— ตูม ! —
เกิดเสียงดังกึกก้องขึ้น อสูรมายาจำนวนมากปรากฏขึ้นมาตรงหน้าฉินอวี้โม่และคนอื่น ๆ
ทั้งกระจง ละองละมั่ง หมูดอย ไฮยีน่า ไก่อ้วน หมาป่า เสือลายเมฆ เสือลายพาดกลอนและลายอื่น ๆ แทบจะทุกลวดลาย วิ่งกรูกันเข้ามาอย่างไม่สิ้นสุด อย่างไรก็ตาม อสูรมายาฝูงนี้เพิ่งจะเป็นระลอกแรก ดังนั้นอสูรมายาที่แข็งแกร่งที่สุดก็จะเป็นเพียงอสูรระดับภูตเท่านั้น
อสูรมายาระดับต่ำ ๆ เช่นนี้ไม่จำเป็นต้องถึงมือฉินอวี้โม่ ทันทีที่พวกมันบุกมาถึงเหล่าจอมยุทธ์พเนจรและกลุ่มทหารรับจ้างกลุ่มเล็ก ๆ ทั้งหลายก็กระโจนเข้าไปสกัดกั้นพวกมันไว้ทันที
เหตุการณ์อสูรล้อมเมืองจะมีทั้งหมดสามระลอก แต่ละระลอกก็จะเพิ่มระดับความแข็งแกร่งขึ้นไปเรื่อย ๆ หากไม่มีเรื่องผิดพลาดหรือสิ่งเหนือความคาดหมาย ในระลอกแรกตัวที่แข็งแกร่งที่สุดจะเป็นอสูรระดับภูต และในระลอกต่อมาก็จะเป็นอสูรศักดิ์สิทธิ์ ส่วนในระลอกที่สุดท้ายจะมีอสูรในระดับเทวะปรากฏตัวออกมา
อสูรล้อมเมืองระลอกแรกจึงถือเป็นการต่อสู้ในระดับที่ง่ายสำหรับทุกคน หลังจากลงมือสังหารอสูรระดับภูตสองตัวที่เป็นผู้นำฝูง อสูรระดับต่ำก็จะทยอยถอนกำลังกลับไป ทว่าเหล่านักล่าอสูรก็ใช่ว่าจะได้หยุดพักหายใจหรือย่างไก่อ้วน ๆ กิน
เพราะหลังจากอสูรมายาระลอกแรกถอยกลับไปแล้ว ระลอกที่สองก็ปรากฏตัวขึ้นที่ชายป่าแสงจันทร์ด้านนอกของเมืองเยว่กวางต่อทันที
ฝูงอสูรมายาระลอกที่สองนี้ทั้งจำนวนและระดับความแข็งแกร่งของพวกมันจะมากกว่าฝูงอสูรในระลอกแรกมาก ถึงแม้ว่าความหลากของเผ่าพันธุ์อสูรมายาที่บุกมาจะไม่ต่างจากระลอกแรกแม้แต่น้อย แต่กลิ่นอายของพวกมันกลับแข็งแกร่งกว่าอย่างเทียบไม่ได้
และแนวหน้าของกองทัพอสูรในรอบนี้ก็ยังคงเป็นอสูรมายาระดับต่ำ ทว่ากำลังพลแห่งกองทัพอสูรส่วนมากนั้นเป็นอสูรมายาระดับภูตซึ่งกินสัดส่วนถึงเจ็ดจากสิบส่วน ส่วนอสูรศักดิ์สิทธิ์ที่รั้งท้ายมาเป็นทัพหลังนั้นมีอยู่ไม่ถึงยี่สิบตัว แต่สภาวะพลังที่พวกมันแต่ละตัวปลดปล่อยออกมากลับแข็งแกร่งไม่น้อย
เมื่อเห็นอสูรมายาระดับศักดิ์สิทธิ์เป็นสิบตัวที่อยู่ท้ายขบวน คิ้วกระบี่ของบุตรชายเจ้าเมืองก็ขมวดเข้าหากัน
“มีปัญหาอะไรอย่างนั้นหรือ? ”
เมื่อเห็นลั่วอวิ๋นนิ่วหน้า ฉินอวี้โม่ก็เอ่ยปากถาม
“เปล่าหรอก ข้าแค่คิดว่าอสูรล้อมเมืองปีนี้ดูจะแข็งแกร่งกว่าห้าปีก่อนเท่านั้น”
เหตุการณ์อสูรล้อมเมืองเมื่อห้าปีก่อน ในระลอกที่สองจะมีอสูรศักดิ์สิทธิ์อยู่ร่วมขบวนเพียงแค่ห้าตัวเท่านั้น แตกต่างจากครั้งนี้ที่ฝูงอสูรมายาในระลอกที่สองมีจำนวนอสูรศักดิ์สิทธิ์มากกว่าครั้งก่อนถึงสามเท่า! ปรากฏการณ์เช่นนี้ทำให้ลั่วอวิ๋นประหลาดใจอยู่ไม่น้อยทีเดียว
คำตอบของลั่วอวิ๋นทำให้ฉินอวี้โม่ต้องขมวดคิ้วเช่นกัน นางไม่เคยเข้าร่วมอสูรล้อมเมืองมาก่อน แต่เมื่อได้ฟังคำพูดจากปากของบุตรชายเจ้าเมืองเยว่กวางเองเช่นนี้ นางก็เชื่อว่าอสูรล้อมเมืองปีนี้คงจะแข็งแกร่งกว่าปีที่ผ่าน ๆ มาอย่างแท้จริง
เมื่อกองทัพอสูรมายาในระลอกที่สองบุกเข้ามาอย่างหนักหน่วงขึ้นเรื่อย ๆ เหล่านักล่าอสูรแนวหน้าแห่ง ‘เครือข่ายพันธมิตรอวี้โม่’ จึงเริ่มต้านกันไม่ไหว ฉินอวี้โม่และสหายทั้งหลายจึงเข้าไปร่วมการต่อสู้ด้วย
อสูรมายาระดับต่ำและระดับภูตที่อยู่แถวหน้านั้นไม่ใช่เป้าหมายของฉินอวี้โม่ แต่นางกำลังเพ่งเล็งอสูรศักดิ์สิทธิ์ที่อยู่ในแนวหลัง
ในขณะที่เหล่ากองกำลังพันธมิตรอวี้โม่ทั้งหมดกำลังพยายามต่อสู้ในตำแหน่งของตัวเองอย่างเต็มที่ ฉินอวี้โม่ก็ใช้โอกาสนี้ลอบฝ่าเข้าไปจนถึงแนวหลังของกองทัพอสูรมายาด้วยความเร็วราวกับสายฟ้า
…ณ แนวหลังของกองทัพอสูรมายา นักฆ่าสาวแห่งศตวรรษที่ 21 กำลังยืนประจันหน้ากับบรรดาอสูรศักดิ์สิทธิ์อย่างหาญกล้า! …
เสี่ยวเฮยตัวน้อยบินลงมาจากไหล่ของฉินอวี้โม่และเปลี่ยนกลับไปสู่รูปลักษณ์เดิมของมันอย่างรวดเร็วก่อนจะปลดปล่อยสภาวะพลังแห่งอสูรเทวะเข้าใส่ฝ่ายตรงข้ามทันที
เหล่าอสูรศักดิ์สิทธิ์รู้สึกได้ถึงภัยคุกคามจากอสูรเทวะ พวกมันทุกตัวหวาดกลัวจนตัวสั่นเทิ้มและเริ่มเก้าถอยหลังออกไป ทว่าก็ยังไม่มีตัวใดที่วิ่งหนีไป อสูรระดับสูงสุดในอสูรล้อมเมืองระลอกนี้ยังคงยืนหยัดเผชิญหน้ากับศัตรูอยู่
เมื่อเห็นฉินอวี้โม่ตัวคนเดียวไปปรากฏตัวอยู่ต่อหน้ากลุ่มของอสูรศักดิ์สิทธิ์ ทางฝ่ายของหลี่เปียวเองก็ตกตะลึงไม่น้อย
“หัวหน้าหลี่เปียว อย่าลืมเรื่องที่เราเพิ่งจะหารือกัน”
ท่ามกลางการต่อสู้ผู้อาวุโสจากสมาคมฝึกสัตว์อสูรก็พูดประโยคหนึ่งขึ้นมากับหลี่เปียว คำพูดนั้นราวกับว่าที่เขาเข้าร่วมกับฝ่ายนี้เพราะมีผลประโยชน์แอบแฝง
“ไม่ต้องห่วง ผู้อาวุโสจาง ข้าไม่ลืมแน่”
หลี่เปียวยิ้มและกล่าวด้วยน้ำเสียงที่ให้ความเคารพอีกฝ่าย
“เช่นนั้นก็ดี สตรีที่ชื่อฉินอวี้โม่นั่นไปปรากฏตัวตรงกลุ่มอสูรศักดิ์สิทธิ์แล้ว ข้าไม่อยากให้นางแย่งชิงพวกมันไป”
ผู้อาวุโสจางแห่งสมาคมฝึกสัตว์อสูรมองไปที่ฉินอวี้โม่ ก่อนจะพยักหน้าให้หลี่เปียวและกล่าว
“ผู้อาวุโสจางไม่ต้องเป็นห่วง นางไม่ใช่ผู้ฝึกสัตว์อสูรที่จะสยบพวกมันได้ อย่างมากนางก็ทำได้แค่ฆ่าพวกมันเท่านั้น…”
ทว่าเมื่อหลี่เปียวหันกลับไปมองฉินอวี้โม่อีกครั้ง ใบหน้าที่สงบของเขาก็ถูกแทนที่ด้วยความประหลาดใจในทันที
เพราะสีหน้าที่เปลี่ยนเป็นประหลาดอย่างฉับพลันของหัวหน้ากลุ่มทหารรับจ้างอันดับหนึ่งแห่งเมืองเยว่กวางผู้ที่เพิ่งจะให้คำมั่นสัญญาอย่างมั่นอกมั่นใจแก่เขาไปเมื่อสักครู่ ทำให้ผู้อาวุโสจางอดไม่ได้ที่จะหันไปมองยังจุดที่หลี่เปียวมอง
และเมื่อเห็นสถานการณ์ในจุดที่ฉินอวี้โม่ยืนอยู่ ผู้อาวุโสจางก็ต้องประหลาดใจยิ่งกว่าผู้เป็นหัวหน้ากลุ่มทหารรับจ้างหมาป่าปีศาจ
ในตอนนี้ ฉินอวี้โม่ถูกห้อมล้อมไปด้วยอสูรศักดิ์สิทธิ์… ที่ถูกทำให้เชื่องไปเรียบร้อยแล้ว พวกมันทั้งหมดกำลังหมอบอยู่แทบเท้าของสตรีร่างบอบบาง
เพื่อไม่ให้เป็นที่สังเกตหรือเพ่งเล็งของผู้อื่น ฉินอวี้โม่จึงจงใจให้อสูรมายาทั้งหมดของนางยับยั้งการเลื่อนระดับเอาไว้ในตอนที่นางสยบพวกมัน เพราะแสงสว่างจากการเลื่อนระดับอาจเรียกร้องความสนใจของเหล่านักล่าอสูรทั้งหลายได้ ส่วนตัวนางเองนั้นแสงแห่งการเลื่อนระดับถูกปกปิดไว้อย่างดีโดยให้เสี่ยวจินช่วยบดบังเอาไว้ไม่ให้มีผู้ใดมองเห็น
เมื่อสักครู่นี้ นางได้ขอให้เสี่ยวเฮยปล่อยสภาวะพลังแห่งอสูรเทวะเข้ากดดันเหล่าอสูรศักดิ์สิทธิ์ที่อยู่ตรงหน้า และใช้โอกาสนั้นสยบพวกมันเอาไว้
เนื่องจากอสูรศักดิ์สิทธิ์ยังไม่ใช่อสูรมายาในระดับที่นางต้องการ อดีตคุณหนูจึงคิดจะมอบพวกมันให้เป็นของตอบแทนแก่เหล่าสหายผู้ยึดมั่นในความดีงาม กล้าก้าวออกมาเพื่อช่วยเหลือนางอย่างไม่ลังเล
“หัวหน้าขวงจ้าน อสูรมายาตัวนี้เป็นของพวกท่าน รีบหาคนมาทำพันธสัญญากับมันเร็ว! ”
ขวงจ้านนั้นกำลังติดพันอยู่กับการรับมือเหล่าอสูรระดับภูตกลุ่มย่อม ๆ ในจุดที่อยู่ไม่ไกลจากตัวฉินอวี้โม่มากนัก และในจังหวะที่เขาเข้ามาใกล้ สาวนักฆ่าในร่างคุณหนูสี่ผู้มีจิตใจงดงามจึงรีบบอกให้เขาส่งคนมาทำพันธสัญญากับอสูรศักดิ์สิทธิ์ที่นางสยบได้ทันที
เมื่อเห็นสิงโตตัวใหญ่หมอบอยู่แทบเท้าฉินอวี้โม่ เหล่ากองกำลังพันธมิตรอวี้โม่ที่กำลังชุลมุนอยู่กับการต่อสู้อันแสนดุเดือดก็ชะงักไปอย่างตื่นตะลึง
“แม่นางฉินเป็นผู้ฝึกสัตว์อสูรอย่างนั้นหรือเนี่ย? ”
อู๋เผยถามออกมาด้วยตาที่เบิกกว้าง