เวลาสามวันผ่านไปอย่างรวดเร็ว
ตลอดช่วงสามวันที่ผ่านมา ฉินอวี้โม่และคนอื่น ๆ มุ่งหน้าตรงเข้าไปลึกในซากปรักหักพัง และในระหว่างทาง พวกนางก็เผชิญกับข่ายอาคมจำนวนมาก ทว่าในเมื่อมีมารยาอยู่ พวกเขาก็ข้ามผ่านพวกมันทั้งหมดมาได้โดยที่ไม่เผชิญกับอันตรายใด ๆ
ในระหว่างนี้ฉินอวี้โม่และสหายทั้งหลายก็เข้าไปในห้องลับหลายห้องและได้สมบัติดี ๆ มาพอสมควร
เหล่าจอมยุทธ์อิสระที่นำโดยเฉิงห่าวซวนก็ได้รับผลประโยชน์อย่างมากในระหว่างทาง พวกเขาต่างก็ยิ้มกว้างอย่างมีความสุข พวกเขาทั้งหมดมีความเคารพต่อฉินอวี้โม่มากขึ้นและตระหนักได้ว่าการตัดสินใจของเฉิงห่าวซวนก่อนหน้านี้ถูกต้องแล้ว
หากพวกเขาไม่เลือกที่จะเดินทางออกสำรวจร่วมกับฝ่ายของฉินอวี้โม่ พวกเขาจะได้สมบัติมากมายเหล่านี้อย่างสบาย ๆ โดยที่ไม่เผชิญกับอันตรายได้อย่างไร ?
“เอาล่ะ ดูเหมือนว่าเราใกล้ถึงโถงกลางแล้ว ข้าคิดว่าขุมกำลังอื่น ๆ ก็น่าจะเข้าใกล้แล้วเช่นกัน จากนี้ไปเราจะต้องระวังตัวมากขึ้น”
ฉินอวี้โม่ดูแผนที่ก่อนเอ่ยเตือนทุกคนอีกครา
แม้ว่ามีแผนที่อยู่ในมือ นางก็ไม่คิดว่าขุมกำลังอื่น ๆ จะล่าช้ากว่ากลุ่มของตนมากนัก
ผู้บัญชาการของกองทหารหงเฟิงผู้นั้นก็ถือว่าไม่ธรรมดาเลย ข่ายอาคมมากมายเหล่านั้นน่าจะไม่สามารถขัดขวางพวกเขาไว้ได้
นั่นยังไม่รวมถึงฉินหวยผู้ซึ่งน่าจะมีไพ่ตายซ่อนไว้ไม่น้อย เขาคงไม่มีปัญหาในการผ่านเข้าไปอย่างปลอดภัย
สำหรับเฮยรอง ฉินขุยและคนอื่น ๆ แม้ว่าพวกเขาไม่แข็งแกร่งมากนัก ทว่าตราบใดที่ใช้ความพยายามมากขึ้น การไปถึงที่หมายก็คงไม่เป็นปัญหาสำหรับพวกเขาเช่นกัน
ทุกคนพยักศีรษะอย่างพร้อมเพรียงกัน เฉิงห่าวซวนและคนอื่น ๆ อาจไม่เข้าใจอย่างแน่ชัด ทว่าซูวั่งชวนและเหล่าชาวเมืองเพลิงมาต่างก็ทราบดีว่าเหตุใดฉินอวี้โม่จึงระมัดระวังนักและพวกเขาแต่ละคนก็เตรียมความพร้อมไว้แล้ว
เมื่อเดินผ่านทางเดินสุดท้าย พวกเขาก็พบกับปลายทางที่คาดคิดไว้ โถงกว้างใหญ่และโอ่อ่าซึ่งสามารถรองรับคนนับหมื่นปรากฏให้เห็นตรงหน้าทุกคน
ภายในห้องโถงนี้มีสมบัติล้ำค่ามากมายกระจัดกระจายอยู่ทั่วซึ่งเป็นภาพที่ดึงดูดความละโมบของผู้คนได้ดี อย่างไรก็ตาม ทันทีที่ฉินอวี้โม่และคนอื่น ๆ มาถึง ทุกคนก็ถูกดึงดูดความสนใจโดยก้อนแสงขนาดใหญ่ที่ลอยอยู่ตรงกลาง หากคาดเดาไม่ผิด มันน่าจะเป็นมรดกของจอมยุทธ์พเนจรเซียนอวิ๋น
ด้านใต้ก้อนแสงนี้คือกิเลนที่มีขนาดเท่าคชสารตัวหนึ่งซึ่งปกคลุมไปด้วยน้ำแข็งสีฟ้าและกำลังหลับใหลอยู่
“ฮ่า ๆ ๆ ที่แท้ก็เป็นกิเลนครามนี่เอง กิเลนครามเป็นรองเพียงแต่กิเลนอัคคีเท่านั้น และตัวที่อยู่ตรงหน้านี้ก็มีความแข็งแกร่งอยู่ในระดับพสุธาเซียนเป็นอย่างต่ำ พลังอำนาจของจอมยุทธ์พเนจรเซียนอวิ๋นในอดีตไม่ธรรมดาจริง ๆ”
หานอวี้ยิ้มและมองเห็นถึงคุณสมบัติและความแข็งแกร่งของกิเลนในแวบแรก
“นี่เป็นแค่เศษเสี้ยวจิตวิญญาณ มิใช่ร่างหลักของมัน เสี่ยวอวี้ หากเจ้าดูดซับพลังของเศษเสี้ยวจิตวิญญาณนี้ มันน่าจะเพียงพอให้เจ้ากระตุ้นการลงทัณฑ์สายฟ้าและวิวัฒนาการได้”
มารยากล่าวจากด้านข้าง ในช่วงหลัง ๆ มานี้มันมีความสัมพันธ์ที่ดีกับหานอวี้เป็นอย่างมากและเมื่อมันนึกถึงเรื่องนี้ได้ มันก็เอ่ยออกไปทันที
กิเลนและมังกรถือได้ว่ามาจากสายพันธุ์เดียวกัน แม้ว่ามังกรทองห้าเล็บเป็นมังกรที่อยู่เกือบสูงสุดในสายพันธุ์ กิเลนครามก็ไม่ได้อ่อนแอกว่ามันมากนัก ยิ่งไปกว่านั้น ความแข็งแกร่งของกิเลนครามตรงหน้าทุกคนในเวลานี้ก็อยู่ในระดับพสุธาเซียนเป็นอย่างต่ำ แม้ว่ามีเพียงจิตวิญญาณ มันก็ยังมีพลังมาก หากว่าหานอวี้ดูดซับมัน มังกรน้อยจะสามารถกระตุ้นการลงทัณฑ์สายฟ้าและทะลวงพลังได้อย่างแน่นอน
“น่าจะเป็นเช่นนั้น”
หานอวี้พยักหน้าเบา ๆ ด้วยความคิดแบบเดียวกัน จนถึงตอนนี้มันก็ยังไม่สามารถกระตุ้นการลงทัณฑ์สายฟ้าเพื่อทะลวงพลังได้และเมื่อเห็นว่าการลงทัณฑ์สายฟ้าของอสูรมายาตัวอื่น ๆ ต่างก็ใกล้มาถึงแล้ว มันก็รู้สึกเป็นกังวลไม่น้อย แม้ว่ามันสามารถอาศัยสายเลือดที่ทรงพลังของตนเองเพื่อเพิ่มพลังในการต่อสู้ได้ อย่างไรก็ตาม หากเผชิญหน้ากับจอมยุทธ์ขอบเขตเซียนที่ทรงพลังมาก มันก็ไม่มีทางเอาชนะได้
แม้ทราบว่าก้อนแสงดังกล่าวน่าจะเป็นมรดกของจอมยุทธ์พเนจรเซียนอวิ๋น ฉินอวี้โม่และคนอื่น ๆ ก็ไม่ทำสิ่งใดบุ่มบ่าม เศษเสี้ยวจิตวิญญาณของกิเลนครามน่าจะอยู่ตรงนั้นเพื่อปกป้องมรดกของเซียนอวิ๋น หากเอาชนะมันไม่ได้ การได้รับมรดกมาครอบครองก็เป็นไปไม่ได้เช่นกัน
และขุมกำลังอื่น ๆ ก็น่าจะมาถึงในไม่ช้า หากโจมตีกิเลนตรงหน้าและเอาชนะมันไม่ได้โดยเร็ว มันจะนำไปสู่สถานการณ์ที่ไม่น่าอภิรมย์นัก อาจจะถูกขุมกำลังอื่น ๆ ปิดล้อมโจมตีได้
เพราะเหตุนั้น แทนที่จะปล่อยให้คนอื่น ๆ ปิดล้อมได้ มันจะดีกว่าหากรอให้คนอื่น ๆ มารวมตัวกันที่นี่ก่อนและหาโอกาสที่เหมาะสม
“มีคนกำลังมา”
เมื่อมองตรงไปที่ทางเข้าในฝั่งตรงข้ามและสัมผัสได้ว่ามีคนจำนวนมากกำลังใกล้เข้ามา ฉินอวี้โม่ก็กล่าวขึ้นเบา ๆ โดยไม่แสดงสีหน้าตึงเครียดหรือกังวลแต่อย่างใด
ทุกคนพยักศีรษะรับทราบก่อนมองตามทิศทางนั้นไปเช่นกัน พวกเขาต่างก็สงสัยใคร่รู้ยิ่งนักว่าผู้ใดจะปรากฏตัวก่อน
“ท่านผู้บัญชาการ มันอยู่ที่นี่จริง ๆ ด้วยขอรับ”
สิ่งที่เกิดขึ้นก่อนคือเสียงของใครคนหนึ่งดังขึ้นในหูของฉินอวี้โม่และคนอื่น ๆ จากนั้นกลุ่มจอมยุทธ์ชุดแดงก็โผล่มาจากทางเดินนั้น
เมื่อมองเห็นฉินอวี้โม่และคนอื่น ๆ คนเหล่านั้นก็ตะลึงไปเล็กน้อย
“ไม่คิดเลยว่าจะมีคนเร็วกว่าเรา”
ใครคนหนึ่งจากกองทหารหงเฟิงกล่าวด้วยความประหลาดใจ เดิมทีเขาเชื่อว่าฝ่ายของตนน่าจะมาถึงจุดหมายเร็วที่สุด ไม่คิดเลยว่าจะมีใครคนอื่นเร็วกว่าและมาถึงก่อนแล้ว
“พวกเขาคือกลุ่มคนจากเมืองเพลิงมายาและจอมยุทธ์อิสระที่นำโดยเฉิงห่าวซวน”
บุรุษอีกคนกล่าวยืนยันตัวตนของฉินอวี้โม่และคนอื่น ๆ พร้อมรอยยิ้มทันที
“ฮ่า ๆ ๆ ฉินส่าวชิง ไม่คิดเลยว่าเจ้าจะมาถึงเร็วเพียงนี้”
แม้ทราบดีว่าฉินส่าวชิงตรงหน้ามิใช่ฉินส่าวชิงตัวจริง คนจากกองทหารหงเฟิงก็ยังคงกล่าวเช่นนี้ออกมา เขาคือหงเย่—หัวหน้าหน่วยที่หนึ่งของกองทหารหงเฟิงซึ่งมีความแข็งแกร่งเป็นรองเพียงผู้บัญชาการเท่านั้น
“ฮ่า ๆ ๆ เจ้าคงจะเป็นหัวหน้าหน่วยที่หนึ่งของกองทหารหงเฟิงซึ่งมีนามว่าหงเย่ใช่รึไม่ ?”
เลี่ยหยางยิ้มบาง ๆ เมื่อได้ยินวาจาของอีกฝ่าย
“ไม่น่าเชื่อเลยว่าเจ้าจะรู้จักกองทหารหงเฟิงของเราดีทีเดียว !”
หงเย่ไม่แปลกใจที่ฝ่ายตรงข้ามรู้จักตนเอง เขาเพียงกล่าวพร้อมยิ้มตอบ
“ข้าเพียงชื่นชมรูปแบบการทำงานของกองทหารหงเฟิง ข้าจึงสืบหาข้อมูลและพอจะเข้าใจอยู่บ้าง ยิ่งไปกว่านั้น กองทหารหงเฟิงเป็นศัตรูคู่อาฆาตของผู้นำฉินเหยียน แน่นอนว่าเราเข้าใจสถานการณ์บางอย่างดี”
เลี่ยหยางยิ้มอย่างเป็นมิตรและกล่าวทั้งเรื่องจริงและไม่จริงปะปนกัน
“ฮ่า ๆ ๆ ชื่นชมการทำงานของพวกเรางั้นรึ ? เจ้าไม่กลัวรึว่าผู้นำฉินเหยียนของเจ้าจะลงโทษหากมาได้ยินเข้า ?”
เมื่อได้ยินวาจาของเลี่ยหยาง หงเย่ก็สงสัยใคร่รู้เกี่ยวกับตัวตนที่แท้จริงของฉินอวี้โม่และคณะมากยิ่งขึ้น เขารู้สึกมาตลอดมาว่าคนเหล่านี้มิใช่คนธรรมดาและมีอะไรมากกว่าที่เห็น เมื่อได้ทราบทัศนคติของ ‘ฉินส่าวชิง’ ในตอนนี้ซึ่งแสดงท่าทีราวกับว่าไม่ต้องการเป็นปฏิปักษ์กับกองทหารหงเฟิง เขาก็ยิ่งสงสัยมากขึ้นว่ากลุ่มคนตรงหน้าต้องการสิ่งใดกันแน่
“ศัตรูก็คือส่วนของศัตรู ความชื่นชมก็ส่วนของความชื่นชม ข้าไม่เห็นว่ามันจะเกี่ยวข้องกัน”
ฉินอวี้โม่ยกยิ้มมุมปากและกล่าวออกไปอย่างกำกวม
“ท่านคือผู้ฝึกสัตว์อสูรระดับเทวะของเมืองเพลิงมายา—อวี้โม่ใช่รึไม่ ?”
เมื่อได้ยินวาจาของสตรี หงเย่ก็เลื่อนสายตามาที่ฉินอวี้โม่และเอ่ยถาม
อวี้โม่ผู้นี้ทั้งเยาว์วัยและงดงามยิ่งนัก ไม่น่าเชื่อเลยว่านางจะเป็นผู้ฝึกสัตว์อสูรระดับเทวะที่เลื่องชื่อไปทั่วดินแดน
“ข้าชื่ออวี้โม่ และผู้ฝึกสัตว์อสูรระดับเทวะเป็นเพียงแค่สถานะที่คนอื่น ๆ มอบให้ข้าเท่านั้น”
ฉินอวี้โม่ไม่ปฏิเสธและชำเลืองมองผู้บัญชาการกองทหารหงเฟิงผู้ซึ่งยืนนิ่งไม่เอ่ยวาจา
“ฮ่าๆๆ ท่านผู้บัญชาการกองทหารหงเฟิง เราเคยพบกันมาก่อนรึไม่ ?”
กลิ่นอายจากหัวหน้ากองทหารลึกลับทำให้ฉินอวี้โม่รู้สึกคุ้นเคยอย่างประหลาด ในตอนที่อยู่ไกลกันก่อนหน้านี้ ความรู้สึกอาจผิดเพี้ยนไป ทว่าตอนนี้ระยะห่างระหว่างทั้งสองมีเพียงไม่กี่จั้งเท่านั้น ความรู้สึกคุ้นเคยอย่างประหลาดนี้ไม่ผิดแน่
อย่างไรก็ตาม ฉินอวี้โม่จำทุกคนที่เคยพบปะในโลกมายาได้เป็นอย่างดีและนางไม่เคยพบกับหัวหน้ากองทหารหงเฟิงมาก่อน ทว่าความรู้สึกคุ้นเคยที่มาจากเขาก็เป็นสิ่งที่นางไม่อาจมองข้ามไปได้
“ฮ่า ๆ ๆ ก็อาจจะ”
ผู้บัญชาการยิ้มเย็นและไม่ปฏิเสธทว่ากล่าวอย่างกำกวมไม่ชัดเจน
น้ำเสียงของเขาแหบพร่าเล็กน้อยซึ่งต่างจากก่อนหน้านี้และมันดูจะเป็นการจงใจดัดเสียง
เมื่อได้ยินเสียงของเขา ฉินอวี้โม่ก็ขมวดคิ้วเล็กน้อยทันที ดูเหมือนว่าหัวหน้ากองทหารหงเฟิงผู้นี้จะซ่อนบางอย่างไว้ หากเป็นเช่นนั้นจริง เป็นไปได้รึไม่ว่านางจะรู้จักเขาจริง ๆ ? สมองของนางหมุนเร็วจี๋ขณะพยายามนึกย้อนไปถึงทุกคนที่รู้จักในโลกมายา และจู่ ๆ ใครคนหนึ่งก็ผุดขึ้นในหัว
เมื่อเปรียบเทียบสภาวะพลังและกลิ่นอายของผู้บัญชาการตรงหน้า ฉินอวี้โม่ก็มีข้อสันนิษฐานทันที หรือว่า ‘เขา’ คนนั้นจะเป็นหัวหน้ากองทหารหงเฟิง !?
อย่างไรก็ตาม แม้ตั้งข้อสันนิษฐานในใจแล้ว นางมิได้เอ่ยออกไปทันที หากผู้บัญชาการกองทหารตรงหน้าคือคนที่คิดไว้จริงก็คงจะเป็นเรื่องดีมากทีเดียว
นางไว้วางใจในตัวตนของ ‘เขาคนนั้น’ ความแข็งแกร่งของเขาถือว่าไม่อ่อนแอ อีกทั้งยังมีปัญญาที่ฉลาดล้ำเลิศ หากเป็น ‘เขา’ จริง ๆ การกระทำของนางต่อไปในภายภาคหน้าจะง่ายขึ้นมาก
ซูวั่งชวนชำเลืองมองหัวหน้ากองทหารหงเฟิงและรู้สึกถึงความคุ้นเคยเล็กน้อยเช่นกันทว่ามิได้คาดเดามากนัก เขาเพียงมองดูสีหน้าของฉินอวี้โม่และพบว่าไม่มีสิ่งผิดปกติก่อนพยักศีรษะเล็กน้อย
“ฮ่า ๆ ๆ ไม่คิดเลยว่าพวกท่านจะมาถึงกันเร็วเช่นนี้”
ทั้งสองฝ่ายยืนตรงข้ามกันและทุกอย่างตกอยู่ในความเงียบสงัดไปครู่หนึ่ง ทว่าจู่ ๆ เสียงหนึ่งก็ดังขึ้นทำลายความเงียบสงบทั้งหมด
ทุกคนหันไปตามต้นเสียงนั้นและพบว่าฉินขุยเดินมาจากทางเดินด้านซ้ายโดยมีเฮยรองอยู่เคียงข้าง เห็นได้ชัดว่าพวกเขาเข้ากันได้ดีทีเดียว
ข้างหลังพวกเขาคือผู้ติดตามจากเมืองไม้มายาและคนของเฮยรอง
อย่างไรก็ตาม สภาพของคนเหล่านั้นไม่สู้ดีนัก พลังของพวกเขาส่วนใหญ่โรยราอ่อนแรง เห็นได้ชัดว่าพวกเขาใช้พลังมากเกินไปในช่วงสั้น ๆ ที่ผ่านมา ในขณะที่บางคนมีบาดแผลตามร่างกาย พวกเขาน่าจะเพิ่งผ่านอุปสรรคที่อันตรายมา
“ฮ่า ๆ ๆ ฉินขุย กลุ่มของท่านดูจะอาการไม่ดีเลย”
เลี่ยหยางยิ้มมุมปากและไม่พลาดโอกาสที่จะได้เยาะเย้ยอีกฝ่าย ยิ่งไปกว่านั้น ตัวตนของเขาในตอนนี้คือฉินส่าวชิง แน่นอนว่าเขาใช้วาจาและน้ำเสียงเลียนแบบฉินส่าวชิง
“เหอะ ฉินส่าวชิง ท่านไม่ต้องห่วงหรอกว่าพวกเราจะสบายดีรึไม่ ในเมื่อพวกเรามาที่นี่ในวันนี้ ท่านจะไม่ได้สมบัติในซากปรักหักพังไปครอบครองหรอก”
ฉินขุยแค่นเสียงเย็นชาและกล่าวด้วยแววตามั่นใจเต็มเปี่ยม
“ฉินขุย การที่มีเฮยรองอยู่ข้างกายทำให้ท่านมั่นใจถึงเพียงนั้นเลยรึ ? หรือว่าเขาจะแปรพักตร์ไปอยู่กับท่านแล้ว ?”
เลี่ยหยางยังไม่เอ่ยปากทว่าเสียงหนึ่งดังขึ้น ทันทีที่สิ้นเสียงนั้น ฉินจิน ฉินหวยและคนอื่น ๆ ก็ก้าวออกมาจากอีกทิศทางหนึ่ง
เวลานี้ขุมกำลังทั้งหมดที่เข้ามาในซากปรักหักพังรวมตัวกันอยู่ในโถงกว้างขวางนี้แล้วและการต่อสู้แย่งชิงกำลังจะเริ่มต้นขึ้น !
Related