เมื่อสัมผัสถึงแรงกดดันอันทรงพลัง ฉินอวี้โม่ก็ขมวดคิ้วทันที อย่างไรก็ตาม สีหน้าของนางมิได้แสดงถึงความหวาดหวั่นใด ๆ และนางมุ่งหน้าตรงออกไปอย่างรวดเร็ว จากนั้นนางก็ปกคลุมทั้งร่างของตนเองด้วยเพลิงแห่งชีวิตของซิวและมองฉินมู่ยวี่กลางอากาศด้วยแววตาทะนงตน
“เพลิงจักรพรรดิ… ซิวงั้นรึ !?”
ทว่าทันทีที่เพลิงดังกล่าวปรากฏ ฉินมู่ยวี่สัมผัสได้ถึงกลิ่นอายที่คุ้นเคยจากเพลิงนั้น นางขมวดคิ้วเล็กน้อยและทราบดีว่าแรงกดดันของตนไม่ส่งผลใดต่อฉินอวี้โม่ เพราะเหตุนั้นนางจึงถอนมันออกมาทันที
“ฮ่า ๆ ๆ ฉินมู่ยวี่ ไม่คิดเลยว่านับพันปีที่ผ่านไป เจ้าจะยังจำข้าได้มิลืมเลือน”
ทันใดนั้น เสียงของซิวก็ดังขึ้นก่อนที่ร่างของมันค่อย ๆ ปรากฏข้างกายฉินอวี้โม่และจ้องมองไปที่ฉินมู่ยวี่ซึ่งอยู่กลางอากาศด้วยแววตาเฉยเมย
ครานี้ซิวมิใช่ร่างวิญญาณเหมือนก่อนอีกต่อไป หากแต่เป็นตัวตนที่ชัดเจน เห็นได้ชัดว่าเทพอสูรทรงพลังวิวัฒนาการสมบูรณ์แล้ว ร่างจำแลงของมันสวมอาภรณ์สีแดงเช่นกันพร้อมด้วยใบหน้าหล่อเหลาและรูปลักษณ์งดงามทำให้ผู้คนที่ได้พบเห็นเป็นครั้งแรกต่างก็รู้สึกทึ่งไม่น้อย
“นี่คืออสูรมายาประจำตัวของอวี้โม่งั้นรึ ?”
เมื่อเห็นซิวปรากฏตัว ซูน่าก็กระซิบกระซาบเบา ๆ ด้วยความสงสัย นางเคยได้ยินมารยาและหานอวี้กล่าวถึงซิวก่อนหน้านี้บ่อยครั้ง นางจึงมิได้รู้สึกประหลาดใจใด ๆ เพียงแต่รูปลักษณ์ของซิวตรงหน้าเหนือกว่าความคาดหมายของนางไปมากนัก แม้ทราบอยู่แล้วว่าซิวคงจะโดดเด่นมาก นางก็ไม่คาดคิดว่าจะโดดเด่นเป็นพิเศษถึงเพียงนี้
“ซิว การวิวัฒนาการของเจ้าเสร็จสมบูรณ์แล้วรึ ?”
เมื่อเห็นซิวปรากฏข้างกาย ฉินอวี้โม่ก็ยิ้มบาง ๆ และถอนหายใจด้วยความโล่งอก ก่อนหน้านี้หากนางมีความรู้สึกกังวลใด ๆ ที่ต้องเผชิญหน้ากับฉินมู่ยวี่ ทว่าตอนนี้ความรู้สึกเหล่านั้นหายไปเป็นปลิดทิ้งแล้ว
ซิวยิ้มให้ฉินอวี้โม่และกล่าว “จากนี้ไปข้าจะสามารถปกป้องท่านได้แล้ว”
หลังจากกล่าวจบ สายตาของมันก็เลื่อนไปที่ฉินมู่ยวี่อีกครา
“ฮ่า ๆ ๆ ไม่คิดเลยว่าเจ้ายังมีชีวิตอยู่ ฉินเฟยเหยียนตบตาข้าได้อย่างแนบเนียนจริง ๆ !”
ฉินมู่ยวี่ยิ้มเยือกเย็นและกล่าวต่อ “เพียงแต่…ตลอดเวลานับพันปีที่ผ่านมา ความแข็งแกร่งของเจ้าดูจะลดน้อยลงมาก หากเป็นเมื่อก่อนข้าก็อาจจะรู้สึกกลัวเล็กน้อย ทว่าตอนนี้การจัดการกับเจ้าไม่ต่างไปจากการบดขยี้มดตัวเล็ก ๆ ตัวหนึ่งเลย !”
แน่นอนว่านางสัมผัสได้ถึงพลังที่เปลี่ยนแปลงไปของซิวและเมื่อเห็นซิวที่อยู่ในสภาพอ่อนแอเช่นนี้ ฉินมู่ยวี่ก็เรียกคืนความมั่นใจกลับคืนมา
“ฉินมู่ยวี่ หากเจ้ามาที่นี่ด้วยตัวเอง เจ้าก็อาจกล่าววาจาเช่นนั้นได้ อย่างไรก็ตาม ครานี้เจ้าเป็นเพียงแค่ร่างจิต คิดว่าข้าจะกลัวเจ้างั้นรึ ?”
เมื่อได้ยินวาจามั่นอกมั่นใจของฉินมู่ยวี่ สีหน้าของซิวก็มิได้เปลี่ยนแปลงแม้แต่น้อย สิ่งที่กล่าวมานั้นถูกต้องทุกประการ หากนางมาที่นี่ด้วยตัวเอง ซิวก็คงเทียบไม่ได้เลยสักนิด
อย่างไรก็ตาม โลกมายามีขีดจำกัดพลังและจอมยุทธ์ระดับสูงอย่างฉินมู่ยวี่ไม่สามารถผ่านเข้ามาที่โลกมายาได้
ฉินมู่ยวี่ตรงหน้าทุกคนในเวลานี้เป็นเพียงร่างจิตของนางเท่านั้นซึ่งมีพลังความแข็งแกร่งเพียงสามในสิบส่วนของร่างหลัก เมื่อเผชิญหน้ากับฉินมู่ยวี่ในเวลานี้ ซิวจึงไม่มีความหวาดหวั่นใด ๆ
“เป็นดังที่คิดไว้ ข้าปิดบังซ่อนเร้นสิ่งใดจากเจ้าไม่ได้เลยจริง ๆ ทว่า…ข้าอยากจะรู้นักว่าหากข้าส่งข่าวไปที่เผ่าอสูรของเจ้าและพี่ชายของเจ้ารู้เรื่องนี้เข้า มันจะเคลื่อนไหวออกมาและกำจัดเจ้าด้วยตัวเองรึไม่ ?”
ฉินมู่ยวี่แสยะยิ้มมุมปากและมองซิวพร้อมกล่าวด้วยน้ำเสียงข่มขู่
“ฮ่า ๆ ๆ ขอบคุณมาก ข้าหวังว่าเจ้าจะส่งข่าวไปบอกโดยเร็ว เพราะถึงอย่างไร ข้าก็จะต้องกลับไปกอบกู้ยึดเอาทุกสิ่งทุกอย่างที่เป็นของข้ากลับคืนมาในอีกไม่นาน”
เมื่อได้ยินวาจาเชิงข่มขู่ของฉินมู่ยวี่ สีหน้าแววตาของซิวยังคงเฉยเมยก่อนกล่าวขึ้นเบา ๆ อย่างไม่หวาดหวั่น
ฉินอวี้โม่ทราบเรื่องราวความเป็นมาของซิวเพียงบางอย่างเท่านั้นและแทบจะไม่เคยรู้เกี่ยวกับเรื่องพี่ชายของมัน
ในเวลานี้ เทพแห่งเผ่าอสูรซึ่งเป็นผู้ปกครองของอสูรทั้งปวงคือมังกรทองเก้าเล็บ ฉินอวี้โม่เชื่อว่าคงจะมีบางอย่างเกิดขึ้นระหว่างมันและซิว เพียงแต่ไม่ทราบรายละเอียดที่ชัดเจนนัก
“ฮ่า ๆ ๆ ช่างมีท่าทางที่สบายใจจริง ๆ ด้วยสภาวะพลังของเจ้าในตอนนี้ หากได้พบกับมันจริง ๆ เจ้าคิดว่าเจ้าจะรอดชีวิตออกไปได้รึ ?”
รอยยิ้มของฉินมู่ยวี่เยือกเย็นทว่าแววตาแสดงความดูหมิ่นเหยียดหยามอย่างชัดเจน สิ่งที่นางเกลียดชังที่สุดเกี่ยวกับซิวคือความมั่นใจและทะนงตนอย่างมิอาจสั่นคลอนของมัน และก็เช่นเดียวกัน สิ่งที่ทำให้นางชิงชังบรรพชนเทพมายายิ่งนักคือคนผู้นั้นมักแสดงสีหน้าแสดงออกอย่างมั่นใจและทะนงตนอยู่เสมอ
“มิใช่เรื่องที่เจ้าจะต้องกังวล”
สีหน้าของซิวยังคงไม่แยแสเช่นเคย
“ฉินมู่ยวี่ ทุกสิ่งทุกอย่างที่เจ้าทำเมื่อพันปีก่อน วันหนึ่งเราจะเอาคืนเจ้าอย่างสาสม ด้วยสิ่งชั่วร้ายทั้งหมดที่เจ้าเคยทำไว้ อย่าคิดว่าเจ้าจะลอยนวลอย่างอิสระไปได้ตลอด”
ฉินอวี้โม่กล่าวขึ้นเบา ๆ แววตาของนางเต็มไปด้วยความมุ่งมั่นเมื่อมองไปที่ฉินมู่ยวี่ วันหนึ่งนางจะไปหาฉินมู่ยวี่ด้วยตัวเองเพื่อสะสางปัญหาทุกอย่างจากเมื่อพันปีก่อน
“ฮ่า ๆ ๆ เจ้าผ่านวันนี้ไปให้ได้ก่อนเถอะ”
ฉินมู่ยวี่ยิ้มเหยียดเมื่อได้ยินคำพูดหนักแน่นของอีกฝ่าย ต้องกล่าวเลยว่าฉินอวี้โม่ผู้นี้มีความสามารถพอสมควร ยิ่งไปกว่านั้น ความทะนงตนและมั่นใจเต็มเปี่ยมของนางช่างเหมือนกับคนที่น่าเกลียดชังที่สุดผู้นั้น
“ฉินมู่ยวี่ ในเมื่อข้าอยู่ที่นี่ เจ้าคิดรึว่าจะทำอะไรนายหญิงของข้าได้ ?”
เมื่อได้ยินวาจาของฉินมู่ยวี่ ซิวก็กล่าวออกมาและยืนตรงหน้าฉินอวี้โม่โดยไม่คิดล่าถอยแม้แต่น้อย
“หากไม่ลองก็ไม่รู้หรอก !”
มุมปากของฉินมู่ยวี่ยกยิ้มเย็นชาและแรงกดดันอันทรงพลังแผ่ออกมาครอบคลุมซิวไว้ทันที
ซิวไม่กล้าประมาทแม้แต่น้อยและพลังในร่างของมันก็ปะทุออกมาอย่างเปิดเผยและปะทะเข้ากับพลังของฉินมู่ยวี่อย่างจัง
ตู้ม !
เมื่อเกิดเสียงดังสนั่นขึ้น แม้มองไม่เห็นสิ่งใด ทุกคนก็สัมผัสได้ถึงพลังมหาศาลของทั้งสองฝ่ายที่ปะทะกันอย่างจัง ต้นไม้หลายต้นในระยะใกล้ไกลก็ต้องเปลี่ยนสภาพกลายเป็นเถ้าถ่านโดยพลังมหาศาลเหล่านี้
“เหอะ ถือว่าคู่ควรกับตำแหน่งของเทพอสูรจริง ๆ ! ถึงแม้จะสูญเสียพลังไปมาก เจ้าก็ยังดึงดันน่ารำคาญเหมือนเดิม !”
ฉินมู่ยวี่แค่นเสียงเย็นชา ไม่คิดเลยว่าถึงแม้พลังจะลดลงมากแล้ว พลังของซิวในตอนนี้ก็ยังแกร่งกล้ายิ่งนัก เมื่อเผชิญหน้ากับพลังเพียงสามในสิบส่วนของนาง ซิวไม่เสียเปรียบเลยสักนิด
“ดูเหมือนว่าตลอดพันปีที่ผ่านมา ความแข็งแกร่งของเจ้าจะไม่พัฒนาขึ้นเลยสินะ”
ซิวยิ้มเยือกเย็นและกล่าววาจาเยาะเย้ย
พรสวรรค์ของฉินมู่ยวี่มิได้โดดเด่นนักในตอนแรก ถึงแม้ว่ามันจะเกลียดชังนางและพวกเป็นอย่างมาก มันก็ต้องยอมรับเลยว่าสตรีผู้นี้ขยันหมั่นเพียรยิ่งนัก หากมิใช่เพราะการหมั่นเพียรฝึกฝนอย่างทุ่มเท นางก็คงไม่พัฒนาจนมีความแข็งแกร่งอย่างในตอนนี้
“ฮ่า ๆ ๆ ข้าจะให้เจ้าได้เห็นใครบางคนก่อน”
จู่ ๆ ฉินมู่ยวี่ก็ยิ้มอย่างสบายใจและหยุดการโจมตี หลังจากนางสะบัดมือกลางอากาศ ภาพกระจกสะท้อนก็ปรากฏตรงหน้า
ภายในภาพกระจกดังกล่าว บุรุษชราผู้หนึ่งกำลังถูกมัดตรึงติดกับเสาต้นใหญ่ ร่างของเขาเต็มไปด้วยรอยแผลทั่วร่าง ใบหน้าของเขาในตอนนี้ซีดเผือดและลมหายใจรวยริน เขาดูเหมือนจะใกล้ตายเต็มที
เมื่อเห็นบุรุษชราคนนั้น ฉินเฟิงก็หน้าถอดสีทันที
“ฉินมู่ยวี่ เจ้าทำอะไรกับพ่อบุญธรรมของข้า !?”
ใบหน้าของเขาแสดงความโกรธเกรี้ยวที่มีต่อฉินมู่ยวี่อย่างชัดเจนและจิตสังหารแรงกล้าแผ่ออกไปอย่างไม่หยุดยั้ง
“ฮ่า ๆ ๆ ฉินเฟิง เจ้าคิดจริง ๆ รึว่าข้าจะไม่รู้ว่าเจ้าภักดีต่อบรรพชนเทพมายา ?”
ฉินมู่ยวี่แสยะยิ้มและกล่าวต่อ “ข้าเก็บเจ้าไว้ข้างตัวเพียงเพื่อล่อเทพมายาคนใหม่มาก็เท่านั้น บัดนี้ในเมื่อเทพมายาคนใหม่ปรากฏตัวแล้วและทราบว่านางอยู่ที่ใด ก็ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องเก็บเจ้าไว้ข้างกายอีก ตอนนี้พ่อบุญธรรมของเจ้าก็ถูกจับขังและถูกทรมานอยู่ในเขตพื้นที่หวงห้ามภายในเผ่าของเรา วะฮะฮ่า ๆ ๆ”
หลังจากกล่าวจบ นางก็หัวเราะราวกับบุคคลที่เสียสติ
“บัดซบ !”
สีหน้าของฉินเฟิงเดือดดาลมากขึ้นเรื่อย ๆ เขาพุ่งตรงออกไปหมายจะจู่โจมฉินมู่ยวี่โดยตรง
“ศิษย์พี่ อย่าเพิ่งใจร้อนไปเลย”
ฉินอวี้โม่ห้ามปรามเขาไว้ได้ทันเวลา ในขณะเดียวกันนางก็คาดเดาตัวตนของบุรุษชราในภาพได้แล้ว
“ฉินมู่ยวี่ เจ้ายังคงชั่วช้าไม่เปลี่ยนแปลง”
ซิวขมวดคิ้วเล็กน้อย มันรู้จักบุรุษชราผู้นี้เช่นกัน ผู้อาวุโสฝูหยาจือคือผู้ที่จงรักภักดีต่อเทพมายาคนก่อน เขามักที่จะเก็บซ่อนตัวอยู่ในมุมมืดมาโดยตลอด และแม้กระทั่งในการต่อสู้กับฝ่ายมารเมื่อพันปีก่อนนั้น เขาก็มิได้เข้าร่วม แม้แต่ฉินมู่ยวี่เองก็ไม่รับรู้ถึงตัวตนของเขาในเวลานั้น
ซิวคิดมาตลอดว่าเขาจะซ่อนตัวและรอโอกาสเมื่อทราบข่าวเกี่ยวกับเทพมายาคนใหม่ ไม่คิดเลยว่าเขาจะอยู่ใกล้ตัวฉินมู่ยวี่มาเสมอ
“ชั่วช้างั้นรึ ?”
ฉินมู่ยวี่มองซิวและแสยะยิ้มออกมา
“ฮ่า ๆ ๆ ชั่วช้าแล้วอย่างไรกัน ? เมื่อพันปีก่อน ข้าเป็นฝ่ายชนะ ในอนาคตข้างหน้าข้าก็จะเป็นฝ่ายชนะเช่นกัน เจ้าก็เห็นตัวอย่างแล้วไม่ใช่รึ ? อดีตนายหญิงของเจ้าที่ดีนักดีหนา ยึดมั่นในหลักคุณธรรม ทว่าสุดท้ายก็ยังต้องพ่ายแพ้ให้กับข้า”
หลังจากยิ้มอย่างพึงพอใจ นางก็หันไปมองฉินเฟิงและกล่าว “ฉินเฟิง ตลอดเวลาหลายปีนี้ ข้ารู้ว่าความผูกพันระหว่างเจ้าและพ่อบุญธรรมของเจ้าเหนียวแน่นเป็นอย่างมาก การช่วยชีวิตพ่อบุญธรรมของเจ้าก็เป็นเรื่องที่ง่ายมาก ตราบใดที่เจ้าฆ่าเทพมายาคนใหม่และนำศีรษะของนางมาให้ข้า ข้าจะปล่อยพ่อบุญธรรมของเจ้าไป”
เมื่อได้ยินวาจาของฉินมู่ยวี่ ฉินเฟิงก็ส่ายศีรษะโดยไม่ลังเล
“ฉินมู่ยวี่…ไม่มีทางหรอก…”
“ทำไมกัน ? เจ้าไม่ต้องการช่วยพ่อบุญธรรมของเจ้ารึ ?”
คำตอบอย่างไม่ลังเลของฉินเฟิงทำให้ฉินมู่ยวี่ยิ้มเย็นและกล่าวตอบ “พ่อบุญธรรมของเจ้าทำทุกอย่างเพื่อเจ้ามาโดยตลอด แต่เจ้ากลับไม่ต้องการที่จะช่วยเขางั้นรึ ? เพื่อเทพมายาคนใหม่ที่เพิ่งพบหน้า เจ้าถึงกับยอมทอดทิ้งพ่อบุญธรรมของตนเอง หากเขารู้เข้า ไม่รู้เลยว่าเขาจะเศร้าเสียใจเพียงใด”
ฉินเฟิงยังคงไม่สะทกสะท้านใด ๆ
“ฉินมู่ยวี่ พ่อบุญธรรมดีกับข้ามากและข้าเข้าใจความคิดของเขา หากข้าช่วยชีวิตของเขาโดยต้องแลกด้วยชีวิตของเทพมายา เขาก็คงจะไม่เห็นด้วยอย่างแน่นอน พ่อบุญธรรมเคยบอกข้าเกี่ยวกับหน้าที่ความรับผิดชอบของเรา เขาบอกข้ามาเสมอว่ามิให้ลืมตัวตนของตัวเรา แม้ว่าข้าจะอยากช่วยเขา ข้าก็ทราบดีว่าเขาต้องการให้ข้าทำสิ่งใดมากที่สุด !”
ฉินเฟิงกำหมัดแน่นและสีหน้าแสดงถึงความเย็นชาอย่างที่สุด เขาเสียใจในสิ่งที่เกิดขึ้นกับบิดาบุญธรรมของตน ทว่าเขาไม่ต้องการทำสิ่งใดที่จะส่งผลร้ายต่อฉินอวี้โม่ เขาเข้าใจหน้าที่ความรับผิดชอบของตนเองดีและทราบว่าควรทำสิ่งใด
ภายในภาพกระจก ราวกับฝูหยาจือได้ยินคำพูดของฉินเฟิง จู่ ๆ เขาก็ลืมตาขึ้นและคลี่รอยยิ้มโล่งใจ
เมื่อเห็นรอยยิ้มของฝูหยาจือ ดวงตาของฉินเฟิงก็แดงก่ำไปครู่หนึ่ง
“ฮ่า ๆ ๆ ช่างซื่อสัตย์ภักดีอะไรเช่นนี้ !”
ฉินมู่ยวี่แสยะยิ้มและสะบัดมืออีกครั้งก่อนที่ภาพกระจกจะอันตรธานหายไปอย่างไร้ร่องรอย
“ฉินมู่ยวี่ หากเจ้ากล้าทำอะไรพ่อบุญธรรมของข้า วันหนึ่งข้าจะฆ่าเจ้าด้วยตัวเอง !”
ฉินเฟิงจ้องมองฉินมู่ยวี่อย่างเย็นชาและน้ำเสียงหนักแน่นผิดปกติ
“ฮ่า ๆ ๆ ไม่ต้องห่วง ข้าจะปล่อยให้เขาตายไปอย่างง่าย ๆ ได้อย่างไร ?”
ฉินมู่ยวี่ยิ้มเยือกเย็นและกล่าวอย่างแข็งกร้าว
“ข้าจะทำให้เขาได้สัมผัสถึงชะตากรรมของการทรยศข้า !”
เมื่อได้ยินเช่นนั้น สีหน้าของฉินอวี้โม่และคนอื่น ๆ ก็เหยเกอย่างยิ่ง ทว่าพวกนางมิอาจทำอะไรได้เลย
ฉินเหยียนชำเลืองมองฉินเฟิงด้วยสีหน้าถอดสีไม่ต่างกันและขมวดคิ้วเบา ๆ ความรู้สึกบางอย่างผุดขึ้นในหัวใจของนางทว่าไม่มีผู้ใดสังเกตเห็น
.
Related