“เหอะ พวกเราหุบเขากรุ่นกำยานจะจดจำเหตุการณ์วันนี้ไว้ไม่มีวันลืม !”
เฝินชวี่แค่นเสียงเย็นชาและม้วนกระดาษโบราณปรากฏในมือ เขาไม่รอช้าและโยนมันตรงไปที่ฉินอวี้โม่ทันที
ฉินอวี้โม่ยกยิ้มมุมปากอย่างพึงพอใจและเอื้อมมือออกไปรับม้วนกระดาษฉบับนั้นไว้ หลังจากยืนยันว่าไม่มีสิ่งใดผิดปกติ นางก็กล่าวพร้อมรอยยิ้ม “ยังถือว่ามีสมองคิด เพียงแต่มันก็ไม่มีประโยชน์อะไรที่จะจดจำไว้”
นับตั้งแต่จากโลกใบเดิมและมาปรากฏตัวที่นี่ อดีตนักฆ่าสาวก็ท่องในดินแดนนี้มานานพอสมควร ตลอดช่วงที่ผ่านมาก็มีศัตรูไม่น้อยที่พยายามข่มขู่คุกคามนางเช่นนี้ อย่างไรก็ตาม ท้ายที่สุดแล้วไม่เคยมีผู้ใดที่ทำอะไรนางได้
แม้หุบเขากรุ่นกำยานจะถือว่าไม่อ่อนแอ มันก็เป็นเพียงขั้นบันไดขั้นหนึ่งที่นำไปสู่การก่อตั้งขุมกำลังที่ทรงพลังในดินแดนทางเหนือของนาง เมื่อถึงงานชุมนุมดินแดนเหนือ หากผู้นำหุบเขากรุ่นกำยานฉลาดพอ เขาควรจะทราบดีว่าควรทำอย่างไรหลังจากที่ติดไตร่ตรองเป็นอย่างดี หากผู้นำหุบเขากรุ่นกำยานไม่ให้ความร่วมมือ นางก็ไม่มีปัญหาที่จะกำจัดพวกเขาออกไปจากดินแดนทางเหนือแห่งนี้
“ทีนี้ก็ไสหัวไปซะ !”
ฉินอวี้โม่กล่าวขับไล่และไม่ต้องการสิ่งใดจากพวกเขาอีก แน่นอนว่าตอนนี้เฝินชวี่ก็มีสมบัติและสิ่งล้ำค่าติดตัวอยู่มาก ทว่านางก็ไม่สนใจนัก ยิ่งไปกว่านั้น สุนัขก็มักกัดเมื่อมันกังวลและร้อนใจ งานชุมนุมดินแดนเหนือจะมาถึงในไม่ช้าและนางยังไม่ต้องการกดดันเฝินชวี่มากเกินไป
“เหอะ !”
เฝินชวี่ชำเลืองมองฉินอวี้โม่ด้วยแววตาหม่นมืดและเย็นชา เขาไม่รอช้าและนำผู้ติดตามของหุบเขากรุ่นกำยานทั้งหมดหายไปจากตรงหน้าฉินอวี้โม่อย่างรวดเร็ว
“ปล่อยพวกเขากลับไปง่าย ๆ เช่นนี้รึ ?”
ซวงเสวี่ยเอ่ยถามด้วยความสงสัยและแปลกใจกับการกระทำของฉินอวี้โม่ เดิมทีเขาคิดว่านางจะใช้วิธีขู่กรรโชกต่อไป และอย่างน้อยที่สุดก็ยึดเอาแหวนมิติวิเศษวงนั้นคืนมา
“ฮ่า ๆ ๆ ยังมีคนแอบลอบมองอยู่ในมุมมืด วันนี้ปล่อยพวกเขาไปก่อนเถอะ ถึงอย่างไรก็ใกล้ถึงงานชุมนุมดินแดนเหนือแล้ว เมื่อถึงตอนนั้น หลายสิ่งหลายอย่างจะกลับมาสู่มือของเราเอง”
ฉินอวี้โม่ยิ้มบาง ๆ ขณะกวาดสายตาสำรวจโดยรอบรวมถึงกำแพงข้างตรอกซอยเล็ก ๆ นี้
“ไม่คิดเลยว่าผู้นำเรือนเฟิงเสวี่ยจะเป็นโฉมนารีที่งดงามถึงเพียงนี้ ข้าคาดไม่ถึงเลยจริง ๆ”
ฮั่วหลินซึ่งซ่อนตัวอยู่ในมุมมืดสัมผัสได้ถึงสายตาของฉินอวี้โม่และทราบว่านางค้นพบตนเองแล้ว เขาจึงก้าวปรากฏตัวออกมาอย่างช้า ๆ
เขายิ้มให้กับฉินอวี้โม่และกล่าวด้วยน้ำเสียงจริงใจ
เขาตกตะลึงและตื่นตากับรูปลักษณ์ที่แท้จริงของฉินอวี้โม่อย่างที่สุด และเขารู้สึกว่าสตรีผู้นี้งดงามดุจดั่งเทพเซียนอย่างแท้จริง แม้แต่แม่นางจวินอู่ซิ่วผู้งดงามเลื่องชื่อในงานประมูลก่อนหน้านี้และเด็กสาวลูกครึ่งเอลฟ์ก็ไม่ได้งดงามไปกว่านาง
“ฮ่า ๆ ๆ นายน้อยฮั่วหลิน ไม่ทราบว่าผู้นำนิกายฮั่วชิงซานมาถึงหรือยัง ? หากเขามาถึงแล้ว ข้าใคร่จะไปเยี่ยมเยือนสักหน่อย”
ฉินอวี้โม่กล่าวพร้อมรอยยิ้ม บัดนี้นางและนิกายเพลิงแดงเดือดผูกมิตรร่วมมือกันแล้ว แน่นอนว่าจะไม่มีความมุ่งร้ายใด ๆ ระหว่างทั้งสองฝ่าย ยิ่งไปกว่านั้น นางสัมผัสได้ว่าฮั่วหลินไม่มีท่าทีสนใจม้วนกระดาษลึกลับในมือของตนและไม่มีความคิดที่เป็นปฏิปักษ์
“ฮ่า ๆ ๆ ท่านพ่อของข้ามาถึงแล้ว หากท่านผู้นำเรือนเฟิงเสวี่ยไม่รังเกียจก็เชิญมากับข้าได้เลย”
ฮั่วหลินยิ้มอย่างสุภาพและตอบตามความจริงโดยไม่ปิดบัง
“นั่นเป็นความคิดที่ดี”
ฉินอวี้โม่ยิ้มตอบรับและนำคฤหาสน์เฟิงหัวออกมา
“นายน้อยฮั่วหลิน เข้าไปในพาหนะเดินทางพิเศษของข้าเถอะ เราจะเดินทางได้เร็วกว่ามาก”
หลังจากกล่าวจบ ฉินเฟิงและคนอื่น ๆ ก็เข้าไปในคฤหาสน์เฟิงหัว แววตาของฮั่วหลินแสดงถึงความสนใจและสงสัยใคร่รู้ เขาหันไปกล่าวกับผู้ติดตามของตนและตามเข้าไปในคฤหาสน์ประหลาดตรงหน้าอย่างรวดเร็ว
คนอื่น ๆ จากนิกายเพลิงแดงเดือดก็แยกตัวไปหาฮั่วชิงซานเพื่อแจ้งข่าวให้เขาทราบอย่างรวดเร็ว
ไม่นานหลังจากนั้น ข่าวเรื่องความเป็นไปได้ที่เรือนเฟิงเสวี่ยและนิกายเพลิงแดงเดือดจะร่วมมือเป็นพันธมิตรกันก็แพร่งพรายไปถึงอีกสองขุมกำลังใหญ่
“เหอะ พวกเขาคิดจะรวมหัวจัดการกับพวกเรา !”
ณ หุบเขากรุ่นกำยาน เมื่อผู้นำเฝินเมี่ยเทียนได้ยินข่าวว่าเรือนเฟิงเสวี่ยและนิกายเพลิงแดงเดือดดูจะมีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน เขาก็แค่นเสียงและกล่าวด้วยน้ำเสียงเย้ยหยันทันที
ในฐานะผู้นำของหนึ่งในสามขุมกำลังระดับหนึ่งของดินแดนทางเหนืออย่างหุบเขากรุ่นกำยาน แน่นอนว่ามีหลายเรื่องที่เฝินเมี่ยเทียนเข้าใจอย่างชัดเจน
ตลอดหลายปีที่ผ่านมานี้ นิกายเพลิงแดงเดือดและหุบเขากรุ่นกำยานของเขาเป็นไม้เบื่อไม้เมากันมาตลอดและมีปัญหาความขัดแย้งกันมาเสมอ
อย่างไรก็ตาม ในอดีตที่ผ่านมา แม้ว่านิกายเพลิงแดงเดือดจะถือว่าแข็งแกร่งพอสมควร ทว่าคนเหล่านั้นก็ไม่แกร่งกล้าพอที่จะเป็นคู่ต่อสู้ของพวกเขาหุบเขากรุ่นกำยานอย่างแน่นอน นอกจากนี้ก็ยังมีนิกายอู่ซานที่จับตาดูการเคลื่อนไหวของพวกเขาอยู่ตลอดเวลา แม้ว่าทั้งสองฝ่ายจะไม่ถูกกัน พวกเขาก็ไม่ได้มีความขัดแย้งกันมากนัก
อย่างไรก็ตาม ตอนนี้ขุมกำลังใหม่อย่างเรือนเฟิงเสวี่ยปรากฏขึ้นอย่างกะทันหันและแสดงความเป็นปฏิปักษ์ต่อหุบเขากรุ่นกำยานอย่างชัดเจน ยิ่งไปกว่านั้น จากข้อมูลที่เขาได้รับจากเฝินชวี่ ผู้นำของเรือนเฟิงเสวี่ยทั้งยโสโอหังและไม่ไว้หน้าพวกเขาแม้แต่น้อย ก่อนหน้านี้คนเหล่านั้นช่วงชิงม้วนกระดาษลึกลับที่หุบเขากรุ่นกำยานของเขาลงทุนไปอย่างมหาศาลกว่าหนึ่งล้านหินผลึกเพื่อประมูลมาได้และสิ่งนั้นทำให้เฝินเมี่ยเทียนไม่พอใจยิ่งกว่าเดิม
“ชวี่เอ๋อร์ ไปสืบข่าวว่าคนจากนิกายอู่ซานพักอยู่ที่ใด ข้าจะไปพบพวกเขาด้วยตัวเอง ในเมื่อเรือนเฟิงเสวี่ยและนิกายเพลิงแดงเดือดคิดจะร่วมมือกันจัดการกับพวกเรา เราไม่มีทางปล่อยให้พวกเขาทำสำเร็จแน่”
เมื่อได้ยินวาจาของบิดา แน่นอนว่าเฝินชวี่ไม่ลังเลเลยสักนิด ฉินอวี้โม่ทำให้เขาอับอายและเสียหน้านับครั้งไม่ถ้วน เขาแทบอดใจรอที่จะฉีกหน้านางไม่ไหว อย่างไรก็ตาม แม้ว่าหุบเขากรุ่นกำยานของพวกเขาจะแข็งแกร่งและถือเป็นอันดับหนึ่งของดินแดนทางเหนือ พวกเขาก็มีศัตรูมากมายอยู่ทั่วทุกสารทิศ หากไม่ร่วมมือกับนิกายอู่ซาน เกรงว่าพวกเขาอาจลงเอยไม่ดีนัก
เฝินชวี่อดกล่าวเบา ๆ ในใจไม่ได้ ‘รอก่อนเถอะ เมื่อหุบเขากรุ่นกำยานและนิกายอู่ซานร่วมมือกัน เราจะต้องคืนความอัปยศอดสูทั้งหมดที่พวกเราได้เผชิญมาก่อนหน้านี้ จะไม่มีใครที่รอดตัวไปได้ !’
ภายในลานกว้างในบริเวณที่พักชั่วคราวของนิกายอู่ซาน อู่หลิวเฟิง—ผู้นำนิกายอู่ซานเพิ่งนั่งลงเมื่อมองเห็นอู่ถงที่กำลังเดินเข้ามาจากนอกประตู
เมื่อพบกับอู่หลิวเฟิง อู่ถงก็ประหลาดใจเล็กน้อย เห็นได้ชัดว่าเขาเองก็ไม่คาดคิดว่าบิดาของตนจะมาถึงรวดเร็วเช่นนี้
“ท่านพ่อ ท่านมาถึงแล้ว”
เขาเรียกสติกลับคืนมาอย่างรวดเร็วขณะกล่าวทักทายและยิ้มให้บิดา เพียงแต่อู่ถงมิอาจทราบได้ว่าเขากำลังคิดสิ่งใดอยู่ในใจ
“ถงเอ๋อร์ เป็นอย่างไร? เจ้าได้สิ่งใดกลับมาจากงานประมูลบ้างรึไม่?”
หลิวอู่เฟิงมองบุตรชายและกล่าวถามพร้อมรอยยิ้มบาง
อู่ถงเป็นผู้ที่มากพรสวรรค์ที่สุดในนิกายอู่ซานและก็ยังเป็นบุตรชายที่เขาตั้งความหวังไว้มากที่สุด แน่นอนว่าอู่หลิวเฟิงทั้งเชื่อมั่นและรักบุตรชายคนนี้อย่างมาก
อู่ถงส่ายศีรษะเบา ๆ และกล่าว “ม้วนกระดาษลึกลับถูกประมูลไปโดยหุบเขากรุ่นกำยาน และยังมีแหวนมิติที่มีคุณสมบัติยอดเยี่ยมซึ่งถูกประมูลไปโดยหุบเขากรุ่นกำยานเช่นกัน ยิ่งไปกว่านั้น ก็ยังมีเด็กสาวลูกครึ่งเอลฟ์ที่ปรากฏตัวในงานประมูลครานี้ด้วยและถูกประมูลไปโดยสตรีผู้หนึ่ง”
เขาไม่ปิดบังข้อมูลสำคัญเกี่ยวกับของล้ำค่าและผู้ที่ชนะการประมูล เพียงแต่จงใจหลีกเลี่ยงตัวตนของ ‘สตรี’ ผู้ที่ชนะการประมูลลูกครึ่งเอลฟ์
แท้ที่จริงแล้ว เขาได้เห็นการประจันหน้าในตรอกซอยเล็กก่อนหน้านี้เช่นกันและเขาก็ทราบถึงตัวตนที่แท้จริงของฉินอวี้โม่แล้ว
โฉมนารีที่งดงามชวนมองผู้นั้น ไม่ทราบว่าเพราะเหตุใด นางกลับทำให้หัวใจของอู่ถงเกิดอาการสั่นไหวขึ้นมาได้ อย่างไรก็ตาม เขายังไม่ต้องการบอกบิดาของตนเกี่ยวกับตัวตนที่แท้จริงของนาง
ยิ่งไปกว่านั้น จู่ ๆ อู่ถงก็ไม่ต้องการที่จะต่อสู้หรือขัดแย้งกับเรือนเฟิงเสวี่ยอีกต่อไปและเขาก็แอบมีความรู้สึกของการยอมแพ้อยู่เล็กน้อยเช่นกัน
ต้องกล่าวเลยว่าใบหน้าที่แท้จริงของฉินอวี้โม่มีผลกระทบต่ออู่ถงอย่างมาก หากนางยังเป็นบุรุษรูปลักษณ์ธรรมดาไม่โดดเด่นเหมือนก่อนหน้านี้ อู่ถงคงไม่มีความคิดวอกแวกหรือเปลี่ยนใจเช่นนี้
อย่างไรก็ตาม เมื่อพบว่าแท้จริงแล้วบุรุษผู้นั้นคือสตรีผู้งามสะเทือนทั้งใต้หล้า เขาก็มิอาจทำใจทำร้ายนางได้และไม่ต้องการตั้งตัวเป็นศัตรูกับนางอีก
“โอ้ ? เด็กสาวเอลฟ์งั้นรึ ?”
อู่หลิวเฟิงไม่ได้ให้ความสนใจกับ ‘สตรีผู้หนึ่ง’ ในวาจาของอู่ถง ทว่ากลับสนใจเกี่ยวกับเด็กสาวเอลฟ์ในทันที
“ชนเผ่าเอลฟ์หายสาบสูญไปเกือบพันปีแล้ว เป็นไปได้อย่างไรที่จู่ ๆ จะมีเด็กสาวลูกครึ่งเอลฟ์ปรากฏตัวขึ้นมา ? และนางยังถูกจับตัวมาประมูลในโรงประมูลรั่วอานอีกงั้นรึ ?”
อู่หลิวเฟิงก็เป็นถึงจอมยุทธ์ในขอบเขตพสุธาเซียนขั้นสูงและความแข็งแกร่งของเขาถือว่าไม่ธรรมดาเลย เขาทราบข้อมูลหลายอย่างเกี่ยวกับดินแดนเทพมายาแห่งนี้ รวมถึงทราบข้อมูลเกี่ยวกับชนเผ่าลึกลับทั้งสองอย่างชนเผ่าเอลฟ์และชนเผ่าอสูรพอสมควร ทว่าการที่จู่ ๆ เด็กสาวที่มีสายเลือดจากชนเผ่าเอลฟ์ปรากฏตัวเช่นนี้ทำให้เขาประหลาดใจไม่น้อย ในขณะเดียวกันเขาก็รู้สึกตงิดใจอยู่เช่นกัน
“ข้าเองก็ไม่แน่ใจขอรับ”
อู่ถงส่ายศีรษะอย่างจนปัญญา เขาไม่ทราบเลยว่าเด็กสาวลูกครึ่งเอลฟ์ในกรงนั่นมีที่มาที่ไปอย่างไร
“อีกอย่าง…สตรีผู้ที่ประมูลเด็กสาวเอลฟ์ไปคือผู้ใด ?”
เมื่อพิจารณาเกี่ยวกับเด็กสาวลูกครึ่งเอลฟ์ อู่หลิวเฟิงก็เอ่ยถามเกี่ยวกับสตรีผู้ที่ประมูลนางไป
จากข้อมูลที่เขามี ดินแดนทางเหนือแห่งนี้มีสตรีที่ทรงพลังไม่มากนัก นับประสาอะไรกับสตรีที่ทรงพลังถึงขั้นเทียบชั้นกับสามขุมกำลังใหญ่ได้ อู่หลิวเฟิงเชื่อว่าสตรีผู้ที่ประมูลเด็กสาวเอลฟ์ตัดหน้าสามขุมกำลังใหญ่ไปจะต้องไม่ธรรมดาอย่างแน่นอน
“ข้า…”
อู่ถงต้องการกล่าวออกไปว่าเขาไม่ทราบตัวตนของนาง ทว่าจู่ ๆ คำพูดของเขาก็ถูกขัดจังหวะโดยเสียงที่ดังมาจากข้างนอก
“ฮ่า ๆ ๆ สตรีผู้นั้นคือผู้นำของเรือนเฟิงเสวี่ย—ฉินอวี้โม่”
เสียงของเฝินเมี่ยเทียนดังขึ้นในหูของอู่หลิวเฟิงและอู่ถงอย่างชัดเจนก่อนที่สีหน้าของทั้งสองจะเปลี่ยนไปทันที
สีหน้าของอู่หลิวเฟิงแปรเปลี่ยนเป็นความประหลาดใจ ในขณะที่ความรังเกียจเกาะกุมในใจของอู่ถง ทว่าเขาก็ปิดบังมันไว้อย่างแนบเนียน
“ผู้นำเรือนเฟิงเสวี่ยงั้นรึ ? แต่ข้าจำได้ว่าเขาเป็นบุรุษที่ดูธรรมดา ๆ มิใช่รึ ?”
อู่หลิวเฟิงไม่แปลกใจเมื่อเห็นผู้มาเยือน เขาเพียงเอ่ยถามออกไปและกล่าวต่อ “ฮ่า ๆ ๆ ผู้นำหุบเขากรุ่นกำยานมาถึงที่นี่ด้วยตัวเอง ข้ายินดีต้อนรับและต้องขออภัยที่ข้าไม่ได้ออกไปต้อนรับด้วยตนเอง”
“ฮ่า ๆ ๆ ท่านผู้นำนิกายอู่ซาน ไม่ต้องพิธีรีตองอะไรนักหรอก วันนี้ข้ามาพบท่านเพื่อที่จะพูดคุยหารือถึงเรื่องบางอย่าง”
เฝินเมี่ยเทียนเดินเข้ามาอย่างรวดเร็วและตามด้วยบุตรชายของเขา—เฝินชวี่
“เชิญนั่งก่อนเถอะ”
อู่หลิวเฟิงไม่ได้มีท่าทีรังเกียจแต่อย่างใด เขานั่งอยู่บนบัลลังก์หลักขณะเชิญให้เฝินเมี่ยเทียนและเฝินชวี่นั่งลง จากนั้นเขาก็สั่งให้เด็กรับใช้เตรียมน้ำชาให้แขกทั้งสอง
เฝินเมี่ยเทียนและเฝินชวี่นั่งลงอย่างสบาย ๆ ก่อนกล่าว “จริงอยู่ว่าตอนแรกเราก็ไม่ทราบว่าผู้นำของเรือนเฟิงเสวี่ยเป็นสตรี ทว่าเมื่อชวี่เอ๋อร์กลับจากงานประมูลพร้อมด้วยม้วนกระดาษลึกลับ เขาก็ถูกลอบทำร้ายโดยคนจากเรือนเฟิงเสวี่ยและถูกฉกชิงของสิ่งนั้นไป ผู้ที่เป็นหัวหน้าคือสตรีผู้นั้นและนางยอมรับว่าตนเองคือผู้นำของเรือนเฟิงเสวี่ย”
เฝินเมี่ยเทียนไม่มีท่าทีละอายใจแต่อย่างใดเมื่อสิ่งที่กล่าวออกไปนั้นมีความจริงเพียงครึ่งเดียว
เมื่อได้ยินวาจาที่จริงครึ่งไม่จริงครึ่งจากเฝินเมี่ยเทียน อู่ถงก็ถึงกับแอบกลอกตาอย่างเอือมระอา
‘หากมิใช่เพราะลูกชายของท่านถูกตัณหาครอบงำและต้องการตามตัวฉินอวี้โม่ไป เขาจะติดกับในตรอกซอยเล็กนั่นและถูกชิงม้วนกระดาษลึกลับไปได้อย่างไร ?’ อย่างไรก็ตาม เขาเพียงคิดกับตัวเองและไม่กล่าวออกไปขณะรอให้เฝินเมี่ยเทียนและเฝินชวี่กล่าวต่อ เขาเพียงอยากรู้ว่าสองพ่อลูกตรงหน้ากำลังมีจุดประสงค์ใด
“ฮ่า ๆ ๆ เฝินชวี่ไม่ถือว่าเป็นจอมยุทธ์ที่อ่อนแอเลย ท่านจะบอกว่าผู้นำเรือนเฟิงเสวี่ยแกร่งกล้ายิ่งกว่าเขาอีกรึ ? นางจึงชิงม้วนกระดาษโบราณไปจากมือของเฝินชวี่ได้”
เมื่อได้ยินว่าม้วนกระดาษฉบับนั้นถูกแย่งชิงไป อู่หลิวเฟิงก็ไม่ได้มีปฏิกิริยาใด ๆ ทว่าเขาเพียงยิ้มบาง ๆ และกล่าวคำถามที่ตนเองสงสัย
จากสิ่งที่เขาทราบมาคือผู้นำเรือนเฟิงเสวี่ยมีพลังเพียงขอบเขตเซียนขั้นเก้าเท่านั้น แล้วนางจะฉกชิงม้วนกระดาษไปจากมือของเฝินชวี่ได้อย่างไร ?
.
Related