สำหรับการดึงความทรงจำบางส่วนของมนุษย์ หานโม่ฉือเคยทราบเกี่ยวกับมันโดยบังเอิญในระหว่างฝึกพลังโกลาหลก่อนหน้านี้
กล่าวกันว่ามีศาสตร์ที่ชั่วร้ายซึ่งสามารถควบคุมจิตใต้สำนึกของผู้คนได้เป็นการชั่วคราว โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อจิตของผู้นั้นอ่อนแอที่สุดหรือเมื่อได้รับบาดเจ็บสาหัส ทักษะวิชาดังกล่าวก็จะมีอัตราการประสบความสำเร็จอยู่ในระดับที่สูงมาก
และด้วยการใช้วิชานี้ ผู้ที่ใช้มันจะสามารถดึงเอาความทรงจำที่สำคัญที่สุดส่วนหนึ่งจากจิตของเป้าหมายได้ เพียงแต่ผู้คนในดินแดนนี้ไม่เคยได้ยินเกี่ยวกับมันมาก่อนและไม่มีผู้ใดฝึกฝนมัน เพราะเหตุนั้น หานโม่ฉือจึงไม่ทราบว่ามันมีอยู่จริงหรือไม่
อย่างไรก็ตาม เมื่อทราบสถานการณ์ของหลัวจื้อเลี่ย เขาก็คิดว่ามันมีความเป็นไปได้สูง
หลัวจื้อเลี่ยกล่าวว่าเขาเคยได้รับบาดเจ็บสาหัสครั้งหนึ่งซึ่งครานั้นสมองของเขาก็ได้รับการกระทบกระเทือนเช่นกัน หากคนใกล้ตัวของเขาใช้ทักษะชั่วร้ายนั้น มันก็มีความเป็นไปได้สูงที่จะช่วงชิงความทรงจำบางส่วนของเขาในระหว่างที่หลัวจื้อเลี่ยไม่ได้สติ
หากเป็นเช่นนั้นจริง การที่หลัวจื้อเลี่ยจดจำสั่วซีหย่าและมารดาไม่ได้ก็ถือเป็นเรื่องที่ปกติ ถึงอย่างไรเขาก็ไม่มีความทรงจำในช่วงนั้นหลงเหลืออยู่ราวกับจิ๊กซอว์ชิ้นหนึ่งที่ขาดหายไปจากห้วงความทรงจำซึ่งทำให้ภาพทั้งหมดไม่สมบูรณ์
และการที่พลังความแข็งแกร่งของเขาไม่สามารถฟื้นฟูถึงระดับสูงสุดอย่างที่เคยเป็นก็อาจมิใช่เพราะอาการทางกายภาพ หากแต่เป็นเพราะการสูญเสียความทรงจำส่วนนั้นไป หากเขานำห้วงจิตที่ขาดหายไปกลับคืนมาได้ ไม่เพียงแต่หลัวจื้อเลี่ยจะฟื้นฟูความทรงจำได้เท่านั้น ทว่าความแข็งแกร่งของเขาก็น่าจะฟื้นฟูกลับถึงจุดสูงสุดเช่นกัน
“หากเป็นไปตามความคิดของโม่ฉือ จากนั้นตู้ซีรั่วก็คงจะแอบซ่อนความทรงจำส่วนนั้นของหลัวจื้อเลี่ยไว้ หากนางเป็นคนที่เรากำลังตามหาอยู่จริง ๆ”
ฉินอวี้โม่พยักศีรษะและเชื่อในความเป็นไปได้นี้เช่นกัน หากคนผู้นั้นใช่ตู้ซีรั่วจริง ความทรงจำช่วงที่หายไปของหลัวจื้อเลี่ยก็น่าจะถูกซ่อนไว้โดยตู้ซีรั่ว
“หากต้องการเก็บความทรงจำส่วนหนึ่งไว้ ผู้ที่ทำเช่นนั้นต้องมีอุปกรณ์วิญญาณที่ทรงพลังอย่างมาก หากมีโอกาส เราต้องลองสืบหาดูว่ามีสิ่งใดที่ตู้ซีรั่วหวงแหนและมักเก็บติดตัวไว้ตลอดหรือไม่”
หานโม่ฉือกล่าวเสริมและบอกทุกคนในสิ่งที่ทราบ หากมิใช่เพราะเบาะแสเรื่องความทรงจำที่หายไป เกรงว่าคงยากที่พวกเขาจะไขปริศนาความไม่ชอบมาพากลนี้ได้ ต่อให้หลัวจื้อเลี่ยเชื่อในเรื่องราวที่พวกเขาบอกกล่าว มันก็จะยังเป็นปัญหาอยู่ไม่น้อย
ฉินอวี้โม่และทุกคนตัดสินใจทันทีที่หาโอกาสไปเยี่ยมเยือนหลัวจื้อเลี่ยเพื่อสอบถามข้อมูลเพิ่มเติม
หลังจากหลายวันผ่านไปอย่างสงบสุข วันหนึ่งตู้ซีรั่วและหลัวจื้อเลี่ยก็มาที่บ้านพักของฉินอวี้โม่และทุกคน
“ฮ่า ๆ ๆ อวี้โม่ สั่วซีหย่า ร้านเสื้อผ้าในเมืองเรามีชุดอาภรณ์ใหม่มากมาย ข้าคิดว่าอาภรณ์ของพวกเจ้าดูธรรมดาเกินไป สตรีอย่างเราย่อมเหมาะกับของสวย ๆ งาม ๆ เช่นนั้นข้าจึงอยากชวนพวกเจ้าออกไปและช่วยเลือกเสื้อผ้าชุดใหม่ให้ เจ้าทั้งสองมีเวลาว่างรึไม่ ?”
ตู้ซีรั่วก้าวออกมาข้างหน้าก่อนจับมือฉินอวี้โม่และสั่วซีหย่าไว้ทันที นางไม่มีท่าทีรังเกียจหรือแบ่งชนชั้นเพียงเพราะทั้งสองเป็นมนุษย์และลูกครึ่งเอลฟ์แต่อย่างใด อีกทั้งยังมีสีหน้ายิ้มแย้มดูเป็นมิตรยิ่งนัก
“ฮ่า ๆ ๆ ไปสิ พวกเจ้าไปกับซีรั่วเถอะ โม่ฉือและเสี่ยวฮ่าวจะอยู่เล่นหมากรุกกับข้าที่จวน”
หลัวจื้อเลี่ยกล่าวสนับสนุนพร้อมพยักศีรษะเบา ๆ ให้กับฉินอวี้โม่
“เจ้าค่ะ พวกเราก็ไม่มีอะไรทำอยู่พอดี วันนี้ข้าและสั่วซีหย่าคงต้องขอรบกวนท่านหญิงสักหน่อย”
ฉินอวี้โม่ยิ้มตอบอย่างยินดี ส่วนสั่วซีหย่าก็เชื่อฟังคำพูดของฉินอวี้โม่มาเสมอ แน่นอนว่านางก็มิได้ปฏิเสธแต่อย่างใด
หลังจากจัดแต่งเผ้าผมเล็กน้อย ทั้งสามก็มุ่งหน้าออกจากเขตจวนเจ้าเมืองและนั่งรถม้าตรงไปยังร้านเสื้อผ้าในเมือง
ในขณะเดียวกัน หลัวจื้อเลี่ยก็กลับไปที่ห้องหนังสือของตนพร้อมด้วยหานโม่ฉือและหลัวหมิงฮ่าว เจ้าเมืองหลัวหยิบกระดานหมากรุกออกมาด้วยความกระตือรือร้นและต้องการใช้เวลาเล่นหมากรุกกับทั้งสองอย่างสนุกสนานอบอุ่น
ภายในรถม้า ฉินอวี้โม่และสั่วซีหย่าก็นั่งขนาบทั้งสองข้างของตู้ซีรั่ว
“แม่สาวตัวน้อยทั้งสอง พวกเจ้ามาจากโลกภายนอก และข้าก็เคยไปที่โลกภายนอกมาเช่นกัน ไม่ทราบว่าพวกเจ้ามาจากที่ใดรึ ?”
ตู้ซีรั่วเอ่ยถามพร้อมรอยยิ้มราวกับกำลังชวนพูดคุยอย่างสบาย ๆ
“ฮ่า ๆ ๆ เรามาจากทางเหนือของดินแดนเทพมายาเจ้าค่ะ ก่อนหน้านี้เราบังเอิญพลัดหลงเข้ามาที่ชนเผ่าเอลฟ์และได้พบกับองค์ชายห้า”
ฉินอวี้โม่ก็เผยรอยยิ้มอย่างไร้กังวลเพราะนางได้เตรียมคำตอบทั้งหมดไว้แล้ว ก่อนหน้านี้นางได้หารือกับหลัวหมิงฮ่าวเกี่ยวกับข้ออ้างทั้งหมดและไม่ต้องกังวลว่าจะเป็นที่สงสัยใด ๆ
“ดินแดนทางเหนืองั้นรึ ? ที่นั่นอยู่ไกลมากทีเดียว แล้วเหตุใดพวกเจ้าจึงไปที่ป่าวังชาได้เล่า ?”
ตู้ซีรั่วถามต่อไปด้วยรอยยิ้มที่ดูจริงใจ นางคุ้นเคยกับดินแดนเทพมายาพอสมควรและทราบว่าทางเข้าของชนเผ่าเอลฟ์อยู่ในป่าวังชา นางทราบดีว่าระยะห่างระหว่างป่าดังกล่าวและดินแดนทางเหนือนั้นห่างไกลกันอย่างมาก
“ฮ่า ๆ ๆ พวกเราทั้งหมดเป็นจอมยุทธ์อิสระเจ้าค่ะ เราเคยได้ยินมาว่าสภาวะพลังในป่าวังชานั้นอุดมสมบูรณ์มากและการฝึกวิชาจะได้ผลเป็นสองเท่าด้วยความพยายามเพียงครึ่งเดียว นั่นคือสาเหตุที่เราเดินทางไปที่ป่าวังชา ทว่าหลังจากนั้นเราก็มีเรื่องขัดแย้งกับคนกลุ่มหนึ่งและตกลงไปในทะเลสาบโดยบังเอิญ สุดท้ายเราทั้งสามคนก็ไม่สามารถดิ้นรนขึ้นมาเหนือน้ำได้และสำลักน้ำจนหมดสติไป ทว่าเมื่อฟื้นขึ้นมาอีกครั้ง เราก็อยู่นอกเผ่าอู๋เหวยแล้ว และนั่นคือตอนที่องค์ชายห้าออกไปฝึกวิชาและช่วยเราไว้พอดี”
ฉินอวี้โม่กล่าวเรื่องราวที่เตรียมไว้แล้ว ในขณะเดียวกันนางก็รับรู้ได้ถึงจุดประสงค์ของตู้ซีรั่วที่ต้องการจะหยั่งเชิงพวกนาง สตรีผู้นี้แทบรอไม่ไหวที่จะต้อนให้พวกนางเผยพิรุธออกมา
“โอ้ ? ไม่แปลกใจเลยที่พวกเจ้าและเสี่ยวฮ่าวดูจะมีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน”
ตู้ซีรั่วพยักศีรษะเบา ๆ ก่อนเอ่ยถามต่อ “ฮ่า ๆ ๆ แต่เจ้าก็มาจากเผ่ามนุษย์และสั่วซีหย่าเป็นลูกครึ่งเอลฟ์ เจ้าทั้งสองพบกันได้อย่างไรรึ ?”
คำถามนี้คือประเด็นที่นางต้องการทราบมากที่สุด ตู้ซีรั่วมีลางสังหรณ์ในใจเสมอว่าสั่วซีหย่ากำลังปิดบังบางอย่างและจุดประสงค์ที่ฉินอวี้โม่มาที่เมืองเลี่ยหยางก็มิใช่เรื่องธรรมดา ๆ เช่นกัน หลังจากกลับไปหาครอบครัวของตนและได้รับข่าวร้ายมา ตู้ซีรั่วก็สงสัยเกี่ยวกับบุคคลลึกลับทั้งสามมากยิ่งขึ้น เมื่อนางชวนฉินอวี้โม่และสั่วซีหย่าออกมาในวันนี้ จุดประสงค์ที่แท้จริงของนางก็คือการจับพิรุธว่าทั้งสองมีสิ่งใดแอบซ่อนอยู่หรือไม่
“เราพบกันที่โรงประมูลเจ้าค่ะ ในตอนแรกมีใครบางคนจับตัวสั่วซีหย่าได้และขายให้กับโรงประมูล ในตอนที่ได้พบนาง ข้าก็บังเอิญขาดสาวรับใช้อยู่พอดีและรู้สึกถูกชะตากับสั่วซีหย่ามาก ข้าจึงประมูลนางมา จากนั้นนางก็ติดตามและรับใช้ข้ามาโดยตลอด”
ฉินอวี้โม่ไม่ปิดบังเรื่องนี้และกล่าวเหตุการณ์ที่ได้พบกับสั่วซีหย่าตามความจริง นางไม่กังวลเกี่ยวกับข้อสงสัยของตู้ซีรั่วแม้แต่น้อย เพราะหากตู้ซีรั่วเป็นผู้ที่ส่งคนไปสังหารสั่วซีหย่าและมารดาจริง ๆ นางก็คงจะได้รับข่าวว่าทั้งสองแม่ลูกตายไปแล้ว
ยิ่งไปกว่านั้น ยิ่งตู้ซีรั่วสงสัยมากเพียงใด มันก็ง่ายที่พวกนางจะเห็นพิรุธมากเพียงนั้น และพวกนางก็จะยืนยันข้อสงสัยที่มีได้มากขึ้น
“หลังจากที่นายหญิงซื้อข้ามา ข้าก็หลั่งเลือดสาบานทันทีและจะยอมจำนนต่อนางตลอดชีวิตนี้ นายหญิงไม่เคยปฏิบัติต่อข้าไม่ดีหรือรังเกียจสายเลือดครึ่งเอลฟ์ของข้า ต้องขอบคุณนายหญิงที่ดีกับข้าทุกอย่างเจ้าค่ะ ในชีวิตนี้…ข้าจะคอยคิดตามไม่ห่างและไม่มีวันทิ้งนางไปที่ใด”
สั่วซีหย่ากล่าวเสริมเพื่อแสดงออกถึงความจงรักภักดีอย่างเต็มเปี่ยม
“ช่างเป็นเด็กดีจริง ๆ หากข้าและพี่เลี่ยเผชิญกับเหตุการณ์เช่นนั้นในงานประมูล เราก็คงจะซื้อเจ้ากลับมาเช่นกัน”
ตู้ซีรั่วลูบมือบางของสั่วซีหย่าเบา ๆ พลางถอนหายใจ
“ท่านหญิงและท่านเจ้าเมืองเป็นคนดีที่ยากที่จะได้พบ ท่านทั้งสองไม่ดูถูกลูกครึ่งเอลฟ์อย่างข้าและยังเป็นมิตรเข้ากับทุกคนได้ดียิ่งนัก”
สั่วซีหย่ายิ้มและกล่าวออกไปด้วยท่าทางสบาย ๆ อย่างไรก็ตาม หากมั่นใจเมื่อใดว่าตู้ซีรั่วคือตัวการที่ทำให้ครอบครัวของนางต้องเผชิญกับเคราะห์ร้ายทั้งหมดที่ผ่านมา นางก็จะต้องล้างแค้นอย่างสาสมแน่นอน
“อีกอย่าง… เหตุใดเจ้าจึงถูกจับตัวไปขายที่โรงประมูลได้ล่ะ พ่อแม่ของเจ้าไปไหนเสีย ?”
ตู้ซีรั่วมองสตรีลูกครึ่งเอลฟ์ด้วยแววตาสงสารก่อนเอ่ยถาม
สั่วซีหย่าได้เพียงส่ายหน้าเบา ๆ และกล่าวเสียงอ่อน “ข้าก็ไม่ทราบ… ข้าไม่เคยพบพวกเขามาก่อน”
ครานี้นางไม่กล่าวตามความจริงอีกต่อไป แน่นอนว่าสั่วซีหย่าไม่มีทางปล่อยให้ตู้ซีรั่วยืนยันตัวตนของนางได้ง่าย ๆ
“เป็นเด็กที่น่าสงสารจริงเชียว แล้วเจ้าโดนจับตัวจากที่ใดรึ ? เคยกลับไปตามหาพ่อแม่บ้างหรือไม่ ?”
ตู้ซีรั่วยังคงถามต่อไป ทว่าความสงสัยที่มีต่อสั่วซีหย่าก็ค่อย ๆ ลดน้อยลง คำตอบของอีกฝ่ายไม่ตรงกับข่าวที่เคยได้รับมา สั่วซีหย่าคงจะมิใช่บุตรของ ‘คนผู้นั้น’ จริง ๆ
“ข้าเองก็จำอะไรไม่ได้มากนักเจ้าค่ะ เหมือนว่าตอนข้ายังเด็กมาก ข้าเคยอาศัยอยู่ในป่าวังชา”
สั่วซีหย่าส่ายศีรษะเบา ๆ และบ่งบอกว่าตนเองจดจำอะไรไม่ได้มาก
เมื่อได้ยินว่าสตรีลูกครึ่งเอลฟ์เติบโตในป่าวังชา แววตาของตู้ซีรั่วก็เปลี่ยนไปเล็กน้อยทันทีทว่านางปิดบังมันไว้อย่างรวดเร็ว
อย่างไรก็ตาม ความเปลี่ยนแปลงดังกล่าวไม่อาจรอดพ้นจากสายตาของฉินอวี้โม่ผู้ซึ่งจับตาดูทุกการเคลื่อนไหวของนาง เมื่อเห็นสีหน้าแววตาที่เปลี่ยนแปลงอย่างกะทันหันของตู้ซีรั่ว ฉินอวี้โม่ก็ยืนยันสิ่งหนึ่งได้ทันทีทว่ายังคงต้องยืนยันสิ่งอื่น ๆ ต่อไป
“ฮ่า ๆๆ หากเป็นเช่นนั้น ก็เป็นไปได้มากว่าพ่อของเจ้าอยู่ในชนเผ่าเอลฟ์ของเราและแม่ของเจ้าก็น่าจะเป็นมนุษย์ เมื่อกลับไปครานี้ ข้าจะหารือกับพี่เลี่ยและช่วยตามหาพ่อของเจ้า ในระหว่างนี้เจ้าก็ลองนึกดูล่ะ หากเจ้าจำสิ่งใดได้เพิ่มเติมก็บอกข้าได้เลย”
ตู้ซีรั่วยิ้มให้กับสั่วซีหย่าและแสร้งแสดงสีหน้าเป็นห่วง
สั่วซีหย่าพยักศีรษะตอบรับในขณะที่ฉินอวี้โม่คลี่ยิ้มและกล่าวขอบคุณตู้ซีรั่วแทนสาวรับใช้ของตนเช่นกัน
ในขณะที่ทั้งสามพูดคุยกันอยู่นั้น รถม้าก็เดินทางมาถึงหน้าร้านเสื้อผ้าและสตรีทั้งสามลงจากรถเพื่อเข้าไปข้างใน ตู้ซีรั่วถือโอกาสจังหวะที่ฉินอวี้โม่และสั่วซีหย่าไม่ทันสังเกตเพื่อส่งสัญญาณออกไปในมุมมืดอย่างลับ ๆ ผู้ที่อยู่ในมุมมืดก็รับคำสั่งและจากไปอย่างรวดเร็วราวกับกำลังทำภารกิจบางอย่าง
แม้ตู้ซีรั่วจะคิดว่าตนเองแนบเนียนดีแล้ว ทว่าทุกอย่างที่เกิดขึ้นก็ไม่อาจรอดพ้นไปจากสายตาของฉินอวี้โม่ได้ เพียงแค่เหล่าอสูรในคฤหาสน์เฟิงหัวก็จับตาดูสภาพแวดล้อมโดยรอบอย่างไม่กะพริบตา แน่นอนว่าพวกมันย่อมสังเกตเห็นคนผู้นั้นเป็นธรรมดา
หลังจากบอกสิ่งที่ค้นพบให้ฉินอวี้โม่ได้ทราบ ฉินอวี้โม่ก็ออกคำสั่งกับอสูรต่ออีกเล็กน้อยก่อนขยิบตาส่งสัญญาณให้กับสั่วซีหย่าระหว่างให้ตู้ซีรั่วนำทางเข้าร้านเสื้อผ้าต่อไป
ในเวลาเดียวกันนี้ ภายในจวนเจ้าเมืองเลี่ยหยาง หานโม่ฉือและหลัวหมิงฮ่าวก็เริ่มดำเนินภารกิจของตนแล้วเช่นกัน
ณ ห้องหนังสือ หานโม่ฉือก็ร่ายอาคมปิดกั้นพื้นที่โดยรอบเพื่อมิให้คนภายนอกได้ยินบทสนทนาระหว่างพวกเขาและหลัวจื้อเลี่ย
หลัวจื้อเลี่ยไม่แปลกใจกับการกระทำของบุรุษหนุ่มแม้แต่น้อยและไม่คิดคัดค้านเช่นกัน เขาทราบดีว่าหานโม่ฉือและหลัวหมิงฮ่าวน่าจะมีบางอย่างที่ต้องการถามเขาเป็นการส่วนตัว
“ท่านลุงขอรับ ขอโทษที่ต้องสารภาพว่าครานี้ที่ข้ามาที่นี่เพราะมีจุดประสงค์บางอย่าง ข้าจะบอกทุกอย่างที่อวี้โม่และสั่วซีหย่ายังไม่ได้มีโอกาสบอกท่านในครานั้น”
หลัวหมิงฮ่าวกล่าวขอโทษเป็นอันดับแรก ครานั้นเนื่องจากตู้ซีรั่วกลับมาอย่างกะทันหันจึงมีบางสิ่งบางอย่างที่ฉินอวี้โม่และสั่วซีหย่ายังไม่ทันได้บอกกับหลัวจื้อเลี่ย วันนี้เขาและหานโม่ฉือตั้งใจจะบอกทุกอย่างให้ทราบเพื่อที่ท่านลุงของเขาจะได้เตรียมตัวล่วงหน้า
“สั่วซีหย่าผู้นั้น…นางคือลูกสาวของข้าจริง ๆ หรือ ?”
หลัวจื้อเลี่ยเอ่ยถามสิ่งที่สงสัยใคร่รู้มากที่สุดและเป็นคำถามที่เขากังวลมากที่สุดเช่นกัน แม้เขาจะสูญเสียความทรงจำช่วงนั้นไป ทว่าสายสัมพันธ์ทางสายเลือดระหว่างเขาและสั่วซีหย่าก็ทำให้เขารู้สึกคุ้นเคยอย่างประหลาดและคล้อยตามได้ไม่ยาก
“ขอรับ”
หานโม่ฉือพยักศีรษะตอบคำถามของหลัวจื้อเลี่ยและจู่ ๆ ทั้งห้องหนังสือก็ตกอยู่ในความเงียบชั่วขณะ
.