดตามคนอื่นไป แต่ก็แน่นอนว่าฉู่เจี๋ยที่พักอยู่ในคฤหาสน์เฟิงหัวย่อมติดตามนางมาด้วย
และด้วยความแข็งแกร่งของฉู่เจี๋ยในตอนนี้ หากสระกายสิทธิ์วิเศษจริงดังข่าวลือ การเดินทางมาครานี้ก็จะพัฒนาพลังของเขาได้มาก
ก่อนหน้านี้หลังออกจากเมืองฉางอาน ฉินอวี้โม่ก็ขับเคลื่อนคฤหาสน์เฟิงหัวตรงไปที่เมืองทงหลิงอย่างไม่หยุดพักและก็ไม่ได้เสียเวลาอยู่ในตัวเมืองนานเกินไป จากนั้นนางก็มุ่งหน้าต่อมายังป่ากายสิทธิ์โดยตรง นางต้องการเดินทางไปที่เทือกเขากายสิทธิ์โดยเร็วที่สุดเพื่อพิสูจน์ข่าวลือด้วยตาตนเอง
เพียงแต่กลุ่มของนางเดินเท้าอยู่ในป่ากายสิทธิ์แห่งนี้มานานหลายวันแล้ว ทว่ากลับไม่พบคนอื่นใดเลย เพราะเหตุนั้นมารยาจึงอดเอ่ยถามด้วยความสงสัยไม่ได้
ด้วยความมหัศจรรย์ของมัน นางเชื่อว่าจะต้องมีจอมยุทธ์มากพรสวรรค์จำนวนมากที่หมายตาสระกายสิทธิ์นี้อยู่
ฉินอวี้โม่ได้เพียงแต่ส่ายศีรษะเบา ๆ นางเองก็ไม่ทราบว่าเหตุใดที่นี่จึงเงียบเชียบนัก
กล่าวกันว่าอีกเพียงไม่ถึงครึ่งเดือนเท่านั้นผนึกรอบสระกายสิทธิ์ก็จะสลายหายไป ดังนั้นในเวลานี้ป่ากายสิทธิ์แห่งนี้ก็ควรที่จะพลุกพล่านไปด้วยผู้คนถึงจะถูก
ในตอนนี้บรรยากาศรอบ ๆ ก็เงียบสงบอย่างยิ่ง อาจเป็นไปได้ว่าคนเหล่านั้นมาถึงที่นี่ล่วงหน้าก่อนแล้ว หรือว่าอาจมีอุปสรรคบางอย่างที่ปิดกั้นผู้อ่อนแอมิให้เล็ดลอดเข้ามาได้
อย่างไรก็ตาม ต่อให้มันมีบางสิ่งบางอย่างที่ขัดขวางไม่ให้บรรดาจอมยุทธ์ที่อ่อนแอเล็ดลอดเข้ามา ป่าทั้งผืนก็ไม่น่าจะเงียบเชียบมากเพียงนี้
“หรือจะมีเงื่อนงำบางอย่างอยู่เบื้องหลัง ?”
ฉู่เจี๋ยอดขมวดคิ้วมุ่นและเอ่ยความสงสัยออกไปไม่ได้ เขารู้สึกมาเสมอว่าการเดินทางไปยังเทือกเขากายสิทธิ์ครานี้คงไม่เรียบง่ายดังที่คิดไว้
“ไม่ว่าจะมีเงื่อนงำอะไรหรือไม่ เราก็มาถึงที่นี่แล้ว เราต้องขึ้นไปพิสูจน์ด้วยตาตัวเองให้ได้ น่าเสียดายที่เราไม่รู้ข้อมูลเกี่ยวกับเทือกเขากายสิทธิ์มากนัก มิฉะนั้นเราคงพอคาดเดาสถานการณ์ได้บ้างแล้ว”
ฉินอวี้โม่ยิ้มบาง ๆ และกล่าวออกไป นางเองก็สัมผัสได้ว่าการเดินทางครานี้ไม่เรียบง่ายอย่างแน่นอน เพียงแต่นางไม่ทราบข้อมูลเกี่ยวกับเทือกเขากายสิทธิ์มากนักและสระกายสิทธิ์ลึกลับนั่นก็ดึงดูดใจอย่างที่สุด ต่อให้มีเงื่อนงำใด ๆ แอบแฝงอยู่ มันก็ต้องมีผู้คนมุ่งหน้าไปเป็นจำนวนมากอย่างแน่นอน
“ท่านคิดว่าครานี้ในเทือกเขากายสิทธิ์ เราจะได้พบกับบรรดาสหายที่ไม่ได้เจอกันนานรึไม่ ?”
มารยายิ้มและกล่าวออกไปเมื่อนึกถึงเยว่ชิงเฉิงและคนอื่น ๆ ที่มันเคยพบหน้าหลายครั้งหลายครา มันมีความรู้สึกอยู่ในใจว่าจะอาจได้พบคนเหล่านั้นในการเดินทางครานี้
“ฮ่า ๆ ๆ ก็มีความเป็นไปได้ เพียงแต่ข้าไม่รู้ว่าครานี้นครล่าฝันจะส่งใครออกมา”
ฉินอวี้โม่กล่าวพร้อมรอยยิ้ม นางตั้งตารอคอยอยู่เช่นกัน นางเชื่อเป็นอย่างยิ่งว่าจะได้พบกับสหายทั้งหลายที่จากกันมานาน เพียงแต่มิอาจทราบได้ว่ามู่อวิ๋นจะส่งใครมาที่นี่บ้าง
“บางทีการเดินทางไปที่เทือกเขากายสิทธิ์ครานี้ ข้าก็อาจจะได้ข่าวเกี่ยวกับพ่อของข้าก็เป็นได้”
เมื่อนึกถึงฉินเทียนและคนอื่น ๆ ซึ่งไม่ได้ยินข่าวคราวมานาน ฉินอวี้โม่ก็แอบคาดหวังอยู่ในใจและการสืบข่าวคราวของบิดาก็เป็นหนึ่งในจุดประสงค์ที่นางเดินทางมาที่เทือกเขากายสิทธิ์ในครานี้เช่นกัน
มารยาและฉู่เจี๋ยพยักศีรษะเบา ๆ ฉู่เจี๋ยเองก็นึกถึงสหายในดินแดนอ้างว้างและเกิดความคาดหวังขึ้นในใจเช่นกัน
“ช่วยด้วย ! ช่วยด้วย !”
ในขณะที่พูดคุยกันอยู่นั้น พวกนางก็ได้ยินเสียงร้องขอความช่วยเหลือดังมาจากที่ไกล ๆ จึงมุ่งหน้าตรงไปตามทิศทางต้นเสียงอย่างไม่ลังเล
หลังจากผ่านพุ่มไม้หลายพุ่ม ฉินอวี้โม่และคนอื่น ๆ ก็มองเห็นเหตุการณ์ได้อย่างชัดเจน ตรงพื้นที่โล่งเบื้องหน้ามีกลุ่มคนห้าคนถูกล้อมรอบไว้ ร่างกายของคนเหล่านั้นเปรอะเปื้อนไปด้วยเลือดและมีอาการบาดเจ็บอย่างเห็นได้ชัด
สิ่งที่ล้อมรอบพวกเขาเหล่านั้นก็คือฝูงหมาป่าที่มีศีรษะและดวงตาสีเขียวดูประหลาดพิกล
พลังของฝูงหมาป่าเหล่านี้ไม่ได้แกร่งกล้านัก เพียงแต่พวกมันมีจำนวนมากถึงนับร้อยตัว
แม้ว่ากลุ่มคนทั้งห้าล้วนมีพลังในขอบเขตเซียนขั้นเก้า แต่พวกเขาก็ยังถูกฝูงหมาป่าล้อมรอบไว้และต้องระมัดระวังอย่างที่สุด
“โฮกกก !”
หมาป่าเหล่านั้นคำรามดังสนั่นและกระโจนเข้าใส่คนทั้งห้าหมายจะฉีกร่างของพวกเขาออกเป็นชิ้น ๆ
ใบหน้าของคนทั้งห้าเปลี่ยนไปทันทีและซีดเผือดลงอย่างชัดเจน เมื่อเห็นอสูรหมาป่ามากมายกระโจนเข้าใส่ พวกเขากระชับอาวุธในมือไว้แน่นทว่าร่างกายก็เริ่มสั่นสะท้านด้วยความหวาดกลัว
พวกเขาทราบดีว่าด้วยการที่มีอสูรหมาป่าจำนวนมากเช่นนี้ห้อมล้อมอยู่นั้น มันก็คงยากที่พวกเขาจะรอดชีวิตออกไปได้
“พี่อวี้โม่ ไปช่วยพวกเขากันเถอะ”
เมื่อเห็นสีหน้าและสภาพของคนทั้งห้า ฉู่เจี๋ยก็ขมวดคิ้วเล็กน้อยและกล่าวเสียงเบา
เขาทราบดีว่าฉินอวี้โม่มิใช่คนที่ชอบยุ่งเรื่องของคนอื่น ทว่าคนทั้งห้าตรงหน้าในตอนนี้น่าสงสารเป็นอย่างยิ่งและมีสตรีงามร่างบางอยู่ถึงสองคน การต้องทนมองดูพวกนางถูกฝูงหมาป่ากลืนกินเป็นสิ่งที่เขามิอาจทนได้เลย
ในอดีตก่อนหน้านี้ แม้ว่าฉินอวี้โม่จะไม่ชอบเข้าไปพัวพันในปัญหาของคนอื่น ทว่าในตอนนี้นับตั้งแต่ให้กำเนิดบุตรน้อยทั้งสอง ความคิดความอ่านของนางก็เปลี่ยนไปจากเดิมมาก หากอีกฝ่ายเป็นคนชั่วร้ายโหดเหี้ยม นางก็คงไม่สนใจว่าพวกเขาจะเป็นตายร้ายดีอย่างไร อย่างไรก็ตาม ผู้เคราะห์ร้ายเหล่านั้นเป็นเพียงกลุ่มจอมยุทธ์เท่านั้น หากเป็นไปได้ ฉินอวี้โม่ก็ไม่ขัดข้องที่จะช่วยชีวิตพวกเขา
“เสี่ยวเจี๋ย อย่าเพิ่งวู่วามไป หมาป่าพวกนั้นมีจำนวนมากเกินไป หากเจ้าอยากช่วยเหลือพวกเขา เจ้าก็ต้องระวังตัวให้มากกว่านี้”
ฉินอวี้โม่พยักศีรษะทว่าก็กล่าวเตือนให้บุรุษหนุ่มระวังตัวและไม่บุ่มบ่ามจนเกินไป
แม้ว่าความแข็งแกร่งของนางและเขาจะไม่อ่อนแอ ทว่าการเผชิญหน้ากับหมาป่าจำนวนมากเช่นนี้ หากใจร้อนพรวดพราดเข้าไป ไม่เพียงแต่จะช่วยพวกเขาไม่ได้เท่านั้น ทว่าทั้งสองอาจลงเอยด้วยการสูญเสียชีวิตของตนเองเช่นกัน
“นายหญิง ข้าจะไปเอง”
จู่ ๆ มังกรอัสนีก็ปรากฏกายขึ้นมาข้างฉินอวี้โม่และแรงกดดันอันสูงส่งทรงพลังก็แผ่ตรงไปข่มขวัญฝูงหมาป่าทันที
ฝูงหมาป่าที่กระโจนเข้าใส่คนทั้งห้ารู้สึกถึงแรงกดดันทรงพลังอย่างประหลาดและร่างของพวกมันก็หยุดชะงักไม่ขยับเขยื้อนไปชั่วขณะ
“โฮกกก !”
ทว่าเสียงคำรามก็ดังสนั่นขึ้นอีกครั้งและหมาป่าทั้งหลายที่ตกตะลึงจากแรงกดดันก่อนหน้านี้ก็กระโจนตรงไปหาเหยื่อตรงหน้าต่อไป ดูเหมือนว่าแรงกดดันจากมังกรอัสนีจะหยุดพวกมันได้ชั่วขณะเท่านั้น
“นายหญิง มีบางอย่างผิดปกติกับหมาป่าพวกนี้”
มังกรอัสนีขมวดคิ้วทันทีที่ตระหนักว่าแรงกดดันของตนไม่มีผลต่อฝูงอสูรหมาป่าเหล่านี้
แน่นอนว่าฉินอวี้โม่สังเกตเห็นความประหลาดของหมาป่าเหล่านั้นเช่นกัน ดูเหมือนว่าพวกมันจะอยู่ภายใต้การควบคุมของบางสิ่งบางอย่างและไม่เกรงกลัวความตายเลยสักนิด
คนทั้งห้าก็ไม่ต้องการเอาชีวิตมาทิ้งไว้ที่นี่ขณะฮึดสู้ต่อไปโดยยกอาวุธในมือขึ้นต่อสู้กับหมาป่าจำนวนมาก แม้ว่าอสูรมากกว่าสิบตัวถูกสังหารไปในทันที ทว่าพวกเขาก็ได้รับบาดเจ็บพอสมควรเช่นกันและเหมือนว่าจะยื้อไว้ได้อีกไม่นาน
เมื่อเห็นสีหน้าไม่สู้ดีของคนทั้งห้า ฉินอวี้โม่ก็ขมวดคิ้วมุ่นทันที หลังจากไตร่ตรองครู่หนึ่ง นางก็เกิดความคิดหนึ่งขึ้นมา
หลังจากส่งสัญญาณให้ทุกชีวิตกลับเข้าไปในคฤหาสน์เฟิงหัวและควบคุมให้มันล่องหน นางก็ขับเคลื่อนคฤหาสน์ของนางตรงไปยังกลุ่มคนทั้งห้าทันที
จากนั้น ฉินอวี้โม่ก็ยื่นมือออกไปดึงคนเหล่านั้นเข้ามาในคฤหาสน์ล่องหนอย่างรวดเร็ว
เดิมทีคนทั้งห้ากำลังต่อสู้กับหมาป่ารอบตัวอย่างดุเดือด ทว่าจู่ ๆ พวกเขาก็รู้สึกได้ถึงพลังมหาศาลที่ฝ่าทะลวงเข้ามา จากนั้นทุกอย่างรอบตัวก็เปลี่ยนไปก่อนที่พวกเขาจะปรากฏตัวขึ้นมาในอีกสถานที่หนึ่ง ความเปลี่ยนแปลงอย่างกะทันหันนี้ทำให้พวกเขาชะงักค้างไปในทันที
“ทุกท่านปลอดภัยดีรึไม่ ?”
เมื่อเห็นคนทั้งห้ายังคงตกตะลึงกับสิ่งที่เกิดขึ้น ฉินอวี้โม่ก็ยิ้มอย่างเป็นมิตรและกล่าวออกไป
เมื่อได้ยินเสียงนั้น ในที่สุดทั้งห้าคนก็ค่อย ๆ เรียกสติกลับคืนมาได้
“ขอบคุณท่านมากที่ช่วยพวกเราไว้”
หลังจากปรับตัวครู่หนึ่ง อีกฝ่ายก็ตระหนักว่าฉินอวี้โม่คือผู้ที่ช่วยชีวิตพวกเขาทั้งห้าและพาพวกเขาเข้ามาในคฤหาสน์หลังนี้
“นี่แค่เรื่องเล็กน้อย ไม่ต้องคิดมากหรอก”
ฉินอวี้โม่ยิ้มและหยิบโอสถจำนวนหนึ่งออกมายื่นให้คนทั้งห้ากลืนลงไปเพื่อรักษาอาการบาดเจ็บเสียก่อน
คนทั้งห้าล้วนแต่เป็นบุคคลที่ชาญฉลาด พวกเขารับโอสถไปทันทีและนั่งลงเพื่อฟื้นฟูอาการบาดเจ็บของร่างกาย หลังจากอาการบาดเจ็บฟื้นตัวดีขึ้นเล็กน้อย พวกเขาก็ยืนขึ้นและกล่าวขอบคุณฉินอวี้โม่อีกครั้ง
จากนั้นฉินอวี้โม่ก็บอกให้พวกเขานั่งพักและกล่าวพร้อมรอยยิ้ม “ทุกท่านมาที่นี่ก็เพราะสระกายสิทธิ์เช่นกันรึ ?”
การที่ฉินอวี้โม่เป็นผู้ที่ช่วยชีวิตพวกเขาทั้งห้าไว้ แน่นอนว่าพวกเขาก็ตอบกลับอย่างไม่ปิดบังและพยักศีรษะพร้อมกล่าวอย่างชัดเจน “พวกเราทั้งหมดมีพลังอยู่ในขอบเขตเซียนขั้นเก้า เมื่อได้ยินเรื่องของสระกายสิทธิ์ เราจึงอดที่จะมาไม่ได้ อย่างไรก็ตาม พวกเราประมาทเทือกเขากายสิทธิ์เกินไป เพียงไม่นานหลังเข้ามาในป่ากายสิทธิ์นี้ เราก็ถูกหมาป่าพวกนั้นล้อมโจมตี หากมิใช่เพราะความช่วยเหลือจากท่าน เราก็คงตายเป็นผีเฝ้าป่าไปแล้ว !”
บุรุษผู้ที่ดูอาวุโสมากที่สุดในกลุ่มคนทั้งห้ากล่าวด้วยน้ำเสียงสลดใจ เหตุการณ์เมื่อครู่อันตรายอย่างที่สุด หากฉินอวี้โม่มาช้ากว่านี้เพียงเสี้ยวอึดใจ พวกเขามากกว่าครึ่งก็คงต้องตายไปแล้ว
“ฮ่า ๆ ๆ เราเพียงบังเอิญผ่านมาทางนี้และได้ยินเสียงร้องขอความช่วยเหลือ พวกเราต่างก็เป็นจอมยุทธ์เหมือน ๆ กัน เมื่อเห็นว่าพวกท่านตกอยู่ในอันตราย เราจึงอดเข้าไปช่วยไม่ได้ ทว่าหมาป่าพวกนั้นก็น่ากลัวจริง ๆ …ท่าทางของพวกมันดูแปลกประหลาดราวกับว่าถูกบางสิ่งบางอย่างควบคุมไว้ ข้าจึงไม่มีทางเลือกนอกจากพาพวกท่านเข้ามาหลบในคฤหาสน์ของข้าก่อน”
ฉินอวี้โม่ยิ้มอย่างเป็นมิตรและไม่ได้สงสัยในวาจาของอีกฝ่าย เพียงแค่กล่าวด้วยไม่กี่คำ ฉินอวี้โม่ก็มองเห็นแล้วว่าพวกเขาเป็นคนอาจหาญขวัญกล้าและไม่ได้คิดที่จะปกปิดสิ่งใดจากนาง
“เป็นจริงอย่างที่ท่านว่า พลังของอสูรพวกนั้นอย่างมากก็อยู่ในระดับเซียนขั้นสามเท่านั้น ทว่าพวกมันกลับมีจำนวนมากและโหดเหี้ยมอย่างยิ่ง พวกมันเหมือนจะถูกควบคุมโดยบางอย่าง มิฉะนั้นพวกเราทั้งห้าก็คงหลบหนีออกไปได้แล้ว”
ผู้นำของกลุ่มพยักศีรษะและกล่าวเห็นด้วยกับวาจาของฉินอวี้โม่ หมาป่าเหล่านั้นเป็นฝูงอสูรที่โหดเหี้ยมดุร้ายที่สุดที่พวกเขาเคยพบเจอมาและพวกมันดูจะไร้ซึ่งความเกรงกลัว
“จะว่าไปแล้ว… ข้ายังไม่ได้แนะนำตัวเลย ข้ามีชื่อว่าวังหลง นี่คือสหายของข้า… เจียงเสี่ยวอวี๋ เจียงต้าอวี๋ เมิ่งเฟยและเมิ่งหมิ่น พวกเราต่างก็เป็นจอมยุทธ์อิสระในดินแดนทางเหนือ ทว่าเป็นเพราะไม่อยากที่จะเสียอิสรภาพ แทนที่จะเข้าร่วมกับขุมกำลังอื่น ๆ พวกเราจึงเลือกที่จะก่อตั้งกลุ่มห้าคนเช่นนี้ขึ้นมา จนถึงตอนนี้พวกเราก็ออกหาประสบการณ์และฝึกยุทธ์ด้วยกันมาเป็นเวลาหลายปีแล้ว”
วังหลงกล่าวแนะนำคนทั้งห้าพร้อมรอยยิ้มเป็นมิตร
เจียงเสี่ยวอวี๋และเจียงต้าอวี๋ดูเรียบง่ายไม่ซับซ้อนและซื่อตรง พวกเขายิ้มให้ฉินอวี้โม่และฉู่เจี๋ยอย่างสุภาพนอบน้อม ในขณะเดียวกัน เมิ่งเฟยเป็นสตรีพูดน้อยและเขินอาย นางเพียงคลี่ยิ้มเล็กน้อยบนใบหน้าชมพูระเรื่อ เมิ่งหมิ่นกล้าหาญและเปิดเผยมากกว่า เมื่อวังหลงกล่าวแนะนำ นางก็ยิ้มและกล่าวทันที “ท่านจอมยุทธ์ เมื่อครู่ข้าไม่รู้จะทำอย่างไรจึงได้ตะโกนขอความช่วยเหลือออกไป ขอบคุณท่านมากที่ช่วยชีวิตพวกเราไว้ หากในอนาคตข้างหน้าท่านมีเรื่องเดือดร้อนใด ๆ ได้โปรดอย่าลังเลที่จะบอกพวกเรา”
เมื่อได้ยินวาจาชัดเจนของเมิ่งหมิ่น ฉินอวี้โม่ก็ยิ้มตอบและพยักศีรษะ
“ข้าชื่อฉินอวี้โม่ เป็นผู้นำของเรือนเฟิงเสวี่ย ครานี้ข้าก็มาที่นี่เพื่อสระกายสิทธิ์เช่นกัน ไม่ทราบว่าทุกท่านสนใจเข้าร่วมกับเรือนเฟิงเสวี่ยของข้ารึไม่ ?”
ฉินอวี้โม่ไม่ปิดบังตัวตนแท้จริงและกล่าวเชื้อเชิญออกไปโดยตรง
คนทั้งห้าดูเป็นคนดีไม่มีพิษภัย พลังของพวกเขาก็ไม่ได้ถือว่าอ่อนแอเลย นางจึงถือโอกาสนี้ในการทาบทามพวกเขาเข้ามาเพื่อเสริมสร้างขุมกำลังของนางให้แข็งแกร่งมากยิ่งขึ้น
.
.
Related