ภายในห้องหนังสือของจวนเจ้าเมืองเลี่ยหยาง หานโม่ฉือและหลัวหมิงฮ่าวมองตรงไปที่หลัวจื้อเลี่ยผู้ซึ่งนิ่งเงียบไปโดยไม่กล่าวสิ่งใด สำหรับผู้ที่ชาญฉลาดและมากประสบการณ์อย่างหลัวจื้อเลี่ย เพียงได้รับข้อมูลบางอย่าง เขาก็ย่อมวิเคราะห์สถานการณ์โดยรวมได้ด้วยตนเอง
“ไม่แปลกใจเลยที่ข้ารู้สึกคุ้นเคยและผูกพันอย่างมากตั้งแต่พบหน้าสั่วซีหย่าเป็นครั้งแรก ที่แท้นางก็เป็นลูกสาวของข้าจริง ๆ”
หลัวจื้อเลี่ยถอนหายใจเบา ๆ และกล่าวด้วยน้ำเสียงที่เหมือนกับโทษตัวเอง การที่เขาจดจำบุตรสาวผู้นี้ของตนเองไม่ได้ ไม่ว่าเรื่องราวเป็นมาอย่างไร เขาก็รู้สึกผิดกับสั่วซีหย่าอย่างสุดหัวใจ ยิ่งไปกว่านั้น บุตรสาวก็ไม่ได้เติบโตข้างกายเขาและเขาไม่เคยได้ปฏิบัติหน้าที่ความรับผิดชอบในฐานะบิดาของนางเลย
เพียงแต่สิ่งที่เขาต้องการทราบมากที่สุดในตอนนี้คือเพราะเหตุใดเขาจึงลืมเลือนเรื่องสำคัญเช่นนี้ไป ? สั่วซีหย่าเติบโตขึ้นมาด้วยชีวิตการเป็นอยู่อย่างไร ? และมารดาของนางซึ่งก็คือภรรยาที่เขาจดจำไม่ได้นั้นอยู่ที่ใด ?
“เจ้าทั้งสองเล่าทุกอย่างให้ข้าฟังจะได้รึไม่ ?”
หลัวจื้อเลี่ยสงบสติลงโดยที่มีอารมณ์ความรู้สึกที่ซับซ้อนเล็กน้อย ในเมื่อหานโม่ฉือและหลัวหมิงฮ่าวตั้งใจมาหาเขาครานี้ พวกเขาจะต้องทราบบางอย่างเป็นแน่ หลัวจื้อเลี่ยต้องการทราบข้อมูลทั้งหมดเกี่ยวกับสั่วซีหย่าจากปากของบุรุษหนุ่มทั้งสอง
หานโม่ฉือพยักศีรษะให้กับหลัวหมิงฮ่าวเบา ๆ ก่อนที่องค์ชายห้าจะเริ่มบอกเล่าทุกอย่างที่ทราบมา
เมื่อหลัวจื้อเลี่ยได้ยินว่าตนและมารดาของสั่วซีหย่ารักกันมาก ทว่ามารดาและบุตรสาวทั้งสองกลับถูกเขาทอดทิ้งอย่างไม่ไยดีจนต้องเฝ้ารออย่างลม ๆ แล้ง ๆ นานหลายปีก่อนที่ภรรยาผู้นั้นจะเสียชีวิตไปอย่างน่าสลดและสั่วซีหย่าก็เกือบถูกข่มเหงให้แปดเปื้อนมลทินจากคนใจชั่ว เขาก็รู้สึกผิดขึ้นมาอีกครั้งและโทสะพลุ่งพล่านในใจ
“อันที่จริงข้าก็เคยได้ยินเกี่ยวกับทักษะวิชาที่สามารถช่วงชิงความทรงจำของผู้คนอยู่เหมือนกัน ทว่าข้าก็ไม่เคยคิดเลยว่ามันจะเกิดขึ้นกับตัวข้าเอง”
เขากล่าวพร้อมขมวดคิ้วมุ่น หากจำไม่ผิด ตู้ซีรั่วภรรยาคนปัจจุบันของเขาก็มีบางสิ่งบางอย่างที่ล้ำค่าซึ่งนางหวงแหนเป็นอย่างยิ่ง
“ท่านลุงขอรับ ท่านและท่านป้าอยู่ด้วยกันมานานกว่าสิบปีแล้ว แม้ตอนนั้นข้าจะยังเด็ก ทว่าจากสิ่งที่ข้ารับรู้คือท่านไม่พอใจกับการแต่งงานกับท่านป้าเท่าใดนัก ยิ่งไปกว่านั้น หากท่านทั้งสองรักและผูกพันกันจริง ๆ คงเป็นไปไม่ได้ที่ท่านจะไม่ต้องการมีทายาทสืบสกุลด้วยกัน บางทีตลอดเวลาที่ผ่านมานี้ แม้ว่าความทรงจำช่วงนั้นจะสูญหายไป ท่านก็อาจยังมีความต่อต้านต่อท่านป้าอยู่ในใจลึก ๆ ไม่ทราบว่าข้าคิดถูกหรือไม่ ?”
หลัวหมิงฮ่าวมองหลัวจื้อเลี่ยและกล่าวข้อคาดเดาของตน สิ่งเหล่านี้เป็นเรื่องที่เขาพยายามนึกและรวบรวมในช่วงหลายวันที่ผ่านมา ในอดีตครานั้น กล่าวกันว่าท่านลุงของเขาผู้นี้ไม่เคยชอบพอกับตู้ซีรั่วมาก่อนและต้องการปฏิเสธการแต่งงานอยู่เสมอ ทว่าจู่ ๆ เขากลับตกลงปลงใจกับนางอย่างไม่มีสาเหตุ หากองค์ชายห้าคาดเดาไม่ผิด ทุกอย่างที่เกิดขึ้นล้วนเกี่ยวข้องมาจากความทรงจำส่วนนั้นที่ตู้ซีรั่วช่วงชิงเอาไป
หลัวจื้อเลี่ยไม่ปฏิเสธเลยว่าตลอดเวลาที่ผ่านมานี้ตู้ซีรั่วก็มักจะเสนอความต้องการมีบุตรกับตัวเขา อย่างไรก็ตาม เขารู้สึกไม่สบายใจกับความคิดที่จะมีบุตรกับนางมาเสมอ เพราะเหตุนั้นเขาจึงปฏิเสธนางโดยให้เหตุผลว่าร่างกายยังไม่ฟื้นฟูเต็มที่ บัดนี้ก็กระจ่างแล้วว่าลึก ๆ ภายในหัวใจของเขายังคงมีใครคนหนึ่งอยู่เสมอ แม้ใช้ชีวิตใกล้ชิดกับตู้ซีรั่วและสูญเสียความทรงจำไป ทว่าจิตใต้สำนึกลึก ๆ ของเขาก็ไม่เคยต้องการอยู่กับนาง
“ทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้น เกรงว่ามีเพียงท่านป้าเท่านั้นที่จะให้ความไขกระจ่างได้ ตราบใดที่นำความทรงจำของท่านลุงกลับคืนมา สิ่งที่เกิดขึ้นในช่วงนั้นก็จะชัดเจนเสียที เพียงแต่หากเราต้องการกอบกู้ความทรงจำนั้นกลับคืนมา เราคงต้องพึ่งพาท่านลุงเท่านั้น”
หลัวหมิงฮ่าวกล่าวตามความจริงว่าพวกเขาอาจช่วยได้ไม่มากนัก สำหรับการค้นหาความทรงจำที่หายไปและนำมันกลับคืนมาได้นั้นจะต้องพึ่งพาหลัวจื้อเลี่ยแต่เพียงผู้เดียว
หลัวจื้อเลี่ยพยักศีรษะตอบรับ ไม่ว่าอย่างไร เขาก็ตั้งมั่นที่จะเอาความทรงจำส่วนนั้นกลับคืนมาให้จงได้ หากสิ่งที่เกิดขึ้นเป็นฝีมือของตู้ซีรั่วจริง เขาก็ไม่มีทางใจอ่อนอย่างแน่นอน สิ่งที่เกิดขึ้นกับมารดาของสั่วซีหย่าและทุกอย่างที่เกิดขึ้นกับชนเผ่าเอลฟ์ เขาจะต้องถามหาคำอธิบายจากตู้ซีรั่วให้จงได้
ปัง ปัง ปัง !
ขณะเขากำลังจะกล่าวบางอย่างออกไป จู่ ๆ ทั้งสามก็ได้ยินเสียงเคาะประตูอย่างแรง
หลัวหมิงฮ่าวลุกขึ้นไปเปิดประตูห้องหนังสือก่อนที่พ่อบ้านของจวนเจ้าเมืองจะพรวดเข้ามา
“พ่อบ้าน เกิดอะไรขึ้นรึ เหตุใดจึงรีบร้อนเช่นนี้ ?”
หลัวจื้อเลี่ยขมวดคิ้วเล็กน้อยขณะมองพ่อบ้านตรงหน้าด้วยความงุนงง
“ท่านเจ้าเมือง องค์ชายห้า ท่านจอมยุทธ์โม่ฉือ เกิดเรื่องแล้วขอรับ ท่านหญิงและแม่นางทั้งสองกำลังจะถูกลอบสังหารในเมืองขอรับ !”
ทันทีที่สิ้นเสียงของพ่อบ้าน ภายในห้องหนังสือก็ไม่เหลือแม้แต่เงาของหานโม่ฉืออีกต่อไป เมื่อได้ยินว่าเกิดอันตรายกับฉินอวี้โม่ แม้ทราบดีว่านางไม่มีทางหลงกลใครง่าย ๆ หานโม่ฉือก็อดที่จะรีบไปที่นั่นไม่ได้
“รีบไปกันเถอะ”
หลัวจื้อเลี่ยและหลัวหมิงฮ่าวก็หันมองหน้ากันและเกิดข้อสันนิษฐานบางอย่างขึ้นในใจ อย่างไรก็ตาม ทั้งสองไม่กล่าวสิ่งใดและพุ่งตรงตามออกไปทันที พวกเขาต่างสงสัยว่าการลอบสังหารที่ว่านี้อาจจะเป็นแผนของตู้ซีรั่วเพื่อหยั่งเชิงฉินอวี้โม่และสั่วซีหย่าก็เป็นได้ และอาจถึงขั้นฉวยโอกาสนี้เพื่อกำจัดสตรีทั้งสองไป
สำหรับเรื่องที่สั่วซีหย่าเป็นบุตรสาวของเขา หลัวจื้อเลี่ยไม่มีข้อกังขาใด ๆ เพราะเหตุนั้นเขาจึงไม่มีทางยอมให้สั่วซีหย่าเป็นอันตรายอย่างแน่นอน
แน่นอนว่าพวกเขาคิดถูกต้องแล้ว การลอบสังหารครานี้เป็นแผนการของตู้ซีรั่วอย่างแท้จริง
ก่อนหน้านี้ ฉินอวี้โม่และสั่วซีหย่าติดตามตู้ซีรั่วไปที่ร้านขายผ้าและเลือกเสื้อผ้าอาภรณ์จำนวนหนึ่ง จากนั้นตู้ซีรั่วก็กล่าวว่าจะพาทั้งสองไปที่เรือนเฮ่าหรานในเมืองเพื่อรับประทานอาหารโดยให้ฉินอวี้โม่และสั่วซีหย่ารอเวลาก่อนไปที่นั่นในขณะที่ตัวนางจะล่วงหน้าไปจองที่นั่งก่อน
ฉินอวี้โม่และสั่วซีหย่าทราบได้ทันทีว่าตู้ซีรั่วจะต้องมีความคิดไม่ซื่อเป็นแน่ ทว่าทั้งสองไม่กล่าวสิ่งใดและต้องการเห็นว่าอีกฝ่ายวางแผนอะไรไว้
ทั้งสองอยู่ที่ร้านขายผ้าจนกระทั่งเที่ยงวันก่อนออกจากที่นั่นและเดินตรงไปในทิศทางของเรือนเฮ่าหรานอย่างช้า ๆ
เรือนเฮ่าหรานคือภัตตาคารที่ใหญ่ที่สุดในเมืองเลี่ยหยางซึ่งตั้งอยู่ในใจกลางเมือง ที่นั่นมีอาหารจานเด็ดที่แปลกใหม่ไม่เหมือนที่ใดซึ่งดึงดูดจอมยุทธ์ชาวเอลฟ์ได้เป็นอย่างมาก เพราะเหตุนั้น กิจการของเรือนเฮ่าหรานจึงดำเนินไปด้วยดียิ่งนักและมีลูกค้าเขาออกอย่างต่อเนื่องโดยมีบรรยากาศที่คึกคักและมีชีวิตชีวา
หลังจากฉินอวี้โม่และสั่วซีหย่ามาถึงที่นี่ ทั้งสองก็กล่าวบอกสถานะของตนและเด็กรับใช้ก็นำทางทั้งสองขึ้นไปยังชั้นที่สามของอาคาร
เรือนเฮ่าหรานมีทั้งหมดสามชั้นด้วยกันและบนชั้นสามมีห้องกั้นเพียงไม่กี่ห้องซึ่งรองรับเพียงผู้ที่มีสถานะสูงส่งเท่านั้น
เด็กรับใช้นำทางฉินอวี้โม่และสั่วซีหย่ามาส่งหน้าประตูห้องหนึ่งและเชิญให้ทั้งสองเข้าไปด้วยตนเองในขณะที่เขากลับลงไปที่ชั้นล่างตามเดิม
สตรีทั้งสองมองหน้ากันและรู้สึกได้ว่ามีบางอย่างไม่ชอบมาพากล อย่างไรก็ตาม หากยังไม่ได้รับรู้ถึงแผนการของตู้ซีรั่วอย่างชัดเจน พวกนางก็ไม่มีทางถอยไปโดยง่าย เมื่อคิดได้ดังนั้น ฉินอวี้โม่จึงผลักประตูเปิดออกก่อนเดินเข้าไป
ภายในห้องนี้เงียบสงบยิ่งนักโดยมีม่านบางอย่างตั้งอยู่ซึ่งไม่อาจมองเห็นสิ่งที่อยู่เบื้องหลังของมันได้
ปัง !
ทันทีที่ทั้งสองก้าวเข้ามาในห้อง ประตูก็ปิดลงดังปังทันทีและแรงกดดันทรงพลังแผ่ตรงมาที่ฉินอวี้โม่และสั่วซีหย่าจนขยับเขยื้อนลำบาก
“ใครกันที่หลบ ๆ ซ่อน ๆ อยู่ ?”
เมื่อสัมผัสได้ถึงพลังจากแรงกดดันดังกล่าว สีหน้าของฉินอวี้โม่ก็เปลี่ยนไปเล็กน้อยทันที ครานี้ตู้ซีรั่วคิดจะกำจัดตนและสตรีลูกครึ่งเอลฟ์อย่างแท้จริง อย่างไรก็ตาม ฉินอวี้โม่ไม่หวาดหวั่นหรือกังวลแต่อย่างใด เพราะถึงอย่างไรมันก็มิใช่เรื่องง่ายที่จะจัดการกับเทพมายาอย่างนาง
“จิ๊จิ๊ มนุษย์และลูกครึ่งเอลฟ์ ข้ายังไม่เคยลิ้มรสสตรีมนุษย์มาก่อนเลย”
น้ำเสียงเจ้าเล่ห์ดังขึ้นในหูของฉินอวี้โม่และสั่วซีหย่า จากนั้นม่านที่บังตาก็เปิดออกเผยให้เห็นร่างของใครบางคน
ผู้ที่ปรากฏตัวขึ้นมานี้เป็นบุรุษสวมเสื้อคลุมสีดำสนิทและผ้าพันคอสีดำคลุมบนใบหน้า เว้นเพียงแต่นัยน์ตาสีแดงที่ปรากฏให้เห็นก็ไม่สามารถมองเห็นใบหน้าหรือส่วนอื่นของเขาได้เลย
เมื่อเห็นฉินอวี้โม่และสั่วซีหย่า บุรุษผู้นั้นก็ชะงักไปเล็กน้อยก่อนหัวเราะลั่น
“ฮ่ าๆ ๆ เจ้าทั้งสองช่างเป็นสตรีที่งดงามอย่างยิ่ง ไม่แปลกใจเลยที่นางบอกว่าวันนี้ข้าจะมีความสุขเหมือนได้ขึ้นสวรรค์”
ปากที่อยู่ภายใต้ผ้าคลุมหัวเราะอย่างบ้าคลั่งแสดงให้เห็นว่าเขาพึงพอใจในตัวสตรีทั้งสองอย่างยิ่ง
“โอ้ เหมือนขึ้นสวรรค์นั้นจริง… เพียงแต่มันขึ้นอยู่กับว่าเจ้าจะมีโอกาสได้เพลิดเพลินกับมันรึไม่”
ฉินอวี้โม่หัวเราะเบา ๆ ขณะแรงกดดันทรงพลังเช่นเดียวกันแผ่ออกไปทันทีและกำจัดแรงกดดันที่กดข่มร่างของตนและสั่วซีหย่า
ภายในมือของนางเวลานี้มีจี้หยกสีขาวที่แผ่กลิ่นอายอันอ่อนโยนและขจัดแรงกดดันภายในห้องไปอย่างช้า ๆ ซึ่งจี้หยกชิ้นนี้ก็คือชิ้นส่วนหนึ่งของหยกขาวพันปีนั่นเอง
“เอ๊ะ ?”
เมื่อจี้หยกขาวถูกหยิบออกมา ทันใดนั้นก็เกิดเสียงอุทานเบา ๆ จากมุมหนึ่งของห้อง ทว่าเสียงนั้นก็หายไปอย่างรวดเร็วราวกับว่าไม่เคยดังขึ้น
“จิ๊จิ๊ ในเมื่ออยู่ที่นี่แล้วก็อย่าหลบซ่อนเลย เผยตัวออกมาเถอะ”
ฉินอวี้โม่ได้ยินเสียงนั้นในทันทีและชำเลืองมองไปในมุมนั้น จากนั้นก้อนแสงก็ปรากฏขึ้นในมือของนางก่อนพุ่งตรงไปยังมุมนั้นโดยตรง
“ฮ่า ๆ ๆ มีไหวพริบดีทีเดียว”
ม่านป้องกันปรากฏขึ้นในมุมนั้นและก้อนแสงที่ฉินอวี้โม่ปลดปล่อยออกไปก็หายวับไปอย่างรวดเร็วก่อนที่ร่างของคนผู้หนึ่งปรากฏตัวขึ้นในห้องและยืนอยู่ข้างบุรุษชุดดำคนแรก
“เป็นเจ้านั่นเอง !”
เมื่อเห็นบุคคลผู้นั้น ฉินอวี้โม่และสั่วซีหย่าก็จดจำได้ในทันที คนผู้นั้นมิใช่ใครอื่น หากแต่เป็นบุคคลลึกลับที่ทั้งสองมองเห็นในป่าวังชาก่อนหน้านี้และเป็นผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับฝ่ายมาร
“เจ้าเคยพบข้างั้นรึ ?”
คนผู้นั้นชะงักไปเล็กน้อยเมื่อได้ยินวาจาของฉินอวี้โม่ หรือว่าสตรีทั้งสองจะคาดเดาตัวตนของ ‘ข้า’ ได้ ?
“เหอะ ก่อนหน้านี้ในป่าวังชา ข้าเห็นเจ้าสั่งให้คนกลุ่มหนึ่งส่งจดหมายฉบับหนึ่งไปยังที่ใดสักแห่ง แม้เจ้าจะสวมเสื้อคลุมสีดำสนิทจนไม่อาจมองเห็นใบหน้าที่แท้จริง ทว่าข้าก็ยังจดจำกลิ่นอายของเจ้าได้”
ฉินอวี้โม่แค่นเสียงเย็นชาและเริ่มมั่นใจแล้วว่าบุคคลชุดดำผู้นี้คือใคร อย่างไรก็ตาม นางยังไม่เปิดเผยความจริงออกไปเพราะยังต้องการเห็นว่าคนตรงหน้าจะเสแสร้งอย่างไรอีก
“อะไรนะ ? เจ้าเคยเห็นข้าด้วยรึ ?”
เมื่อได้ยินเช่นนั้น ใบหน้าใต้ผ้าคลุมของผู้มาใหม่ก็เปลี่ยนไปเล็กน้อยทันที อย่างไรก็ตาม สีหน้านั้นกลับเป็นปกติอย่างรวดเร็วก่อนกล่าว “เห็นทีพวกเจ้าคงไม่ได้เข้ามาในชนเผ่าเอลฟ์โดยบังเอิญทว่าเป็นความตั้งใจสินะ ยิ่งไปกว่านั้น พวกเจ้าก็มาที่ชนเผ่าเอลฟ์เพื่อช่วยให้ชาวเอลฟ์รอดพ้นจากวิกฤตครานี้ !”
เป็นจริงดังที่คิดไว้ ข้าคาดเดาไว้ไม่ผิดเลย ! กลุ่มคนทั้งสามมาที่ชนเผ่าเอลฟ์เพราะมีจุดประสงค์แอบแฝงอยู่จริง ๆ ทว่าน่าเสียดายที่มันมิใช่เรื่องง่ายที่จะปกป้องชนเผ่าเอลฟ์ไปจากวิกฤตครานี้ !
ยิ่งไปกว่านั้น ในเมื่อหลอกล่อพวกนางมาที่นี่ได้แล้ว บุคคลชุดดำไม่มีทางปล่อยให้ทั้งสองรอดกลับไปอย่างแน่นอน วันนี้ฉินอวี้โม่และสั่วซีหย่าจะต้องตายอยู่ที่นี่ !
.