‘ทักษะสาปวิญญาณ’ คือทักษะวิชาต้องห้ามที่หายสาบสูญไปจากดินแดนเทพมายามาเป็นเวลานาน เช่นเดียวกับทักษะหุ่นเชิด มันเป็นศาสตร์ต้องห้ามที่หลายคนหวาดหวั่นและมันก็มีความเกี่ยวข้องกับฝ่ายมารเช่นกัน
กล่าวได้ว่าทักษะสาปวิญญาณเป็นทักษะวิชาที่สามารถควบคุมจิตใต้สำนึกของเป้าหมายได้ มันเป็นการร่ายคำสาปลงในจิตวิญญาณของคนผู้นั้นและทำให้ตกอยู่ในสภาวะกึ่งเป็นกึ่งตาย หากไม่สามารถรักษาสภาวะดังกล่าวได้ในเวลาที่กำหนด ผู้ที่ถูกครอบงำโดยทักษะสาปวิญญาณจะต้องเสียชีวิตอย่างมิอาจหลีกเลี่ยง
“เป็นจริงดังที่คิดไว้ พี่ชายของท่านมีส่วนเกี่ยวข้องกับฝ่ายมารจริง ๆ เหตุการณ์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นกับชนเผ่าเอล์ฟในช่วงที่ผ่านมานี้จะต้องมีส่วนมาจากพวกขุมกำลังมารร้ายอย่างแน่นอน”
แม้พอจะคาดเดาเกี่ยวกับเรื่องนี้มาก่อนแล้ว ทว่าเขาก็ไม่เคยมีหลักฐานที่ชัดเจน ตอนนี้การที่ได้ทราบความจริงก็ทำให้หลัวหมิงฮ่าวประหลาดใจไม่น้อย เขาไม่อยากเชื่อเลยว่าพี่ใหญ่จะติดต่อกับฝ่ายมารมาเนิ่นนานและวางแผนกระทำสิ่งชั่วร้ายหลายอย่างในชนเผ่าเอลฟ์
เมื่อได้ยินเช่นนี้ ใบหน้าของหลัวหมิงซีก็บิดเบี้ยวมากขึ้นเรื่อย ๆ เขาไม่เคยทราบมาก่อนว่าพี่ชายของตนเข้าร่วมกับฝ่ายมาร หากทราบมาก่อน เขาไม่มีทางเข้าร่วมในแผนการและลงเรือลำเดียวกับอีกฝ่ายอย่างแน่นอน
“พี่สี่ ทีนี้ท่านก็ทราบแล้วว่าเรื่องนี้ร้ายแรงเพียงใด ไม่ว่าพี่ใหญ่จะได้เป็นราชาเอลฟ์หรือไม่ มันก็มิใช่เรื่องสำคัญอีกต่อไป ตอนนี้เราต้องสู้เพื่อชนเผ่าเอลฟ์ ในเวลานี้ต้นเอลฟ์ศักดิ์สิทธิ์ก็กำลังเหี่ยวเฉาลงเรื่อย ๆ หากหาทางแก้ปัญหาไม่ได้ ครานี้ชนเผ่าเอลฟ์ของเราจะกลายเป็นชนเผ่าแรกที่ล่มสลายไปจริง ๆ และหากเป็นเช่นนั้นจริง เราจะอธิบายกับประชากรชาวเอลฟ์อย่างไร เราจะมีหน้าไปพบกับบรรพบุรุษรุ่นก่อน ๆ ได้อย่างไร !”
หลัวหมิงฮ่าวกล่าวด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึมและตระหนักถึงความวิกฤตของสถานการณ์นี้ ต้นเอลฟ์ศักดิ์สิทธิ์เป็นศูนย์รวมความเชื่อของชาวเอลฟ์มาโดยตลอด หากปล่อยให้มันเหี่ยวเฉาต่อไป มันจะส่งผลเสียต่อชนเผ่าเอลฟ์อย่างแน่นอน เมื่อถึงเวลานั้น ฝ่ายมารก็อาจจะถือโอกาสนี้ในการโจมตีและทุกอย่างจะสายเกินแก้
“น้องห้า เราจะทำอย่างไรกันดี ?”
เวลานี้หลัวหมิงซีลบล้างความบาดหมางทั้งหมดที่เคยมีอยู่ในใจไปจนหมดสิ้น ต่อให้เขายังช่วยราชินีเอลฟ์ไม่ได้ในตอนนี้ เขาก็ไม่ยอมให้ผู้ใดบุกรุกเข้ามาและทำลายชนเผ่าของตนอย่างแน่นอน เขาเป็นถึงองค์ชายและเป็นความภาคภูมิใจของชาวเอลฟ์ ไม่ว่าจะประจันหน้ากับศัตรูที่แปลกประหลาดหรือทรงพลังเพียงใด พวกเขาก็ไม่มีทางยอมถอย !
กิริยาท่าทางเช่นนี้ของหลัวหมิงซีทำให้ฉินอวี้โม่มองเขาด้วยแววตาชื่นชมขึ้นเล็กน้อย เดิมทีนางคิดว่าองค์ชายสี่ผู้นี้เป็นได้เพียงผู้ที่รักอิสระและมักมากในกามเท่านั้น ไม่คิดเลยว่าเขาจะมีความอาจหาญที่มากพอสมควร เพราะเหตุนั้น การปล่อยให้เขามีชีวิตต่อไปก็ถือเป็นการตัดสินใจที่ดีแล้ว
“เหตุใดเราไม่บอกเรื่องนี้กับพี่รอง พี่สามและน้องเล็กล่ะ ? แม้ที่ผ่านมานี้พวกเขาจะแก่งแย่งชิงตำแหน่งผู้ปกครองของชนเผ่าเอลฟ์มาโดยตลอด ทว่าเมื่อเกิดวิกฤตเช่นนี้ พวกเขาก็น่าจะร่วมมือกันเป็นการชั่วคราวและต่อสู้ขับไล่ศัตรูไปด้วยกันได้ !”
เมื่อนึกถึงวิธีการแก้ไขปัญหา หลัวหมิงซีก็กล่าวแสดงความคิดเห็นของเขาออกไป หากสามารถร่วมมือรวมพลังกับพี่น้องคนอื่น ๆ ได้ ฝ่ายของพวกเขาก็ยังมีความได้เปรียบเหนือกว่า
“ไม่ ไม่มีประโยชน์ ตอนนี้เรายังไม่มีหลักฐานที่ชัดเจนและท่านก็น่าจะทราบดีว่าลักษณะนิสัยของพี่น้องคนอื่น ๆ เป็นอย่างไร พวกเขาคงไม่เชื่อวาจาของเราง่าย ๆ และไม่ยอมร่วมมืออะไรแน่”
หลัวหมิงฮ่าวกล่าวพร้อมส่ายศีรษะเบา ๆ อย่างไม่เห็นด้วยกับข้อเสนอของหลัวหมิงซี
ก่อนหน้านี้เขาเคยเดินทางไปที่อาณาเขตของพี่ชายทั้งสองและน้องเล็กมาแล้ว แม้พวกเขาจะมีข้อสงสัยเกี่ยวกับอาการที่ไม่ทราบสาเหตุของมารดา ทว่าพวกเขาก็ให้ความสนใจกับการชิงตำแหน่งผู้ปกครองของชนเผ่าเอลฟ์เท่านั้น เขาเชื่อว่าต่อให้พยายามโน้มน้าวใจอย่างไรก็คงจะไม่มีประโยชน์
“ถ้าเช่นนั้นเราจะทำอย่างไร ? ข้าไม่สามารถทนมองดูแผนการของหลัวหมิงรุ่ยที่ดำเนินต่อไปเช่นนี้โดยที่ไม่ทำอะไรสักอย่าง !”
หลัวหมิงซีมีสีหน้ากังวลและกระสับกระส่ายอย่างชัดเจน ถึงอย่างไรแล้วสิ่งเดียวที่เขามีในตอนนี้ก็คือสถานะองค์ชาย เมื่อใดที่เขาสูญเสียสถานะนี้และชนเผ่าเอลฟ์ล่มสลายไป เขาก็จะไม่เหลือสิ่งใดอีก
เขาไม่สนใจตำแหน่งราชาเอลฟ์เช่นพี่น้องคนอื่น ๆ ตราบใดที่ได้มีชีวิตต่อไปอย่างสุขสบายและมีสตรีงามข้างกาย นั่นก็เป็นความสุขสูงสุดสำหรับเขาแล้ว
“ฮ่า ๆ ๆ แน่นอนว่าเราเตรียมความพร้อมไว้แล้ว”
หลัวหมิงฮ่าวหัวเราะเบา ๆ ขณะสายตามองไปที่ฉินอวี้โม่และหานโม่ฉือ เพียงได้เห็นสีหน้าเรียบเฉยและไม่กังวลของคนทั้งสอง เขาก็คาดเดาได้ทันทีว่าทั้งสองจะต้องมีวิธีการตอบโต้เตรียมไว้แล้ว
“เรามุ่งหน้าไปที่เผ่าของท่านลุงของท่านกันก่อนเถอะ สำหรับแผนการที่เตรียมไว้ เราจะดำเนินการขั้นต่อไปได้ก็ต่อเมื่อได้รับการสนับสนุนจากเขาก่อน”
ในชนเผ่าเอลฟ์มีเผ่าลึกลับซึ่งเป็นเผ่าในการปกครองของท่านลุงของหลัวหมิงฮ่าว ฉินอวี้โม่สันนิษฐานว่าบุคคลที่ติดต่อกับหลัวหมิงรุ่ยก็น่าจะแฝงตัวอยู่ในเผ่าลึกลับนั้น นางเชื่อว่าบุคคลลึกลับสวมเสื้อคลุมสีดำที่ปรากฏให้เห็นหน้าทางเข้าของชนเผ่าเอลฟ์ก่อนหน้านี้ก็เกี่ยวข้องกับเผ่าลึกลับนั่น เพราะเหตุนั้น หากต้องการไขปริศนา พวกนางจะต้องเริ่มจากการมุ่งหน้าไปที่เผ่าลึกลับแห่งนั้นโดยเร็วที่สุด
“หลัวหมิงซี ข้าจะให้โอกาสเจ้าได้ชดใช้กับความผิดทั้งหมดก่อนหน้านี้ หากเจ้าทำสำเร็จ ข้าจะช่วยขจัดพิษในร่างกายของเจ้า และเจ้าจะได้มีชีวิตตามที่ต้องการต่อไป”
ด้วยรอยยิ้มบาง ๆ ฉินอวี้โม่ก็คิดแผนการใหม่ขึ้นมาอย่างรวดเร็ว หลัวหมิงซีเป็นน้องชายแท้ ๆ ของหลัวหมิงรุ่ยและถือว่าเป็นหมากตัวสำคัญ ตราบใดที่ใช้มันอย่างชาญฉลาด หมากตัวนี้ก็อาจเป็นตัวช่วยที่ดีสำหรับพวกนาง
“กล่าวมาเถอะ ตราบใดที่ข้าทำได้ ข้าจะทำอย่างดีที่สุด”
หลัวหมิงซีพยักหน้าหงึกหงักและกล่าวตอบทันที เวลานี้เขายุติความขุ่นเคืองใจทั้งหมดที่มีต่อฉินอวี้โม่แล้ว ความหวังในการช่วยชนเผ่าเอลฟ์อยู่ในมือของฉินอวี้โม่และหานโม่ฉือ แน่นอนว่าเขาไม่ต้องการทำสิ่งใดที่จะส่งผลร้ายต่อสิ่งนั้น
“กลับไปหาหลัวหมิงรุ่ยและจับตาดูความเคลื่อนไหวของเขา หากมีความเปลี่ยนแปลงใดจงหาทางติดต่อกับพวกเรา”
ฉินอวี้โม่ยิ้มบางและออกคำสั่งโดยตรง
หลัวหมิงฮ่าวและหลัวหมิงซีชะงักไปเล็กน้อยด้วยความไม่เข้าใจ
“ข้าถูกน้องห้าและพวกเจ้าจับตัวไว้นานหลายวัน พี่ใหญ่น่าจะสงสัยในตัวข้าแล้วแน่ ต่อให้ข้ากลับไป เขาก็อาจจะไม่ฟังคำพูดใดของข้าด้วยซ้ำก่อนที่จะสังหารข้าไปโดยตรง”
หลังจากกล่าวออกไปตรง ๆ สีหน้าของหลัวหมิงซีก็เผยความกังวลอย่างเห็นได้ชัด
“ฮ่า ๆ ๆ ไม่ต้องห่วง ในเมื่อพวกเราอนุญาตให้เจ้ากลับไป แน่นอนว่าพวกเรามีวิธีทำให้เจ้าไม่เป็นที่สงสัย ตราบใดที่เจ้าให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี เขาก็จะเชื่อในตัวเจ้าเช่นเดิม ในทางกลับกัน สำหรับนักฆ่าที่ถูกส่งมาเพื่อฆ่าเจ้า เขาก็จะถูกกำจัดไปและไม่สามารถช่วยพี่ใหญ่ของเจ้าได้อีก”
ฉินอวี้โม่ยิ้มและแววตาเผยความเจ้าเล่ห์ออกมา หลัวหมิงรุ่ยยังอ่อนหัดเกินกว่าจะเทียบชั้นกับนาง ฉินอวี้โม่เคยพานพบกับเหตุการณ์เช่นนี้มาแล้วมากมาย นางจึงมั่นใจว่าจะสามารถรับมือกับมันได้ไม่ยาก
เมื่อเห็นสีหน้าความมั่นใจของฉินอวี้โม่ หลัวหมิงซีและหลัวหมิงฮ่าวก็มองหน้ากันก่อนพยักศีรษะอย่างเข้าใจ
หลังจากนั้นเพียงไม่นาน แม้หลัวหมิงซีจะหวาดกลัวและกังวล เขาก็ออกจากเผ่าอู๋เหวยและมุ่งหน้ากลับเมืองราชวงศ์อย่างรวดเร็ว
…
ภายในเมืองราชวงศ์เอลฟ์ หลัวหมิงรุ่ยก็กำลังเฝ้ารอข่าวความคืบหน้าจากนักฆ่าที่ส่งไปสังหารน้องชาย หากกำจัดหลัวหมิงซีไม่สำเร็จ สิ่งนี้จะนำพาหายนะมาสู่แผนการของเขาเป็นแน่
ตุบ !
เสียงร่างล้มลงพื้นดังขึ้นขณะหลัวหมิงซีปรากฏตัวหน้าห้องโถงด้วยสภาพที่น่าสังเวช
“ท่านพี่ ช่วยข้าด้วย…”
ด้วยเสียงตะโกนเพียงสั้น ๆ ทว่าดังฟังชัด หลัวหมิงรุ่ยซึ่งอยู่ในห้องโถงก็ได้ยินมันอย่างชัดเจน
“น้องสี่ ! เกิดอะไรขึ้นกับเจ้า ?!”
เมื่อเห็นหลัวหมิงซีกลับมาในภาพที่ไม่น่าดูนัก แววตาของหลัวหมิงรุ่ยก็ฉายแววความคลุมเครือทันที เขาปรี่เข้าไปช่วยพยุงร่างน้องชายเดินเข้ามาในห้องโถงทันทีทว่าเขาก็แอบเตรียมกริชแหลมคมไว้เช่นกัน
“ท่านพี่ ขอบคุณที่ท่านส่งคนไปช่วยข้า หากท่านไม่ส่งใครไปละก็ ข้าคงต้องตายอยู่ที่นั่นแน่”
หลัวหมิงซีมิได้ทราบถึงการกระทำของหลัวหมิงรุ่ยขณะเสแสร้งแสดงท่าทีซาบซึ้งใจ แน่นอนว่านี่เป็นส่วนหนึ่งของแผนการที่ฉินอวี้โม่วางไว้เพื่อทำให้หลัวหมิงรุ่ยคล้อยตาม
คำพูดของหลัวหมิงซีทำให้การเคลื่อนไหวของหลัวหมิงรุ่ยหยุดชะงักชั่วคราวและค่อย ๆ เก็บกริชเล่มนั้นอย่างเงียบ ๆ
“น้องสี่ เกิดอะไรขึ้น ?”
หลังจากพยุงหลัวหมิงซีนั่งลงที่เก้าอี้ตัวหนึ่ง หลัวหมิงรุ่ยก็เอ่ยถามด้วยแววตากังวล
“วันนั้นข้าไปที่เผ่าอู๋เหวยและบังเอิญได้ยินความลับของน้องห้ามา ข้าต้องการกลับมาที่นี่เพื่อรายงานพี่ใหญ่ในทันทีทว่าพวกเขาพบตัวข้าและจับตัวข้าขังไว้ น้องห้าก็ร่วมมือกับจอมยุทธ์ลึกลับสองคนที่เหมือนจะมิใช่สมาชิกของชนเผ่าเอลฟ์และทรมานข้าอย่างโหดร้ายเพื่อให้ข้าสารภาพความจริง พวกเขาต้องการให้ข้าบอกเกี่ยวกับแผนการของพี่ใหญ่ แน่นอนว่าท่านพี่ดีกับข้ามาตลอดและข้าไม่มีทางทรยศหรือทำลายแผนการของท่านได้ ข้ายอมตายดีกว่าต้องเปิดเผยสิ่งใดต่อพวกเขา หลังจากนั้น เมื่อพี่ใหญ่ส่งองครักษ์ผู้ทรงพลังที่สุดไปช่วยข้า เขาก็ช่วยข้าไว้ได้ทันทว่าถูกคนพวกนั้นจับตัวไว้ ตอนนี้ข้าก็ไม่รู้เลยว่าเขาหนีรอดไปได้หรือไม่”
เขากล่าวพลางแสร้งแสดงสีหน้าท่าทางกังวล ต้องกล่าวเลยว่าฝีมือการแสดงของหลัวหมิงซียอดเยี่ยมมากทีเดียว
หลังจากฟังวาจาของหลัวหมิงซี แววตาของหลัวหมิงรุ่ยก็ดูหม่นลงเล็กน้อย เห็นได้ชัดว่าเขาส่งคนไปสังหารหลัวหมิงซี แล้วเหตุใดคนผู้นั้นจึงได้ขัดคำสั่งและช่วยน้องชายตัวดีคนนี้ไว้ ?
เขามิได้คิดสงสัยในวาจาของหลัวหมิงซี ถึงอย่างไรเขาก็ตรวจสอบแล้วพบว่าอาการบาดเจ็บทั้งหมดของหลัวหมิงซีเป็นของจริง ยิ่งไปกว่านั้น การที่หลัวหมิงซีกล่าวว่าบุคคลลึกลับทั้งสองคนมิใช่คนของชนเผ่าเอลฟ์ก็บ่งบอกว่าเขาน่าจะปกป้องผลประโยชน์ของชนเผ่าและไม่เปิดเผยข้อมูลใดออกไป อีกทั้งหลัวหมิงซีก็ยังกล่าวอีกว่าเขาทราบ ‘ความลับ’ บางอย่างของหลัวหมิงฮ่าว เพราะเหตุนั้น หลัวหมิงรุ่ยจึงไม่อาจสังหารเขาได้และรอฟังความลับดังกล่าวก่อน
หลังจากไตร่ตรองครู่หนึ่ง เขาก็ตัดสินใจที่จะไว้ชีวิตหลัวหมิงซีและปฏิบัติต่อเขาเช่นเดิม อย่างไรก็ตาม เขายังไม่ปักใจเชื่อวาจาของน้องชายเต็มร้อยและตั้งใจจะส่งคนไปตรวจสอบให้แน่ใจว่าหลัวหมิงซีเปิดเผยสิ่งใดต่อหลัวหมิงฮ่าวหรือไม่
“น้องสี่ น้องห้ามีความลับอะไรอย่างนั้นหรือ ? มันเกี่ยวข้องกับตำแหน่งราชาเอลฟ์หรือไม่ ?”
หลัวหมิงรุ่ยมองน้องชายและแสร้งแสดงสีหน้าเป็นกังวล
“พี่ใหญ่ ท่านไม่คิดแน่ว่าน้องห้ามีแผนที่จะ…เขามีแผนที่จะ…”
ก่อนที่จะกล่าวจบประโยค หลัวหมิงซีก็เหลือกตามองบนและหมดสติไป
เมื่อหลัวหมิงซีหมดสติไปอย่างกะทันหัน สีหน้าของหลัวหมิงรุ่ยก็เปลี่ยนไปทันที เขามองน้องชายอย่างพินิจพิจารณาเพื่อยืนยันว่าเขาหมดสติจริงก่อนสั่งคนพาเขาไปพักในอีกห้องหนึ่ง ถึงอย่างไรหลัวหมิงซีก็เป็นเพียงบุคคลไร้น้ำยาคนหนึ่งและเขาไม่ใส่ใจเท่าใดนัก ต่อให้เขามีชีวิตหรือไม่มีก็มิใช่เรื่องสำคัญสำหรับหลัวหมิงรุ่ย
นักฆ่าที่หลัวหมิงรุ่ยส่งไปต่างหากที่ไม่ควรมีชีวิตอยู่อีกต่อไป คนผู้นั้นริอาจขัดคำสั่งของเขาและยังถูกจับตัวไว้ในเผ่าอู๋เหวย เพราะเหตุนั้นจึงยากที่จะรับประกันได้ว่าเขาจะไม่กล่าวสิ่งใดที่อาจเป็นภัยต่อแผนการของหลัวหมิงรุ่ย
หลัวหมิงรุ่ยตัดสินใจส่งคนไปที่เผ่าอู๋เหวยเพื่อสืบหาเบาะแสต่อไปทันที
ภายในเผ่าอู๋เหวย เวลานี้ฉินอวี้โม่และคนอื่น ๆ ก็หยุดพักเรื่องเหล่านั้นชั่วคราวและไม่สนใจนักฆ่าที่ถูกขังไว้ในข่ายอาคมแม้แต่น้อย ทั้งสามไม่รอช้าและมุ่งหน้าตรงไปยังเผ่าลึกลับของชนเผ่าเอลฟ์
.