งานชุมนุมดินแดนเหนือถือเป็นเพียงงานขนาดเล็กในดินแดนเทพมายา
แม้ว่าขุมกำลังหลัก ๆ ในดินแดนเทพมายาล้วนกระจุกรวมตัวกันอยู่ที่ภูมิภาคกลาง ทว่ายังมีคนจำนวนไม่น้อยที่ให้ความสนใจเกี่ยวกับสถานการณ์ของดินแดนทางเหนือ
เพราะเหตุนั้น ทุกครั้งทุกคราที่มีงานชุมนุมเพื่อชิงความเป็นใหญ่ของดินแดนทางเหนือ มันก็มักที่จะดึงดูดผู้ที่มีความสนใจในดินแดนทางเหนือให้มาที่นี่
และครั้งนี้ก็เป็นเช่นเดียวกัน งานชุมนุมดินแดนเหนือยังคงดึงดูดผู้มีอิทธิพลและผู้มีชื่อเสียงจากภูมิภาคกลางมาเป็นจำนวนมาก
ในภูมิภาคกลางของดินแดนเทพมายา ขั้วอำนาจใหญ่จะแบ่งออกเป็นขุมกำลังหลายแห่ง และครานี้ก็มีคนจากสามขุมกำลังที่ให้ความสนใจและมาเข้าร่วมงานในดินแดนทางเหนือ
ขุมกำลังแรกคือขุมกำลังที่ทรงพลังและมีอิทธิพลมากที่สุดในดินแดนเทพมายาในเวลานี้—อารามโชติช่วง และครานี้ผู้ที่เป็นตัวแทนจากอารามโชติช่วงคือตัวตนในระดับผู้อาวุโสจากอาราม—เซิ่งเซียว
ขุมกำลังที่สองคือวิหารทมิฬซึ่งมีพลังอำนาจที่ใกล้เคียงกับอารามโชติช่วง ทว่าทั้งสองขุมกำลังอยู่ในขั้วอำนาจที่ตรงข้ามกันอย่างสิ้นเชิง
ฉินอวี้โม่สนใจเป็นอย่างยิ่งเมื่อได้ยินว่าวิหารทมิฬส่งตัวแทนมาเป็นกรรมการในงานชุมนุมครานี้ นางมีความสัมพันธ์ที่ดีกับวิหารทมิฬ ก่อนหน้านี้ในครั้งที่ยังอยู่ในดินแดนหวนหลิง นางได้ผูกมิตรกับอู่ซิงและคนอื่น ๆ จากวิหารทมิฬ เพียงแต่นางยังไม่ทราบว่าตัวแทนจากวิหารทมิฬครานี้คือผู้ใด
“ท่านทราบชื่อของตัวแทนที่วิหารทมิฬส่งมาในครานี้รึไม่ ?”
เมื่อนึกถึงเรื่องนี้ ฉินอวี้โม่ก็เอ่ยถามออกไปโดยตรง
“ทำไมรึ ? ท่านผู้นำรู้จักใครจากวิหารทมิฬงั้นรึ ?”
เมื่อได้ยินวาจาของฉินอวี้โม่ ซวงเสวี่ยก็หันไปมองผู้นำของตนก่อนเอ่ยถามอย่างสงสัย
“เมื่อหลายปีก่อน ข้าเคยร่วมมือกับคนจากวิหารทมิฬหลายครั้งหลายคราและถือว่าสนิทสนมกันไม่น้อย ข้าไม่แน่ใจว่าครานี้เขาจะมาที่นี่รึไม่”
ฉินอวี้โม่ยิ้มและกล่าวโดยไม่อธิบายรายละเอียดหรือปิดบังแต่อย่างใด
เมื่อได้ยินเช่นนั้น ซวงเสวี่ยและคนอื่น ๆ เพียงพยักศีรษะโดยไม่ถามให้มากความ
“จากข่าวที่เราได้ทราบมา ตัวแทนจากวิหารทมิฬครานี้เป็นผู้ที่มีพลังอยู่ในขอบเขตพสุธาเซียนขั้นสูง ผู้อาวุโสสามแห่งวิหารทมิฬ—ผู้อาวุโสอู่ซิง”
เมื่อชื่อของ ‘อู่ซิง’ ถูกกล่าวออกมาอย่างชัดเจน ซวงเสวี่ยสังเกตเห็นว่าสีหน้าของฉินอวี้โม่คลี่ยิ้มกว้างทันที
“ฮ่า ๆ ๆ เป็นสหายเก่าแก่ของข้าจริง ๆ ด้วย”
ฉินอวี้โม่จะไม่คุ้นเคยกับชื่ออู่ซิงได้อย่างไร ตัวแทนวิหารทมิฬที่นางเคยพบในงานเลี้ยงของนครเมฆาครานั้นคืออู่ซิงจากวิหารทมิฬผู้นี้ เมื่อเดินทางมาถึงดินแดนเทพมายา นางก็ต้องการหาทางติดต่อกับอู่ซิงก่อน อย่างไรก็ตาม ดินแดนทางเหนืออยู่ไกลจากภูมิภาคกลางของดินแดนเทพมายาอย่างยิ่ง ฉินอวี้โม่จึงไม่รีบร้อนที่จะหาทางติดต่อกับสหายเก่าทว่าใช้เวลาช่วงนี้เพื่อพัฒนาสร้างอิทธิพลของตนเองเสียก่อน
อย่างไรก็ตาม เมื่อทราบว่าอู่ซิงเป็นตัวแทนจากวิหารทมิฬเพื่อมาที่งานชุมนุมครานี้ นางก็จะได้โอกาสพูดคุยหารือกับเขา รวมถึงสืบข่าวเกี่ยวกับพี่ชายของตนและสหายคนอื่น ๆจากดินแดนหวนหลิง
“ท่านซวงเสวี่ย อธิบายข้อมูลของกรรมการผู้ตัดสินคนที่สามเถอะ”
ฉินเฟิงกล่าวพร้อมรอยยิ้ม เขาไม่เอ่ยถามสิ่งใดจากผู้เป็นศิษย์น้อง ทว่ากล่าวขึ้นเพื่อให้ซวงเสวี่ยอธิบายต่อไป
“คนที่สามถือว่ามีชื่อเสียงเลื่องลือมากทีเดียว เขาเป็นผู้อาวุโสใหญ่แห่งนิกายหงส์มังกรและเป็นผู้ที่ทรงพลังที่สุดในตัวแทนทั้งสามคน เขามีนามว่าหลงจื้อ !”
ฉินอวี้โม่ชะงักไปเล็กน้อยเมื่อได้ยินชื่อ ‘หลงจื้อ’ เมื่อนานมาแล้ว ณ นครเมฆา นางเคยประจันหน้ากับหลงจื้อมาก่อน เขาเป็นคนที่ล้ำลึกและยากเกินหยั่งถึง อีกทั้งยังมีพลังที่แข็งแกร่งซึ่งถือว่าเป็นคนที่ไม่ธรรมดาเลยสักนิด หากมิใช่เพราะความจริงที่ว่าในตอนนั้นคนจากดินแดนหวนหลิงยังอ่อนแอเกินไป นางมั่นใจว่าจะสังหารหลงจื้อผู้นี้ด้วยตนเองได้
หลังจากต้องปล่อยให้หลงจื้อจากไปโดยมิอาจทำอะไรได้ ความชิงชังในใจของนางและคนอื่น ๆ ก็ไม่เคยจางหายไป ไม่คิดเลยว่าตลอดหลายปีที่ผ่านมานี้ หลงจื้อที่เดิมทีแข็งแกร่งอยู่แล้วจะยังพัฒนาขึ้นไปได้อย่างรวดเร็ว หลงจื้อในวันนี้เป็นผู้อาวุโสใหญ่แห่งนิกายหงส์มังกรและทรงพลังยิ่งกว่าเดิม ฉินอวี้โม่คาดการณ์ได้ว่าหากเขาค้นพบตัวตนของนางในงานชุมนุมดินแดนเหนือครานี้ มันจะนำไปสู่ปัญหามากมายไม่รู้จบอย่างแน่นอน
“ทำไมรึ ? ท่านผู้นำรู้จักหลงจื้อด้วยรึ ?”
เมื่อเห็นสีหน้าของฉินอวี้โม่ ซวงเสวี่ยก็มองนางด้วยความประหลาดใจและงุนงง
ฉินเฟิงหันไปมองฉินอวี้โม่เช่นกัน เขาสัมผัสได้ถึงความอาฆาตที่แผ่ออกมาจากร่างของศิษย์น้อง เพียงแค่นี้ก็เห็นได้ชัดแล้วว่าหลงจื้อและฉินอวี้โม่น่าจะเคยมีเรื่องบาดหมางกันมาก่อน
“ฮ่า ๆ ๆ แน่นอนว่ารู้จักเป็นอย่างดี ทว่าเรื่องมันยาว ข้าจะอธิบายให้ทุกคนได้ฟังหลังจากนี้”
ฉินอวี้โม่ยิ้มและสีหน้ากลับคืนสู่ความเรียบเฉยไม่บ่งบอกความรู้สึกเช่นเดิม อย่างไรก็ตาม นางตัดสินใจชัดเจนแล้ว ไม่ว่าอย่างไร นางก็ไม่มีทางปล่อยให้หลงจื้อค้นพบตัวตนที่แท้จริงของนางอย่างเด็ดขาด
หากหลงจื้อใจคดผู้นั้นค้นพบตัวตนที่แท้จริงของนาง บางทีนางก็อาจจะต้องเก็บตัวอยู่ในดินแดนทางเหนือแห่งนี้ไปตลอดกาล
“แม้ว่าภูมิภาคกลางจะไม่เข้ามาแทรกแซงการพัฒนาของดินแดนทางเหนือของเรา ทุกขุมกำลังก็ให้ความสนใจในดินแดนของเราไม่น้อย ครานี้สามขุมกำลังส่งตัวแทนมาเข้าร่วมและต้องการสำรวจสถานการณ์โดยรวมของดินแดนทางเหนือของเราเช่นกัน เพราะฉะนั้น เกรงว่างานชุมนุมดินแดนเหนือครานี้จะต้องมีเรื่องน่าตื่นเต้นมากมายอย่างแน่นอน”
ซวงเสวี่ยกล่าวเมื่อไตร่ตรองถึงสิ่งที่อาจเกิดขึ้นในอนาคตข้างหน้าและเขาก็รู้สึกจนปัญญาไม่น้อย หากงานชุมนุมดินแดนเหนือครานี้ไม่ราบรื่นอย่างที่คิดไว้ เกรงว่าดินแดนนี้ของพวกเขาจะเกิดความโกลาหลครั้งใหญ่อย่างแน่นอน เมื่อถึงตอนนั้น หากมีขุมกำลังใดจากภูมิภาคกลางเข้ามาแทรกแซง สถานการณ์ในดินแดนทางเหนือจะคุกรุ่นและตึงเครียดอย่างมิอาจหลีกเลี่ยงได้
เมื่อได้ยินวาจาของซวงเสวี่ย ฉินอวี้โม่เพียงยิ้มออกมาทว่าสีหน้ายังไม่บ่งบอกความรู้สึกที่เปลี่ยนไปแต่อย่างใด
ดินแดนทางเหนือแห่งนี้ไม่ได้เรียบง่ายอย่างที่จินตนาการไว้อย่างแน่นอน อย่างไรก็ตาม หากมีผู้ใดต้องการชมเรื่องที่น่าสนใจหรือน่าตื่นเต้น พวกเขาก็อาจจะผิดหวังได้ เพราะบางทีผู้ที่มาเพื่อชมเรื่องที่น่าตื่นเต้นเหล่านั้นอาจจะได้เข้ามาร่วมในความตื่นเต้นนี้ซะเอง
หลังจากเตรียมความพร้อม ฉินอวี้โม่ก็สวมอาภรณ์บุรุษและผ้าคลุมบดบังใบหน้าก่อนมุ่งหน้าออกไปยังลานจัตุรัสของเมืองฉางอานพร้อมฉินเฟิงและคนอื่น ๆ
สำหรับกฎเกณฑ์และระเบียบของงานชุมนุมดินแดนเหนือครานี้จะประกาศให้ทราบโดยทั่วกันที่ลานจัตุรัสของเมือง อีกทั้งพวกนางก็จะได้พบกับทุกคนที่เข้าร่วมงานในลานแห่งนี้เช่นกัน
เนื่องจากมีงานสำคัญอย่างงานชุมนุมดินแดนเหนือ ถนนหนทางในเมืองฉางอานจึงพลุกพล่านไปด้วยผู้คนและมีชีวิตชีวาอย่างยิ่ง เมื่อเห็นฉินอวี้โม่และคณะของนางเข้ามา คนเหล่านั้นหลีกตัวออกห่างเพื่อเปิดทางให้คนทั้งกลุ่มโดยอัตโนมัติ
ก่อนหน้านี้พวกเขาอาจไม่ทราบสิ่งใดเกี่ยวกับเรือนเฟิงเสวี่ยมากนัก ทว่าบัดนี้ทุกคนต่างก็คุ้นหน้าคุ้นตาฉินเฟิงและคนอื่น ๆ เป็นอย่างดีโดยทราบว่าพวกเขาเป็นสมาชิกของเรือนเฟิงเสวี่ย
“เฮ้ เจ้าบอกว่าผู้นำของเรือนเฟิงเสวี่ยเป็นโฉมนารีงดงามมิใช่รึ ? แล้วเหตุใดนางจะต้องสวมอาภรณ์บุรุษและใส่หน้ากากบดบังใบหน้าเช่นนี้เล่า ?”
ใครคนหนึ่งที่ไม่เคยพบฉินอวี้โม่มาก่อนเอ่ยขึ้นตามหลังฉินอวี้โม่ด้วยเสียงเบา
“เจ้าจะไปรู้อะไรกัน ? นี่คือการเก็บตัวเงียบโดยที่ไม่ทำตัวโดดเด่น หากผู้นำเรือนเฟิงเสวี่ยเปิดเผยใบหน้าที่แท้จริง เกรงว่าบุรุษทั่วบริเวณคงจะตกตะลึงชะงักค้างจนก้าวขาไม่ออก เรือนเฟิงเสวี่ยเป็นขุมกำลังที่ถ่อมตนและเก็บตัวสงบเสงี่ยม ไม่เหมือนหุบเขากรุ่นกำยานที่ยโสโอหังอย่างไม่ไว้หน้าผู้ใด”
อีกคนกล่าวตอบ น้ำเสียงของเขาแสดงถึงความชื่นชมที่มีต่อเรือนเฟิงเสวี่ยอย่างชัดเจน
แม้ไม่กล่าวถึงผู้นำของเรือนเฟิงเสวี่ยที่งดงามสะเทือนทั้งใต้หล้า ทว่าเพียงแค่ผลงานของเรือนเฟิงเสวี่ยที่ผ่านมาก็ยอดเยี่ยมและทำให้เขาชื่นชมอย่างที่สุด
ระหว่างช่วงที่ผ่านมานี้ หลังจากความรุ่งเรืองอย่างมั่นคงของเรือนเฟิงเสวี่ย ภายในเขตอิทธิพลของเรือนเฟิงเสวี่ย การพัฒนาของพวกเขาก็ดำเนินไปอย่างสงบราบรื่นและทุกคนปรองดองเป็นปึกแผ่นกันอย่างยิ่ง นอกจากนี้ บรรยากาศโดยรวมของขุมกำลังก็น่าพึงพอใจมากและจอมยุทธ์อิสระจำนวนมากก็เข้าร่วมกับเรือนเฟิงเสวี่ยแล้ว แม้แต่ตัวเขาเองก็ต้องการเป็นสมาชิกของขุมกำลังที่ยอดเยี่ยมเช่นนี้
“เหอะ เกรงว่าคงไม่งดงามดังคำที่กล่าวกันหรอก คงกลัวว่าผู้คนจะเยาะเย้ยนินทาเมื่อได้เห็นใบหน้าที่อัปลักษณ์ซึ่งไม่สมกับคำร่ำลือ ดังนั้นจึงไม่กล้าเปิดเผยมันมากกว่า !”
บุรุษอีกคนกล่าวด้วยน้ำเสียงเย้ยหยันอย่างชัดเจน เขามองไปยังจุดที่ฉินอวี้โม่เดินจากไปด้วยใบหน้าบ่งบอกถึงความไม่เชื่อแม้แต่น้อย
อย่างไรก็ตาม ทันทีที่กล่าวจบ เขาก็รู้สึกถึงสายตาของคนกลุ่มใหญ่ที่มองตรงมาที่เขาอย่างดุร้าย ราวกับว่าจะจับเขากินทั้งเป็น
“เหอะ ริอาจกล่าววาจาสามหาวกับผู้นำเรือนเฟิงเสวี่ยรึ รนหาที่ตายชัด ๆ !”
ใครคนหนึ่งกล่าวอย่างโหดร้าย ก่อนหน้านี้เขาได้เห็นใบหน้าที่แท้จริงของฉินอวี้โม่จากในโรงเตี๊ยมและแน่นอนว่าต้องประทับใจอย่างที่สุด การที่มีผู้ใดกล้ากล่าววาจาใส่ร้ายไม่ให้เกียรตินางเช่นนี้ เขาจึงคัดค้านออกไปโดยไม่ลังเล
“กล้าที่จะกล่าววาจาหยาบคายที่ทำให้เทพธิดาของข้าต้องเสียหายเช่นนี้ เจ้ารนหาที่ตายเสียแล้ว !”
ใครอีกคนกล่าวเสริมเช่นกัน เขาเองก็เคยเห็นใบหน้าที่แท้จริงของฉินอวี้โม่มาแล้วและกลายเป็นผู้คลั่งไคล้นางอย่างเต็มหัวใจ การที่มีคนเอ่ยวาจาสามหาวต่อโฉมนารีงามผู้เป็นดั่งเทพธิดาในสายตาของเขาเช่นนี้ถือว่าคนผู้นั้นไม่อยากมีชีวิตอยู่อีกต่อไป
“เหอะ ผู้นำเรือนเฟิงเสวี่ยเป็นสตรีงดงามชวนมองอย่างที่สุด เราได้เห็นใบหน้าที่แท้จริงของนางแล้ว การที่เจ้ากล่าววาจาให้ร้ายและหมิ่นประมาทนางเช่นนี้ คงไม่มีสิ่งอื่นใดนอกจากความริษยา อย่างไรก็ตาม ต่อให้จะริษยาเพียงใด เจ้าก็ไม่มีสิทธิ์พูดว่าร้ายนางเช่นนี้ !”
บุรุษอีกคนแค่นเสียงและกล่าวอย่างเย็นชา เขาไม่รอช้าและเตรียมโจมตีผู้ที่กล่าวให้ร้ายฉินอวี้โม่ทันที
คนอื่น ๆ ก็มองหน้ากันและเริ่มตั้งท่าจู่โจมคนผู้นั้นราวกับเข้าใจตรงกันโดยไม่ต้องเอ่ยวาจา
บุรุษผู้นั้นมองกลุ่มคนรอบตัวที่จ้องมองตนเองด้วยแววตามุ่งร้ายและตระหนักดีว่าไม่ควรกล่าวสิ่งใดออกไปอีก เขาเตรียมหันหลังเพื่อหลบหนีทว่าถูกล้อมรอบเอาไว้แล้ว
ภายในเวลาเพียงไม่นาน เขาก็ถูกอัดจนน่วมโดยที่จมูกฟกช้ำและใบหน้าบวมเป่งอย่างเห็นได้ชัดขณะส่งเสียงร้องด้วยความเจ็บปวดออกมาอย่างต่อเนื่อง
ผู้คนโดยรอบก็มองดูสีหน้าแววตาของกลุ่มคนที่คลั่งไคล้และอุทิศตนต่อฉินอวี้โม่เช่นนี้ จากนั้นก็หันมองตามฉินอวี้โม่ผู้ซึ่งกำลังเดินจากไปด้วยแววตาหวาดหวั่น สตรีผู้นี้ช่างน่าสะพรึงกลัวอย่างแท้จริง นางเป็นเพียงสตรีร่างบางทว่ากลับมีคนสนับสนุนและปกป้องศักดิ์ศรีของนางมากมายถึงเพียงนี้…
“ฮ่า ๆ ๆ ท่านผู้นำของเราดูจะมีเสน่ห์ดึงดูดมากเกินไป”
แน่นอนว่าซวงเสวี่ยและคนอื่น ๆ ก็ได้ยินวาจาโต้ตอบกันไปมาของกลุ่มคนเบื้องหลังและอดยิ้มพร้อมกล่าวอย่างติดตลกไม่ได้
“นั่นเป็นเรื่องธรรมดา เมื่อเทียบกับผู้นำหุบเขากรุ่นกำยาน ผู้นำนิกายอู่ซานและผู้นำนิกายเพลิงแดงเดือด ผู้นำของเราก็เป็นดั่งเทพเซียน นี่เป็นข้อได้เปรียบของท่านผู้นำและเป็นอาวุธที่ทรงพลังที่สุด เพียงแต่ผู้นำของเราแข็งแกร่งเกินไป อาวุธนี้จึงมิได้มีบทบาทสำคัญสำหรับนาง”
เหมาซานกล่าวพร้อมรอยยิ้มและเข้าใจอย่างแท้จริงว่า ‘ความงาม’ คืออาวุธทรงพลังที่สามารถทำให้บุรุษมากมายนับไม่ถ้วนตกอยู่ในภวังค์ลุ่มหลงและยอมทำทุกอย่างได้เพื่อนาง เพียงแต่ฉินอวี้โม่ชิงชังอาวุธนี้ของตนเป็นที่สุด
ฉินอวี้โม่ยิ้มและไม่ได้กล่าวอะไรออกไป ในชีวิตก่อน ไม่มีทางเลยที่อดีตนักฆ่าสาวผู้เลือดเย็นจะคิดว่าตนจะมี ‘แฟนคลับ’ ผู้คลั่งไคล้มากมายเช่นนี้
ในขณะที่พูดคุยกันอย่างสบาย ๆ นั้น พวกนางก็มาถึงลานจัตุรัสกว้างขวางของเมือง
สมาชิกจากหุบเขากรุ่นกำยาน นิกายเพลิงแดงเดือดและนิกายอู่ซานล้วนมาถึงก่อนแล้ว และขุมกำลังอื่น ๆ ในดินแดนทางเหนือเกือบทั้งหมดก็มาถึงแล้วเช่นกัน มีความเป็นไปได้มากว่าเรือนเฟิงเสวี่ยของฉินอวี้โม่มาถึงเป็นกลุ่มสุดท้าย
บนแท่นยกสูงก็มีผู้คนจำนวนหนึ่งที่กำลังนั่งอยู่ มันคือตำแหน่งที่นั่งของกรรมการผู้ตัดสินในงานชุมนุมดินแดนเหนือครานี้ รวมถึงผู้ดำเนินงาน
ฉินอวี้โม่เพียงกวาดสายตามองอย่างคร่าว ๆ และเห็นบุคคลคุ้นหน้าคุ้นตาหลายคนนั่งอยู่บนแท่นสูงนั้น ซึ่งพวกเขาก็มองมาที่นางด้วยแววตาข้องใจและสงสัยเช่นกัน
Related