คุณหนูสี่ สตรีเปื้อนเลือด – ตอนที่ 44.2 แข่งกันอย่างยุติธรรม (2)

“เหอะ! ก่อนหน้านี้ทุกคนต่างก็เห็นว่าคุณชายลิ่วเยว่ไร้ยางอายเพียงใด ถ้าหากว่าคุณชายพ่ายแพ้ในวันพรุ่งนี้ แล้วจะเชื่อได้อย่างไรว่าท่านจะยอมมอบอสูรมายาให้จริง ๆ? ”

ลั่วอวิ๋นยิ้มและมองลิ่วเยว่ด้วยสีหน้าเย้ยหยัน

ก่อนที่หลี่เปียวและลิ่วเยว่จะเข้ามา ฉินอวี้โม่ได้นัดแนะกับลั่วอวิ๋นก่อนแล้ว ครั้งนี้เขาเพียงแค่เล่นไปตามบทที่นางเขียนเอาไว้เท่านั้น

…อดีตคุณหนูคนงามถือคติว่าทำอะไรก็ต้องให้ถึงที่สุด ละครฉากนี้ฉินอวี้โม่ขอร่วมเขียนบทด้วย…

“เหอะ! ในเมื่อทุกคนไม่เชื่อข้า งั้นข้าจะกรีดเลือดสาบาน แน่นอนว่าข้าหวังว่าแม่นางฉินเองก็จะกรีดเลือดสาบานเหมือนกันกับข้าด้วย”

ลิ่วเยว่กล่าวอย่างเย็นชา เขามั่นใจสิบเต็มสิบว่าตัวเองไม่มีทางแพ้ ด้วยเหตุนี้ทำให้เขากล้ากรีดเลือดสาบานโดยไม่ลังเล ในเมื่ออย่างไรก็ชนะอยู่แล้วกับเพียงแค่เอ่ยคำสาบานไม่กี่ประโยคทำไมเขาจะทำไม่ได้ นั่นไม่ต่างจากสาบานให้วันพรุ่งนี้พระอาทิตย์ขึ้นทิศตะวันออกเลยสักนิด !

“ในเมื่อคุณชายพูดถึงขนาดนั้น ข้าเองก็คงไม่กล้าปฏิเสธ ข้าหวังว่าหัวหน้าหลี่เปียวเองก็จะสาบานด้วย”

ฉินอวี้โม่พยักหน้าและหันไปมองหลี่เปียว

“แน่นอน ข้ายินดีให้สัตย์สาบาน”

หลังจากนั้น สมาชิกคณะละครอุปโลกน์ทั้งสามก็ให้คำสัตย์ปฏิญาณและกรีดเลือดสาบานกันอย่างจริงจัง

“งานอสูรล้อมเมืองในวันพรุ่งนี้ ข้าลิ่วเยว่จะแข่งขันกับแม่นางฉินอวี้โม่ ข้าขอสาบานว่าหากข้าพ่ายแพ้ ข้าจะมอบอสูรเทวะของข้าให้แม่นางฉินอวี้โม่ไป หากข้าทำผิดจากคำสาบานนี้ขอให้ตกนรกอเวจี! ”

เมื่อคำสาบานสิ้นสุดลง อักขระแห่งฟ้าดินก็ปรากฏขึ้นตรงหน้าผากของลิ่วเยว่ก่อนจะจางหายไปอย่างรวดเร็ว การสาบานของลิ่วเยว่เสร็จสิ้นลงอย่างสมบูรณ์แล้ว

หากผู้ฝึกพลังมายาให้คำสัตย์สาบานด้วยจิตใจที่แน่วแน่ก็จะถือเป็นการผูกมัดตัวเองไว้กับกฎแห่งฟ้าดิน หากผิดคำสาบานพวกเขาก็จะต้องถูกสวรรค์ลงทัณฑ์อย่างไม่อาจหลบเลี่ยง

หลี่เปียวเองก็กล่าวคำสาบานด้วยวิธีนี้เช่นกันก่อนที่เขาจะหันไปจ้องมองฉินอวี้โม่

ฉินอวี้โม่ยิ้มน้อย ๆ และกล่าว “ในวันอสูรล้อมเมืองวันพรุ่งนี้ คุณชายลิ่วเยว่กับข้าจะแข่งขันกัน ถ้าข้าฉินอวี้โม่เป็นฝ่ายพ่ายแพ้ ข้าจะยอมยกอสูรมายาของข้าให้ ถ้าหากข้าผิดคำพูดจากนี้ขอให้เผชิญกับหายนะ”

อักขระที่เป็นตัวแทนของกฎแห่งฟ้าดินก่อตัวขึ้นล้อมรอบกายของสตรีโฉมงาม นี่เป็นข้อพิสูจน์แล้วว่าคำสาบานของนางก็เสร็จสิ้นสมบูรณ์แล้วเช่นกัน

หลี่เปียวและลิ่วเยว่พยักหน้าอย่างพึงพอใจ

ลิ่วเยว่ยิ้มอย่างมีเลศนัยแล้วกล่าว

“ข้าจะรอให้ถึงวันพรุ่งนี้”

จนถึงตอนนี้ ลิ่วเยว่และหลี่เปียวยังไม่เคยกล่าวถึงเนื้อหาของการแข่งเลยแม้แต่ครั้งเดียว ในเรื่องนี้บุรุษใจทรามผู้คิดรังแกอิสตรีทั้งสองได้เตรียมการเอาไว้แล้ว… พวกเขาจะทำให้ฉินอวี้โม่ต้องประหลาดใจในวันพรุ่งนี้

ทว่ามุมปากของฉินอวี้โม่กลับยกขึ้นมาเป็นรอยยิ้ม นางไม่ได้กังวลเลยแม้แต่น้อย แผนการของพวกเขานางรู้เห็นอย่างชัดเจน ยิ่งกว่านั้น สองคนนั้นไม่ได้รับรู้ถึงช่องโหว่ในคำสาบานของนางเลยแม้แต่น้อย

ฉินอวี้โม่กล่าวว่าหากพ่ายแพ้ นางจะยอมมอบอสูรมายาให้ แต่นางไม่ได้เอ่ยออกมาแม้แต่ครึ่งคำว่าจะให้มันแก่ผู้ใด และต่อให้นางต้องพ่ายจริง ๆ นางก็เพียงแค่มอบมันให้เสี่ยวโร่วนั่นก็นับว่าไม่ผิดคำสาบาน

ขณะที่เสี่ยวจินตัวนิดและเสี่ยวเฮยตัวน้อยที่ล่วงรู้ถึงความคิดของผู้เป็นนายที่ได้ผูกพันธสัญญาไว้ต่างก็นอนหัวเราะกันตัวงออยู่บนไหล่ของนาง

‘สองคนนั้นกำลังวิ่งเล่นอยู่บนฝ่ามือของนายหญิง แต่กลับคิดว่าตัวเองถือไพ่เหนือกว่า พวกมันไม่รู้เลยว่าทุกอย่างถูกควบคุมไว้หมดแล้ว ช่างโง่งมเสียจริง’ นี่คือสิ่งที่อสูรมายาทั้งสองกำลังคิด

“แม่นางอวี้โม่ เจ้าแน่ใจไหมว่าจะชนะ? ”

ถึงแม้เขาจะเป็นผู้สมรู้ร่วมคิดและให้ความร่วมมือกับฉินอวี้โม่เล่นไปตามบทที่นางบอกไว้ แต่ลิ่วเยว่กับหลี่เปียวก็มีท่าทางมากเล่ห์ไม่น่าไว้ใจ อย่างไรลั่วอวิ๋นก็อดเป็นกังวลแทนสหายผู้นี้ไม่ได้

ลิ่วเยว่คือหนึ่งในอัจฉริยะแห่งอาราม แน่นอนว่าฝีมือของเขาต้องไม่ธรรมดา

หากประเมินตามข้อมูลที่เขารู้และไม่มีปาฏิหาริย์หรือสิ่งไม่คาดฝันเกิดขึ้น… ผู้ที่น่าจะเป็นฝ่ายที่พ่ายแพ้ก็คือฉินอวี้โม่

“ไม่ต้องห่วง ข้าไม่แพ้แน่”

เมื่อได้ยินวาจาห่วงใยและมองเห็นสายตาเป็นกังวลของลั่วอวิ๋น ฉินอวี้โม่ก็ส่งยิ้มให้และตอบกลับอย่างมั่นใจ

หากพวกเขาต้องการจะสู้กับนาง พวกเขาเองก็ต้องเตรียมตัวพบเจอกับความพ่ายแพ้เอาไว้ได้เลย!

ท่าทางมั่นอกมั่นใจของฉินอวี้โม่ทำให้ลั่วอวิ๋นที่กำลังจะกล่าวทัดทานได้แต่กลืนคำพูดนั้นลงคอไป

แม้ว่าเขาจะยังรู้จักฉินอวี้โม่ได้ไม่นานนัก ทว่าเขาก็ทราบดีว่านางไม่ใช่สตรีที่ชอบอวดอ้างตนเอง หากว่านางมั่นใจก็แสดงว่านางต้องมีแผนรับมือเตรียมไว้แล้ว

สิ่งที่เขาต้องทำก็เพียงแค่ต้องสนับสนุนนางอย่างเต็มที่ และรอดูการแสดงดีๆ อีกครั้งในวันพรุ่งนี้เท่านั้น

เมื่อเห็นท่าทางที่มั่นใจนั้นชื่อเซียวเองก็พยักหน้า โฉมงามของเขา–ฉินอวี้โม่ผู้นี้ทำให้เขาประหลาดใจได้อีกครั้งหนึ่งแล้ว

“ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น กลุ่มทหารรับจ้างชื่อเหยียนของพวกเราก็จะสนับสนุนเจ้า ไม่ว่าการแข่งขันในวันพรุ่งนี้จะเป็นยังไง พวกเราก็จะอยู่เคียงข้างเจ้า”

ชื่อเซียวเดินมาหาฉินอวี้โม่ด้วยรอยยิ้ม น้ำเสียงของเขาหนักแน่นและแน่วแน่

“ใช่แล้ว กลุ่มทหารรับจ้างชื่อเหยียนจะสนับสนุนแม่นางฉินอวี้โม่”

สมาชิกของกลุ่มทหารรับจ้างชื่อเหยียนต่างก็ยืนขึ้นกล่าว พวกเขายินดีจะทำตามการตัดสินใจของชื่อเซียว

ฉินอวี้โม่กวาดสายตามองดูเหล่าสหายส่งมอบไมตรีให้นางอย่างจริงใจ ทุกคำที่พวกเขาเอ่ยทำให้นางอดยิ้มไม่ได้

“แม่นางอวี้โม่ ข้าชื่นชมเจ้าจริง ๆ เจ้ากล้ารับคำท้าของคนจากอาราม เจ้าไม่เกรงกลัวพลังอำนาจของพวกเขาเลยรึ? ”

เมื่อทุกคนออกไปหมดแล้ว ก็เหลือเพียงฉินอวี้โม่และเสี่ยวโร่วเท่านั้นที่ยังอยู่ภายในสถานที่จัดเลี้ยงแห่งนี้

ลั่วชิงซานมองฉินอวี้โม่ด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความชื่นชม

…ด้วยสายตาแห่งผู้ครองเมืองเยว่กวางแห่งนี้ เขาทำนายว่าสักวันหนึ่งสตรีผู้นี้จะกลายเป็นผู้ยิ่งใหญ่แห่งดินแดนนี้ได้อย่างแน่นอน…

เหตุผลที่นางยังคงรั้งรออยู่หลังจากงานเลี้ยงจบลงก็เป็นเพราะอดีตคุณหนูต้องการจะกล่าวขออภัยท่านเจ้าเมืองสำหรับเรื่องวุ่นวายที่เกิดขึ้นในวันนี้เสียก่อน แม้ว่าจะไม่ได้เป็นผู้เริ่มต้นแต่อย่างไรเสียนางก็มีส่วนร่วมไม่น้อย

“วันนี้ข้าต้องขออภัยท่านเจ้าเมืองด้วยที่ทำให้บรรยากาศภายในงานเลี้ยงดูอึดอัด เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับว่าเกรงกลัวหรือไม่ เพียงแต่ข้าไม่อาจจะอดกลั้นได้เมื่อเจอกับคนประเภทเดียวกับลิ่วเยว่ผู้นั้น เพราะมันไม่ใช่นิสัยของข้า ที่สำคัญยิ่งเราหวาดกลัวพวกเขามากเท่าไหร่ คนพวกนั้นก็จะยิ่งได้ใจแล้วใช้ประโยชน์จากความหวาดกลัวของเรา ฉะนั้นข้าคิดว่าหากไม่มีเหตุผลใดให้กลัวก็ไม่จำเป็นต้องกลัว หลักการของข้านั้นง่ายมาก หากใครต้องการฆ่าข้า คนผู้นั้นก็ต้องเตรียมจ่ายด้วยชีวิตเช่นกัน”

ฉินอวี้โม่ยิ้ม เธอเองก็ไม่อยากจะยั่วยุขุมกำลังที่มีอำนาจล้นฟ้าแบบนั้น แต่ไม่ว่าอย่างไร การยอมถอยเพียงฝ่ายเดียวหรือยอมให้ผู้อื่นกดหัวก็ไม่ใช่นิสัยของเธอ… วิธีแก้ปัญหาที่ดีที่สุดที่เธอรู้จักมาทั้งชีวิตก็คือฆ่าอีกฝ่ายทิ้ง!

ยิ่งกว่านั้นขุมกำลังใหญ่โตที่ทรงอิทธิพลมากมายอย่างอารามก็คงไม่ให้ความสนใจกับสตรีตัวคนเดียวอย่างนางมากนัก

แน่นอนว่าลั่วชิงซานไม่รู้ถึงความคิดทั้งหมดของฉินอวี้โม่ แต่เมื่อได้ฟังคำพูดของสาวน้อย เขาก็พยักหน้าอย่างเห็นด้วย

“แม่นาง ข้าเกือบจะลืมไป ก่อนที่จะเสด็จกลับ องค์ฮองเฮาได้ขอให้ข้ามอบของสิ่งนี้ให้แก่เจ้า”

จู่ ๆ ลั่วชิงซานก็นึกถึงสิ่งหนึ่งขึ้นมาได้ เขาหยิบเอาบางอย่างที่มีลักษณะคล้ายกับเหรียญตราออกมาและส่งมันให้ฉินอวี้โม่

เหรียญนี้เป็นสิ่งที่ฮองเฮาเหวินหย่ามอบให้ลั่วซิงซานก่อนที่นางจะกลับไป ทว่าลั่วชิงซานเองก็ไม่ทราบเช่นกันว่าเหรียญนี้มีไว้สำหรับทำสิ่งใดหรือหมายความว่าอย่างไร อย่างไรก็ตามเนื่องจากองค์ฮองเฮาเป็นผู้มอบให้ด้วยตัวเองของสิ่งนี้ก็ย่อมต้องไม่ธรรมดาแน่

เมื่อได้เห็นเหรียญตรานี้ฉินอวี้โม่ก็คาดเดาเอาว่ามันอาจจะเป็นเครื่องรางคุ้มภัยหรือสิ่งอื่นที่ใกล้เคียง

หลังจากรับมันมาจากท่านเจ้าเมือง สาวนักฆ่าในร่างอดีตคุณหนูก็จ้องมองเหรียญในมือแล้วอมยิ้ม ฉินอวี้โม่อดคิดถึงองค์ฮองเฮาหรือนายหญิงเหวินหย่าที่นางเคยเรียกขานไม่ได้… สตรีงดงามผู้แสนอบอุ่นและอ่อนโยนผู้นั้น ช่างเป็นคนดีจริง ๆ

คุณหนูสี่ สตรีเปื้อนเลือด – ตอนที่ 44.2 แข่งกันอย่างยุติธรรม (2)

คุณหนูสี่ สตรีเปื้อนเลือด – ตอนที่ 44.2 แข่งกันอย่างยุติธรรม (2)

“เหอะ! ก่อนหน้านี้ทุกคนต่างก็เห็นว่าคุณชายลิ่วเยว่ไร้ยางอายเพียงใด ถ้าหากว่าคุณชายพ่ายแพ้ในวันพรุ่งนี้ แล้วจะเชื่อได้อย่างไรว่าท่านจะยอมมอบอสูรมายาให้จริง ๆ? ”

ลั่วอวิ๋นยิ้มและมองลิ่วเยว่ด้วยสีหน้าเย้ยหยัน

ก่อนที่หลี่เปียวและลิ่วเยว่จะเข้ามา ฉินอวี้โม่ได้นัดแนะกับลั่วอวิ๋นก่อนแล้ว ครั้งนี้เขาเพียงแค่เล่นไปตามบทที่นางเขียนเอาไว้เท่านั้น

…อดีตคุณหนูคนงามถือคติว่าทำอะไรก็ต้องให้ถึงที่สุด ละครฉากนี้ฉินอวี้โม่ขอร่วมเขียนบทด้วย…

“เหอะ! ในเมื่อทุกคนไม่เชื่อข้า งั้นข้าจะกรีดเลือดสาบาน แน่นอนว่าข้าหวังว่าแม่นางฉินเองก็จะกรีดเลือดสาบานเหมือนกันกับข้าด้วย”

ลิ่วเยว่กล่าวอย่างเย็นชา เขามั่นใจสิบเต็มสิบว่าตัวเองไม่มีทางแพ้ ด้วยเหตุนี้ทำให้เขากล้ากรีดเลือดสาบานโดยไม่ลังเล ในเมื่ออย่างไรก็ชนะอยู่แล้วกับเพียงแค่เอ่ยคำสาบานไม่กี่ประโยคทำไมเขาจะทำไม่ได้ นั่นไม่ต่างจากสาบานให้วันพรุ่งนี้พระอาทิตย์ขึ้นทิศตะวันออกเลยสักนิด !

“ในเมื่อคุณชายพูดถึงขนาดนั้น ข้าเองก็คงไม่กล้าปฏิเสธ ข้าหวังว่าหัวหน้าหลี่เปียวเองก็จะสาบานด้วย”

ฉินอวี้โม่พยักหน้าและหันไปมองหลี่เปียว

“แน่นอน ข้ายินดีให้สัตย์สาบาน”

หลังจากนั้น สมาชิกคณะละครอุปโลกน์ทั้งสามก็ให้คำสัตย์ปฏิญาณและกรีดเลือดสาบานกันอย่างจริงจัง

“งานอสูรล้อมเมืองในวันพรุ่งนี้ ข้าลิ่วเยว่จะแข่งขันกับแม่นางฉินอวี้โม่ ข้าขอสาบานว่าหากข้าพ่ายแพ้ ข้าจะมอบอสูรเทวะของข้าให้แม่นางฉินอวี้โม่ไป หากข้าทำผิดจากคำสาบานนี้ขอให้ตกนรกอเวจี! ”

เมื่อคำสาบานสิ้นสุดลง อักขระแห่งฟ้าดินก็ปรากฏขึ้นตรงหน้าผากของลิ่วเยว่ก่อนจะจางหายไปอย่างรวดเร็ว การสาบานของลิ่วเยว่เสร็จสิ้นลงอย่างสมบูรณ์แล้ว

หากผู้ฝึกพลังมายาให้คำสัตย์สาบานด้วยจิตใจที่แน่วแน่ก็จะถือเป็นการผูกมัดตัวเองไว้กับกฎแห่งฟ้าดิน หากผิดคำสาบานพวกเขาก็จะต้องถูกสวรรค์ลงทัณฑ์อย่างไม่อาจหลบเลี่ยง

หลี่เปียวเองก็กล่าวคำสาบานด้วยวิธีนี้เช่นกันก่อนที่เขาจะหันไปจ้องมองฉินอวี้โม่

ฉินอวี้โม่ยิ้มน้อย ๆ และกล่าว “ในวันอสูรล้อมเมืองวันพรุ่งนี้ คุณชายลิ่วเยว่กับข้าจะแข่งขันกัน ถ้าข้าฉินอวี้โม่เป็นฝ่ายพ่ายแพ้ ข้าจะยอมยกอสูรมายาของข้าให้ ถ้าหากข้าผิดคำพูดจากนี้ขอให้เผชิญกับหายนะ”

อักขระที่เป็นตัวแทนของกฎแห่งฟ้าดินก่อตัวขึ้นล้อมรอบกายของสตรีโฉมงาม นี่เป็นข้อพิสูจน์แล้วว่าคำสาบานของนางก็เสร็จสิ้นสมบูรณ์แล้วเช่นกัน

หลี่เปียวและลิ่วเยว่พยักหน้าอย่างพึงพอใจ

ลิ่วเยว่ยิ้มอย่างมีเลศนัยแล้วกล่าว

“ข้าจะรอให้ถึงวันพรุ่งนี้”

จนถึงตอนนี้ ลิ่วเยว่และหลี่เปียวยังไม่เคยกล่าวถึงเนื้อหาของการแข่งเลยแม้แต่ครั้งเดียว ในเรื่องนี้บุรุษใจทรามผู้คิดรังแกอิสตรีทั้งสองได้เตรียมการเอาไว้แล้ว… พวกเขาจะทำให้ฉินอวี้โม่ต้องประหลาดใจในวันพรุ่งนี้

ทว่ามุมปากของฉินอวี้โม่กลับยกขึ้นมาเป็นรอยยิ้ม นางไม่ได้กังวลเลยแม้แต่น้อย แผนการของพวกเขานางรู้เห็นอย่างชัดเจน ยิ่งกว่านั้น สองคนนั้นไม่ได้รับรู้ถึงช่องโหว่ในคำสาบานของนางเลยแม้แต่น้อย

ฉินอวี้โม่กล่าวว่าหากพ่ายแพ้ นางจะยอมมอบอสูรมายาให้ แต่นางไม่ได้เอ่ยออกมาแม้แต่ครึ่งคำว่าจะให้มันแก่ผู้ใด และต่อให้นางต้องพ่ายจริง ๆ นางก็เพียงแค่มอบมันให้เสี่ยวโร่วนั่นก็นับว่าไม่ผิดคำสาบาน

ขณะที่เสี่ยวจินตัวนิดและเสี่ยวเฮยตัวน้อยที่ล่วงรู้ถึงความคิดของผู้เป็นนายที่ได้ผูกพันธสัญญาไว้ต่างก็นอนหัวเราะกันตัวงออยู่บนไหล่ของนาง

‘สองคนนั้นกำลังวิ่งเล่นอยู่บนฝ่ามือของนายหญิง แต่กลับคิดว่าตัวเองถือไพ่เหนือกว่า พวกมันไม่รู้เลยว่าทุกอย่างถูกควบคุมไว้หมดแล้ว ช่างโง่งมเสียจริง’ นี่คือสิ่งที่อสูรมายาทั้งสองกำลังคิด

“แม่นางอวี้โม่ เจ้าแน่ใจไหมว่าจะชนะ? ”

ถึงแม้เขาจะเป็นผู้สมรู้ร่วมคิดและให้ความร่วมมือกับฉินอวี้โม่เล่นไปตามบทที่นางบอกไว้ แต่ลิ่วเยว่กับหลี่เปียวก็มีท่าทางมากเล่ห์ไม่น่าไว้ใจ อย่างไรลั่วอวิ๋นก็อดเป็นกังวลแทนสหายผู้นี้ไม่ได้

ลิ่วเยว่คือหนึ่งในอัจฉริยะแห่งอาราม แน่นอนว่าฝีมือของเขาต้องไม่ธรรมดา

หากประเมินตามข้อมูลที่เขารู้และไม่มีปาฏิหาริย์หรือสิ่งไม่คาดฝันเกิดขึ้น… ผู้ที่น่าจะเป็นฝ่ายที่พ่ายแพ้ก็คือฉินอวี้โม่

“ไม่ต้องห่วง ข้าไม่แพ้แน่”

เมื่อได้ยินวาจาห่วงใยและมองเห็นสายตาเป็นกังวลของลั่วอวิ๋น ฉินอวี้โม่ก็ส่งยิ้มให้และตอบกลับอย่างมั่นใจ

หากพวกเขาต้องการจะสู้กับนาง พวกเขาเองก็ต้องเตรียมตัวพบเจอกับความพ่ายแพ้เอาไว้ได้เลย!

ท่าทางมั่นอกมั่นใจของฉินอวี้โม่ทำให้ลั่วอวิ๋นที่กำลังจะกล่าวทัดทานได้แต่กลืนคำพูดนั้นลงคอไป

แม้ว่าเขาจะยังรู้จักฉินอวี้โม่ได้ไม่นานนัก ทว่าเขาก็ทราบดีว่านางไม่ใช่สตรีที่ชอบอวดอ้างตนเอง หากว่านางมั่นใจก็แสดงว่านางต้องมีแผนรับมือเตรียมไว้แล้ว

สิ่งที่เขาต้องทำก็เพียงแค่ต้องสนับสนุนนางอย่างเต็มที่ และรอดูการแสดงดีๆ อีกครั้งในวันพรุ่งนี้เท่านั้น

เมื่อเห็นท่าทางที่มั่นใจนั้นชื่อเซียวเองก็พยักหน้า โฉมงามของเขา–ฉินอวี้โม่ผู้นี้ทำให้เขาประหลาดใจได้อีกครั้งหนึ่งแล้ว

“ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น กลุ่มทหารรับจ้างชื่อเหยียนของพวกเราก็จะสนับสนุนเจ้า ไม่ว่าการแข่งขันในวันพรุ่งนี้จะเป็นยังไง พวกเราก็จะอยู่เคียงข้างเจ้า”

ชื่อเซียวเดินมาหาฉินอวี้โม่ด้วยรอยยิ้ม น้ำเสียงของเขาหนักแน่นและแน่วแน่

“ใช่แล้ว กลุ่มทหารรับจ้างชื่อเหยียนจะสนับสนุนแม่นางฉินอวี้โม่”

สมาชิกของกลุ่มทหารรับจ้างชื่อเหยียนต่างก็ยืนขึ้นกล่าว พวกเขายินดีจะทำตามการตัดสินใจของชื่อเซียว

ฉินอวี้โม่กวาดสายตามองดูเหล่าสหายส่งมอบไมตรีให้นางอย่างจริงใจ ทุกคำที่พวกเขาเอ่ยทำให้นางอดยิ้มไม่ได้

“แม่นางอวี้โม่ ข้าชื่นชมเจ้าจริง ๆ เจ้ากล้ารับคำท้าของคนจากอาราม เจ้าไม่เกรงกลัวพลังอำนาจของพวกเขาเลยรึ? ”

เมื่อทุกคนออกไปหมดแล้ว ก็เหลือเพียงฉินอวี้โม่และเสี่ยวโร่วเท่านั้นที่ยังอยู่ภายในสถานที่จัดเลี้ยงแห่งนี้

ลั่วชิงซานมองฉินอวี้โม่ด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความชื่นชม

…ด้วยสายตาแห่งผู้ครองเมืองเยว่กวางแห่งนี้ เขาทำนายว่าสักวันหนึ่งสตรีผู้นี้จะกลายเป็นผู้ยิ่งใหญ่แห่งดินแดนนี้ได้อย่างแน่นอน…

เหตุผลที่นางยังคงรั้งรออยู่หลังจากงานเลี้ยงจบลงก็เป็นเพราะอดีตคุณหนูต้องการจะกล่าวขออภัยท่านเจ้าเมืองสำหรับเรื่องวุ่นวายที่เกิดขึ้นในวันนี้เสียก่อน แม้ว่าจะไม่ได้เป็นผู้เริ่มต้นแต่อย่างไรเสียนางก็มีส่วนร่วมไม่น้อย

“วันนี้ข้าต้องขออภัยท่านเจ้าเมืองด้วยที่ทำให้บรรยากาศภายในงานเลี้ยงดูอึดอัด เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับว่าเกรงกลัวหรือไม่ เพียงแต่ข้าไม่อาจจะอดกลั้นได้เมื่อเจอกับคนประเภทเดียวกับลิ่วเยว่ผู้นั้น เพราะมันไม่ใช่นิสัยของข้า ที่สำคัญยิ่งเราหวาดกลัวพวกเขามากเท่าไหร่ คนพวกนั้นก็จะยิ่งได้ใจแล้วใช้ประโยชน์จากความหวาดกลัวของเรา ฉะนั้นข้าคิดว่าหากไม่มีเหตุผลใดให้กลัวก็ไม่จำเป็นต้องกลัว หลักการของข้านั้นง่ายมาก หากใครต้องการฆ่าข้า คนผู้นั้นก็ต้องเตรียมจ่ายด้วยชีวิตเช่นกัน”

ฉินอวี้โม่ยิ้ม เธอเองก็ไม่อยากจะยั่วยุขุมกำลังที่มีอำนาจล้นฟ้าแบบนั้น แต่ไม่ว่าอย่างไร การยอมถอยเพียงฝ่ายเดียวหรือยอมให้ผู้อื่นกดหัวก็ไม่ใช่นิสัยของเธอ… วิธีแก้ปัญหาที่ดีที่สุดที่เธอรู้จักมาทั้งชีวิตก็คือฆ่าอีกฝ่ายทิ้ง!

ยิ่งกว่านั้นขุมกำลังใหญ่โตที่ทรงอิทธิพลมากมายอย่างอารามก็คงไม่ให้ความสนใจกับสตรีตัวคนเดียวอย่างนางมากนัก

แน่นอนว่าลั่วชิงซานไม่รู้ถึงความคิดทั้งหมดของฉินอวี้โม่ แต่เมื่อได้ฟังคำพูดของสาวน้อย เขาก็พยักหน้าอย่างเห็นด้วย

“แม่นาง ข้าเกือบจะลืมไป ก่อนที่จะเสด็จกลับ องค์ฮองเฮาได้ขอให้ข้ามอบของสิ่งนี้ให้แก่เจ้า”

จู่ ๆ ลั่วชิงซานก็นึกถึงสิ่งหนึ่งขึ้นมาได้ เขาหยิบเอาบางอย่างที่มีลักษณะคล้ายกับเหรียญตราออกมาและส่งมันให้ฉินอวี้โม่

เหรียญนี้เป็นสิ่งที่ฮองเฮาเหวินหย่ามอบให้ลั่วซิงซานก่อนที่นางจะกลับไป ทว่าลั่วชิงซานเองก็ไม่ทราบเช่นกันว่าเหรียญนี้มีไว้สำหรับทำสิ่งใดหรือหมายความว่าอย่างไร อย่างไรก็ตามเนื่องจากองค์ฮองเฮาเป็นผู้มอบให้ด้วยตัวเองของสิ่งนี้ก็ย่อมต้องไม่ธรรมดาแน่

เมื่อได้เห็นเหรียญตรานี้ฉินอวี้โม่ก็คาดเดาเอาว่ามันอาจจะเป็นเครื่องรางคุ้มภัยหรือสิ่งอื่นที่ใกล้เคียง

หลังจากรับมันมาจากท่านเจ้าเมือง สาวนักฆ่าในร่างอดีตคุณหนูก็จ้องมองเหรียญในมือแล้วอมยิ้ม ฉินอวี้โม่อดคิดถึงองค์ฮองเฮาหรือนายหญิงเหวินหย่าที่นางเคยเรียกขานไม่ได้… สตรีงดงามผู้แสนอบอุ่นและอ่อนโยนผู้นั้น ช่างเป็นคนดีจริง ๆ

Options

not work with dark mode
Reset